:::     :::

5 คัมแบ็คคิงของหงส์แดงบนถ้วยยุโรป

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
คืนนี้แล้วนะครับที่ ลิเวอร์พูล จะต้องลงเล่นเกมนัดตัดสินกับ เรอัล มาดริด ในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังจากแพ้มาในเกมแรก 1-3 ซึ่งเกมคืนนี้หากพวกเขาเอาชนะด้วยสกอร์ 2-0 หรือ 4-1 ขึ้นไป ก็จะเป็นการพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

วันนี้ ผมจะพาย้อนไปชม 5 สุดยอดเกมคัมแบ็คระดับปาฏิหาริย์ของ ลิเวอร์พูล ในถ้วยยุโรปกัน ว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น พลพรรค​หงส์แดงโกงความตายมาได้อย่างไรกันบ้าง


อันดับที่ 5) ลิเวอร์พูล 3-0 โอแซร์ (สกอร์รวม 3-2) ยูฟ่า คัพ ปี 1991-92

เกมสุดระทึกเกมนี้เกิดขึ้นในถ้วยยูฟ่า คัพ รอบ 2 เมื่อช่วงต้นทศวรรษ 90 โดยเกมแรกนั้น ลิเวอร์พูล บุกไปพ่าย โอแซร์ มาก่อน 0-2 และเมื่อได้โอกาสกลับมาเล่นที่แอนฟิลด์ ลูกทีมของ แกรม ซูเนสส์ ก็โชว์สปิริตไล่บี้ทีมเยือนอย่างหิวกระหายตั้งแต่ต้นเกม ก่อนจะไล่บดเอาชนะไป 3-0 จากการยิงของ แจน โมลบี้ ในนาทีที่ 4, ไมค์ มาร์ช นาทีที่ 29 และ มาร์ค วอลเตอร์ส มากดประตูสำคัญของเกมได้ก่อนหมดเวลาเพียง 7 นาที ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล พลิกเกมกลับมาเข้ารอบได้อย่างไม่น่าเชื่อ



อันดับที่ 4) ลิเวอร์พูล 4-3 ดอร์ทมุนด์ (สกอร์รวม 5-4) ยูโรปา ลีก ปี 2015-16

หนึ่งในเกมที่มีการยิงประตูมโหฬารและเป็น 1 ในเกมคัมแบ็ค คิง สุดคลาสสิคของ ลิเวอร์พูล เกิดขึ้นในถ้วย ยูโรป้า ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยเกมแรกเสมอกันมาในบ้านของเสือเหลือง 1-1

เมื่อกลับมาเล่นในแอนฟิลด์ ปรากฏว่า โอบาเมยัง กับ มคิทาร์ยาน ยิงคนละประตูพาทีมเยือนออกนำไปก่อน 2-0 ตั้งแต่เกมเริ่มไปแค่ 9 นาที และแม้ว่า ดิว็อค โอริกี้ จะยิงตีตื้นให้ทีมได้ในนาทีที่ 48 ก็จริง แต่ มาร์โก รอยส์ ก็มายิงให้ทีมหนีห่างเป็น 3-1 ตอนนาทีที่ 57 ซึ่งส่งผลให้ ลิเวอร์พูล เวลานั้นตกที่นั่งลำบากอย่างเลี่ยงไม่ได้

เจอร์เก้น คล็อปป์ ปลุกวิญญาณนักสู้ของทีมขึ้นมาด้วยการยืนกระตุ้นข้างสนามตลอดในช่วงเวลาที่เหลือ ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีเมื่อ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กับ มามาดู ซาโก้ จะไล่ตีเสมอให้กับทีมได้ตอนนาทีที่ 66 และ 77 ตามลำดับ ก่อนที่แอนตี้ ไคลแม็กซ์ จะเกิดขึ้นตอนช่วงทดเวลาบาดเจ็บ โดยเป็น เดยัน ลอฟเรน จัดการขึ้นโหม่งประตูชัยให้ทีมของ คล็อปป์ พลิกเข้ารอบได้สำเร็จ พร้อมกับเสียงเฮจาก เดอะ ค็อป จนสนามแทบแตกเลยทีเดียว



อันดับที่ 3) ลิเวอร์พูล 3-1 โอลิมเปียกอส ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2004-05

นี่คือ 1 ในเกมคัมแบ็คที่บีบหัวใจมากที่สุดเกมนึงเลยทีเดียว แม้ว่าจะเป็นแค่รอบแบ่งกลุ่มก็ตาม

สถานการณ์ตอนนั้นคือ ลิเวอร์พูล มีคะแนนห่างจาก โอลิมเปียกอส ถึง 3 คะแนนและมีลูกได้เสียน้อยกว่า 1 ลูก หากหงส์แดงจะพลิกเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้นั่นคือต้องชนะสถานเดียว และต้องชนะมากกว่า 2 ลูกอีกด้วย

ความซวยบังเกิดขึ้นตั้งแต่นาทีที่ 26 เมื่อ ริวัลโด้ โผล่มายิงฟรีคิกให้ทีมเยือนออกนำ 1-0 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว ทว่า เมื่อเริ่มครึ่งหลัง หงส์แดงทะยานไล่พลิกกลับมายิงคืนถึง 3 เม็ด โดยเริ่มจาก ฟลอร็องต์ ซินาม่า ปงโกลล์ ในนาทีที่ 47, นีล เมลเลอร์ นาทีที่ 81 และฮีโร่คนดีคนเดิมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นคนซัดประตูสำคัญในนาทีที่ 86 พาทีมผ่านเข้ารอบอย่างใจหายใจคว่ำ ก่อนจะทะยานไปถึงแชมป์ได้ในท้ายที่สุด



อันดับที่ 2) ลิเวอร์พูล 3-3 มิลาน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2004-05

เกมที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน มันคือเกมนัดชิงชนะเลิศจากการทำงานปีแรกของ ราฟาเอล เบนิเตซ โดยในรอบชิงครั้งนั้น มิลาน เป็นฝ่ายครองเกมทุกอย่างไว้ไดเแบบเบ็ดเสร็จ​เด็ดขาดในครึ่งแรก และทะยานหนีห่างไปไกลถึง 3-0

เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังกลับกลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่เล่นได้ดีกว่าและเต็มไปด้วยความกระหาย โดยมาไล่ตามตีเสมอได้จากการ 3 ประตูของ เจอร์ราร์ด, ซมิเซอร์ และ ชาบี ซึ่งทั้ง 3 ลูกนั้นใช้เวลายิงห่างกันแค่ 6 นาทีเท่านั้น ก่อนที่หงส์แดงจะยื้อไปจนถึงช่วงดวลจุดโทษและเอาชนะไปได้อย่างยิ่งใหญ่



อันดับที่ 1) ลิเวอร์พูล 4-0 บาร์เซโลน่า (สกอร์รวม 4-3) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2018-19

เกมรอบรองชนะเลิศเมื่อ 2 ปีก่อน ลิเวอร์พูล บุกไปพ่าย บาร์เซโลน่า มาอย่างยับเยินในเกมแรกถึง 3-0

ใครจะไปคิดครับ ว่าท้ายที่สุดแล้วหงส์แดงของ คล็อปป์ จะรวมพลังและหัวใจในการพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบได้อย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาได้ โอริกี้ กับ ไวจ์นัลดุม ทำคนละ 2 ประตูพาทีมไล่ถล่มยอดทีมจากสเปนไปกระจุยถึง 4-0 ซึ่งเกมนี้นั้น คล็อปป์ ยอมรับว่าคือการคัมแบ็คที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เขาคุมทีมมาเลยทีเดียว

"ใครก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผมเองก็ยังคิดแบบนั้นเลย แต่เพราะว่าที่อยู่ตรงหน้าผมนี้คือพวกคุณ ผมจึงรู้ว่าเรามีโอกาสจะทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้มันเกิดขึ้นได้จริง และผมก็เชื่อมั่นกับโอกาสนี้มาก"

คล็อปป์ ลั่นวาทะปลุกกระตุ้นลูกทีมด้วยคำแบบนี้ตอนเริ่มเกม ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยิน พลังแฝงในตัวต้องลุกโชนจนแทบจะอยากลงไปเล่นโดยไม่อยากจะพักครึ่งด้วยซ้ำ

เกมวันนั้น ลิเวอร์พูล ขาด โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, โม ซาล่าห์, นาบี เกอิต้า ขณะที่ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ก็ยังไม่สมบูรณ์พอ ภาพของ 11 ตัวจริง จึงค่อนข้างขี้เหร่กว่าที่แฟนบอลจะคาดหวังถึงคำว่า "ปาฏิหาริย์"ได้

ยิ่งในช่วงนึงของเกมที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน โดนเตะที่หัวเข่า, ซาดิโอ มาเน่ ล้มลงและดูเหมือนจะมีอาการบาดเจ็บ ไปจนถึง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เจอส้นเท้าของ หลุยส์ ซัวเรซ บวกเข้าไปที่น่อง จนมีร้องโอดโอยดอกนั้น คล็อปป์ บอกกับตัวเองว่า "ผมกลัวว่าเราจะจบเกมโดยเหลือนักเตะไม่ถึง 11 คนเอามากๆ"

เมื่อเข้าสู่ช่วงพักครึ่ง คล็อปป์ จำเป็นต้องถอด โรเบิร์ตสัน ออก แล้วส่ง ไวจ์นัลดุม ลงไปเล่นแทน โดยเขาเลือกถอย เจมส์ มิลเนอร์ ให้ไปเล่นแบ็คซ้ายแทน ซึ่งการเปลี่ยนตัวหนนี้ของ คล็อปป์ คล้ายกับการถูกหวยรางวัลที่ 1 เลยล่ะครับ เราได้เห็นลีลาการโผทะยานทำประตูที่เฉียบคมไม่ต่างจากกองหน้าของ ไวจ์นัลดุม พร้อมด้วยแบ็คกราวน์ที่เป็นภาพความบ้าคลั่งอย่างสุดชีวิตของแฟนหงส์แดง


การสร้างปาฏิหาริย์นั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ก็จริง แต่สำหรับทีมอย่าง ลิเวอร์พูล แล้ว ความเชื่อคือก้าวแรกที่จะพาเราไปยังเส้นชัยที่ชื่อว่า ชัยชนะ

แม้รู้ว่ายาก แต่ตราบใดที่ยังมีเกมให้เล่น มีเวลาให้ลุ้นอีกถึง 90 นาที เดอะ ค็อป ทุกคนยังคงไม่ยอมแพ้ เหมือนกับที่นักเตะหงส์แดงทุกคนก็ยืนหยัดไม่เคยยอมแพ้เช่นเดียวกัน.


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด