:::     :::

"เดจาวู2012" และการไล่ล่าซิตี้แบบมองความเป็นจริงของโซลชา

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
12,039
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
โซลชายอมรับว่าการแซงแมนเชสเตอร์ซิตี้นั้นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยืนยันว่าจะเดินหน้าลุยต่อให้ถึงที่สุดแน่นอน และความเป็นไปได้ที่อาจจะตามทันโดยไม่จำเป็นต้องลุ้นให้ซิตี้แพ้สามนัดรวด

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังไม่ถอดใจในเรื่องที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอาจจะกระชากแชมป์พรีเมียร์ลีกช่วงท้ายฤดูกาลนี้ได้ แต่ก็ชี้ว่าโอกาสที่จะแซงคู่อริอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ได้สำเร็จนั้นมันเป็นไปได้ยากมาก

แมนเชสเตอร์ซิตี้นำห่างถึง11แต้ม แต่การพลาดแพ้คาบ้านต่อลีดส์ ยูไนเต็ดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่ยูไนเต็ดกำลังจะมีโอกาสลดช่องว่างเหลือ8แต้มได้ในเกมเจอกับเบิร์นลีย์ คืนวันอาทิตย์ช่วงสุดสัปดาห์นี้ ในยามที่ซิตี้ซึ่งแข่งมากกว่าหนึ่งนัด และไม่มีเกมลีกเตะในวีคนี้ ต้องไปลงสนามเกมรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพกับเชลซี

หากแมนยูไนเต็ดทำสำเร็จกับเกมเบิร์นลีย์ ช่องว่างจะเหลือ "8แต้ม" ทันที กับเกมที่เหลืออยู่อีก "6นัด"

นี่กำลังจะกลายเป็นสถานการณ์ที่คล้ายกันเป๊ะกับปี2012 ที่แมนเชสเตอร์ซิตี้มีคะแนนตามหลังลูกทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อยู่ "8แต้ม" ขณะที่เหลือ "6นัดสุดท้าย" ระยะห่างของคะแนนเท่ากันพอดี ในขณะที่บริบทในแง่ของคุณภาพทีม แมนยูไนเต็ดกับแมนซิตี้ก็มีทีมที่คู่คี่สูสีกันด้วย แค่กลับตำแหน่งกันเท่านั้นเอง ซึ่งปีนั้นสุดท้ายแล้วแฟนผีก็คงจะจำและเจ็บกันแบบไม่ลืมแน่นอนเมื่อโดนเบียดแซงเข้าป้าย และเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกแรกของซิตี้ในยุคของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน

ภาพจำยังชัดเจน

ขณะนี้ทีมของโซลชานั้นไม่แพ้ใครมา11นัดแล้วในลีก และ4เกมล่าสุดชนะรวด แต่ว่าทางฝั่งของซิตี้นั้นต้องการอีกเพียงแค่ "11แต้ม" จาก6นัดที่เหลือ พวกเขาก็จะคว้าแชมป์ลีกทันที

(อย่างที่เขียนในบทความคาดการณ์อันดับในลีกปีนี้ว่า ซิตี้น่าจะได้แชมป์ที่สนามเซนต์เจมส์ปาร์คทันที หากว่า4นัดข้างหน้าพวกเขาทำได้11แต้ม จะคว้าแชมป์ลีกทันทีโดยไม่ต้องสนใจแมนยูไนเต็ด)

และผู้จัดการทีมของเราก็ได้ชี้ถึงเรื่องการพลิกคว้าแชมป์ในช่วงท้ายที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ดังนี้

"แน่นอน พวกเราไม่มีทางยอมแพ้อยู่แล้ว แมนยูไนเต็ดจะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด ทีมๆนี้ สโมสรแห่งนี้พ่ายแพ้มาก็มาก แต่ก็ต่อสู้จนคัมแบ็คกลับมาได้อย่างยิ่งใหญ่อีกมากมายเช่นกัน นั่นคือสิ่งที่อยู่ในDNAของพวกเรา การยอมแพ้นั่นแหละที่ไม่ได้อยู่ในDNAของเราที่ว่านี้"

"ถามว่าการพลิกล็อคมันจะเกิดขึ้นมาได้จริงๆมั้ย? .. ไม่ ผมว่าไม่ เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่เป็นทีมที่มีฟอร์มการเล่นแน่นอนมากๆอย่างเช่นซิตี้ คงเป็นไปได้ยากนะที่จะหวังให้เขาแพ้3เกมจาก6นัดสุดท้าย ซึ่งถ้าตราบใดที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำผลงานของทีมตัวเองให้ดีที่สุด พวกเราก็อยากที่จะจบซีซั่นนี้อย่างแข็งแกร่งที่สุด และโฟกัสกับเกมตรงหน้า"

แม้ยูไนเต็ดไม่น่าจะทำคะแนนไล่แชมป์ได้ทัน แต่โควตาการได้เล่นแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้าก็ค่อนข้างที่จะปลอดภัยมากๆแล้ว ซึ่งหากยูไนเต็ดจบในอันดับท็อปโฟร์ได้ มันจะเป็นครั้งแรกของทีมเราเลยที่สามารถทำผลงานได้ลงเล่นในUCLอย่างต่อเนื่อง2ปีติดได้เป็นครั้งแรกจริงๆนับตั้งแต่การวางมือของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

โซลชาเชื่อว่าสัญญาณของการพัฒนาในครั้งนี้ จะทำให้เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราอยู่ที่การคว้าแชมป์ลีกให้ได้

"คุณต้องค่อยๆพัฒนาไปทีละขั้นๆ นั่นแหละคือความเป็นจริง ถ้าหากเราพยายามเก็บชัยชนะต่อไปเรื่อยๆเราก็จะรักษาอันดับสองเอาไว้ได้  และถ้าแมนซิตี้ชนะในเกมของพวกเขาได้ทั้งหมด ขณะที่เราเองก็ชนะในเกมของเราเองได้ทั้งหมดเช่นกัน นั่นแหละแบบนั้นคือการจบฤดูกาลได้อย่างแข็งแกร่ง"

"ปีที่แล้วอันดับสาม ปีนี้อันดับสอง หากเราทำสำเร็จ มันแปลว่าเราใกล้เคียงกับโทรฟี่มากขึ้น และมันคือการพัฒนาขึ้นนั่นเอง แต่มันยังไม่ใช่การปิดฉากที่แท้จริง เพราะแน่นอนว่าจะปิดฉากจริงๆมันคือการคว้าแชมป์ลีกต่างหาก แต่พวกเราไม่ได้อยู่ในยุคของเซอร์อเล็กซ์แล้วในตอนนี้"

"พวกเรามีช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นนับตั้งแต่เขาวางมือจากทีมนี้ไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มันเกิดขึ้นได้ เพราะไม่มีใครที่จะดีกว่าเขาอีกแล้ว เขาเคยเป็นบอสซึ่งอยู่ที่นี่มานานหลายปีมากๆ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่โคตรยากแน่นอนในการเข้ามาทดแทนป๋าได้"

"มันกำลังก้าวหน้าไปทีละขั้นๆ และเมื่อใดก็ตามที่พวกเราทำได้ดีมากพอ นั่นจะเป็นตอนที่เราได้คว้าแชมป์ลีกและถ้วยต่างๆมาได้สำเร็จนั่นเอง ซึ่งแน่นอนมันคือความทะเยอทะยานของพวกเราอยู่แล้ว เรื่องเหล่านั้นมันเป็นเป้าหมายของเราเสมอ ทุกๆคนคงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าผมพูดถึงอะไร มันคือการค่อยๆไปทีละขั้นนั่นล่ะ"

ทั้งหมดนี้คือมุมมองและความคิดของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา กับสถานการณ์ในลีกที่หากว่าแมนยูไนเต็ดเก็บชัยชนะในนัดเจอเบิร์นลีย์ได้สำเร็จ ระยะห่างของยูไนเต็ดจะเหลือแค่8แต้ม กับแมตช์ที่เหลืออีก6เกมสุดท้ายเท่ากันทั้งคู่

แน่นอนเราคงไม่ต้องพะวงเรื่องที่ว่าอันดับสามอาจจะตามมาแซงเราได้แล้ว เพราะพูดกันตามตรง อันดับ3-4 หลุดวงโคจรในการจะมาแย่งอันดับ2กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปแล้วเรียบร้อย

คำถามสำคัญของบทความนี้ก็คือ ห่าง8แต้ม เหลือ6นัด แมนยูมีโอกาสแซงแมนซิตี้เป็นแชมป์หรือไม่?

ในทางทฤษฎี แน่นอนว่าเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะเหลือเกมถึง6นัด ในขณะที่คะแนนนี้สามารถทำแต้มทันได้ด้วยการชนะ3นัด

แต่ในทางปฏิบัติ เราจะคาดหวังให้แมนเชสเตอร์ซิตี้ทำแต้มหล่นเยอะขนาดนั้นได้จริงๆเหรอ?

ต้องตอบว่า จริงๆแล้วมันก็มีทั้งเป็นไปได้ และ เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน

ถ้าแมนยูพลาดกับเบิร์นลีย์ ขอแนะนำให้จบบทความตั้งแต่บรรทัดนี้ได้เลย อย่าอ่านต่อครับ (ฮา)

ในบทความที่เขียนเรื่อง คาดเดาอันดับท้ายฤดูกาล https://www.thsport.com/column-4556.html ผู้เขียนได้ทำนายคะแนนของแมนเชสเตอร์ซิตี้เอาไว้ที่90คะแนน จากการชนะอีก 5นัดที่เหลือ และพลาดเสมอ1นัด โดยคำนวณจากมาตรฐานและฟอร์มโดยทั่วๆไป (74+3+3+3+3+3+1 = 90คะแนน)

คู่แข่งที่ซิตี้จะต้องเจอตามลำดับคือ

Aston Villa (เยือน) / Crystal Palace (เยือน) / Chelsea (เหย้า) / Newcastle United (เยือน) / Brighton and Hove Albion (เยือน) / Everton (เหย้า)

เราลองมาคิดกันง่ายๆว่า จริงๆแล้วการสะดุดของซิตี้นั้น ไม่จำเป็นต้องลุ้นให้พวกเขาแพ้3นัดรวด ก็มีโอกาสพลิกได้

เพราะเพียงแค่สะดุดเสมอแค่สัก 1นัด แล้วก็พลาดแพ้แบบเกมเจอลีดส์อีกสัก1นัดติดๆกัน เกมก็อาจจะพลิกได้ทันที เพราะสมมติว่า สามนัดถัดไป ซิตี้พลาดเสมอ1 แพ้1 ชนะ1 พวกเขาจะได้เพิ่มอีกแค่4แต้ม จะกลายเป็น 78คะแนน ส่วนแมนยูไนเต็ดหากเดินเครื่องสุดชีวิตเก็บสามนัดที่เจอลีดส์ ลิเวอร์พูล วิลล่าได้หมดอย่างฮึกเหิม แมนยูจะมีแต้ม : 66+9 = 75คะแนน

เห็นได้ชัดว่า ซิตี้เพียงแค่สะดุดเสมอ1เกม, พลาดแพ้จั๋งๆอีก1เกม แมนยูจะมีโอกาสลดช่องว่างเหลือ"3แต้ม" ทันที

ถ้าลดช่องว่างเหลือ3แต้มได้ขึ้นมาจริงๆ หลังจากนั้นScenarioถัดไปก็คือ ถ้าระยะห่างแมนยูไนเต็ดกับแมนซิตี้เหลือแค่ 3แต้มเมื่อไหร่ เกมทุกเกมของซิตี้จะกดดันหนักเหมือนการเล่นนัดชิงแน่นอน

เพราะพวกเขาจะพลาดไม่ได้แล้ว แล้วพอกดดันหนักมากๆ โอกาสที่ซิตี้จะ "พลาดอีกนัด" จะมีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอน และหากแมนซิตี้กดดันจนพลาดซ้ำอีกนัดจริงๆ นั่นแปลว่าพวกเขาเพียงแค่ "เสมอ1นัด แพ้2นัด" แมนยูไนเต็ดก็จะทำแต้มทาบแมนซิตี้ทันที โดยไม่ต้องถึงขนาดลุ้นให้ซิตี้แพ้สามนัดรวดขนาดนั้น

ส่วนแมตช์ของแมนยูไนเต็ดเอง ถ้าปีศาจแดงไม่พลาดในนัดที่เหลือ ก็ยังมีโอกาสทำแต้มทาบได้ ซึ่งเหลือเพียงแค่แดงเดือดเท่านั้นที่ต้องลุ้นมากหน่อย จากทั้งหมด6นัดที่ไม่ถึงกับเหลือบ่ากว่าแรงเลย ดังนี้

Leeds United (เยือน) / Liverpool (เหย้า) / Aston Villa (เยือน) / Leicester City (เหย้า) / Fulham (เหย้า) / Wolves (เยือน)

สิ่งที่แมนยูต้องการคืออะไร? หากอยากมีลุ้นแชมป์กันเล็กๆน้อยๆจริงๆ นั่นก็คือ คาดหวังให้5นัดต่อจากนี้ แมนซิตี้พลาดตั้งแต่"นัดหน้า"ในการเจอทีมจอมบุกอย่างวิลล่าเลย จากนั้นแม้พวกเขาจะชนะพาเลซได้ แต่ถ้าพวกเขาเกิดไปโดนเชลซีถลุงต่ออีกดอกในเกมนัด35 รับรองสนุกแน่นอน ซึ่งมันก็มีโอกาสเกิดได้ไม่ยาก เพราะนี่ซิตี้ก็แพ้เชลซีตกรอบเอฟเอคัพไปแล้ว

ถึงตรงนั้นแมนซิตี้จะมีแค่78แต้ม แมนยูจะมีโอกาสลดช่องว่างเหลือ3แต้มทันที หากเก็บลีดส์ ลิเวอร์พูล และวิลล่าได้

สามทีมนี้ หากแมนยูไนเต็ดท็อปฟอร์มจริงๆ เราสามารถชนะพวกเขาได้ทั้งหมด เพราะลีดส์เราก็ถล่มเละ 6-2 มาแล้ว ในขณะที่ลิเวอร์พูลก็โดนเราเขี่ยตกรอบเอฟเอคัพ ส่วนวิลล่าก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อกรกับเราได้อีกต่อไป

ดังนั้นแปลว่ายังพอจะมีโอกาสอยู่บ้างที่แมนยูจะเตะจบ35แมตช์ ด้วยการชนะรวดแล้วตามหลังซิตี้3แต้ม (78ต่อ75)

(เน้นย้ำอีกครั้งว่า นี่คือpredictionที่อาจเกิดขึ้นได้เท่านั้น แต่มันยังเป็นจริงยากอยู่ เหมือนที่โอเล่ให้สัมภาษณ์)

แต่หากว่าสถานการณ์มันเริ่มมีการพลิกผันขึ้นมาจริงๆ แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม (เช่นซิตี้เสมอกับวิลล่าในนัดหน้า) อาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็ได้ เพราะอย่างที่เขาบอกว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว" หากเส้นทางลุ้นแชมป์ของเรือใบสีฟ้าเกิดรอยร้าวเล็กๆขึ้นมา มันอาจจะกลายเป็นButterfly Effect ลากยาวต่อเนื่องหลายนัดจนกระเทือนเป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆก็ได้

มาดูสถานการณ์ต่อเนื่องกันต่อ หากเป็นแบบนั้นจริงๆ ยูไนเต็ดกับซิตี้คะแนนห่างกันแค่3คะแนน แล้วเกมแข่งเหลืออยู่ 2หรือ3นัดสุดท้าย โอกาสทำแต้มทาบจะเปิดกว้างขึ้นมาทันที

เพราะยังไงฟุตบอลก็คือเกมของมนุษย์ ไม่ใช่เครื่องจักร บอลลูกกลมๆอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น การห่าง3คะแนนแปลว่าถ้าแมนซิตี้พลาดอีกสักนัด แมนยูไนเต็ดจะทำแต้มเท่ากับซิตี้ทันที ไม่ว่าตามทันในนัดที่ 36 หรือ 37 ก็ตาม

และถ้าแต้มเท่ากัน นัดสุดท้ายของฤดูกาล อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ประวัติศาสตร์ก็มีให้เห็นแล้ว

ตัวอย่างของการที่ต้องตัดสินแชมป์กันจนถึงฎีกา "นัดสุดท้าย" ในลีกนั้นก็มีให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะบอลยุคพรีเมียร์ลีกด้วย ซึ่งมีสองตัวอย่างที่เห็นกันอย่างชัดเจนมากๆว่า บางครั้งแชมป์ต้องตัดสินกันจนถึงนัดสุดท้าย เกมนัดที่38จริงๆถึงจะรู้ผล

ตัวอย่างแรก ปี1995 เป็นการแย่งแชมป์ระหว่าง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส VS แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

จบนัดที่37 แมนยูไนเต็ดตามแบล็คเบิร์นอยู่2แต้ม กับเกมสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น แบล็คเบิร์นยังกุมชะตาชีวิตในมือตัวเองอยู่ ส่วนยูไนเต็ดต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจในการเอาชนะทีมกุหลาบไฟให้จงได้

และจมูกในปีนั้นไม่ใช่ใครอื่น จมูกลิเวอร์พูลซะด้วย

14 พฤษภาคม 1995 เกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล 1994/95 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ต้องเจอกับลิเวอร์พูลในเกมสุดท้าย ส่วนแมนยูไนเต็ดเจอเวสต์แฮม ซึ่งสุดท้ายแล้วเครื่องจักรสีแดงแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ได้แสดงให้เห็นถึงคลาสของความเป็นมืออาชีพด้วยการตบแบล็คเบิร์นแพ้ในสกอร์ 2-1

แม้มันอาจจะมีส่วนทำให้คู่อริตลอดกาลอย่างปีศาจแดงได้แชมป์ก็ตาม แต่พวกเขาก็แสดงสปิริตเล่นอย่างเต็มที่จนเอาชนะได้

เมื่อแบล็คเบิร์นพลาดให้แล้ว ถ้าแมนยูเอาชนะเวสต์แฮมได้คะแนนก็จะแซงเป็นแชมป์ทันที แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แมนยูไนเต็ดไม่สามารถบุกไปเอาสามแต้มจากอัพตันปาร์คได้ และเสมอกับขุนค้อนไป 1-1 ได้คะแนนเดียว และพลาดแชมป์ในนัดสุดท้ายด้วยคะแนน 89 ต่อ 88 ห่างกันเพียงแต้มเดียวเท่านั้น

เป็นสีถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกที่สวยมาก แม้แฟนแมนยูอย่างเราจะไม่แฮปปี้ก็ตาม

นั่นคือเหตุการณ์ที่ตัดสินแชมป์กันในนัดสุดท้ายซึ่งพลิกไปพลิกมา แต่น่าจะไม่พลิกเท่าฤดูกาล 2011/12 ซึ่งคู่กรณีแย่งแชมป์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย มันคือการแย่งแชมป์ลีกจนถึงทดเจ็บของนัดสุดท้ายที่เดือดที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ของสองทีมเมืองแมน ระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด VS แมนเชสเตอร์ซิตี้

ตัวอย่างในฤดูกาล2011/12 นี้ นำมาเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดเจนซะยิ่งกว่าปีแบล็คเบิร์นซะอีก เพราะหลังจากที่แข่งขันไปครบ32นัด จ่าฝูงอย่างแมนยูไนเต็ดนำห่างอยู่8แต้ม และเหลือเกมให้เล่นอีกแค่6นัดเท่านั้นเอง เหมือนปีนี้เป๊ะๆ สลับกันแค่ว่าทีมนำคือแมนยูไนเต็ด ที่สุดท้ายแล้วโดนอันดับสองอย่างแมนซิตี้ไล่แซงได้สำเร็จขึ้นมาจริงๆนั่นเอง

8แต้ม 6นัด เคยเกิดการแซงเป็นแชมป์ขึ้นมาแล้ว และเกิดกับแมนยู-แมนซิตี้ซะด้วย!!

ฤดูกาล2011/12 หลังจากที่เกมลีกแข่งกันไปแล้ว32นัด ตอนนั้นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมี79คะแนน นำแมนเชสเตอร์ซิตี้อยู่ 8แต้มเต็มๆ และเหลือแมตช์อีกเพียง6นัดเท่านั้น ซึ่งลูกได้เสียตอนนั้น ยูไนเต็ดนำอยู่ที่ 51ต่อ49 ดีกว่าอยู่2ลูก

แถมนั่นคือแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยุคป๋า

การนำอันดับ2อยู่ถึง8คะแนน และเกมเหลืออีกแค่6นัด เอาสิ่งนี้มาถามเล่นๆ ถ้าหากเราไม่รู้ผลการแข่งขันซีซั่นนั้นมาก่อน คิดว่าคนอย่างเซอร์อเล็กซ์จะทำทีมแพ้3นัดรวด ให้แมนซิตี้ชนะ3นัดรวดไล่มาทันได้เลยหรือไม่?

เราก็จะตอบว่า "ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด" ที่ป๋าจะพลาดแพ้สามนัดรวด ไม่มีทางที่ผู้จัดการชั้นยอดของโลกระดับเซอร์อเล็กซ์จะปล่อยให้ทีมแผ่วปลายขนาดนั้น

ดังนั้นเช่นกัน เอาคำถามเดียวกันนี้มาถามกับทีมสุดแกร่งของเป๊ป เราก็จะตอบเหมือนเดิมว่า ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน ที่พวกเขาจะพลาดรัวๆขนาดนั้น

แต่ในปี2012 สิ่งที่เกิดขึ้นในนัดที่33คือ แมนยูไนเต็ดไปพลาดแพ้1นัด กับการแพ้วีแกน 1-0 ส่วนซิตี้ ถล่มเวสต์บรอม 4-0 ทั้งๆที่เกมก่อนหน้านั้นพวกเขาเพิ่งแพ้อาร์เซนอลมา1-0ด้วยซ้ำจนทำให้แต้มห่างทีมป๋าถึง8คะแนน

สถานการณ์ในนัดที่33 กับผลต่างไปกลับเช่นนี้มันทำให้ระยะห่างจาก8 เหลือ5แต้มทันทีในนัดที่33

เพียงแค่เกิดผลการแข่งขันที่ไม่คาดหมายเกิดขึ้นนัดเดียว ช่องว่างลดลงมาเยอะมาก

แม้นัดที่34แมนยูจะกลับมาแก้ตัวด้วยการชนะวิลล่า4-0 แต่ซีซั่นนั้นนัดที่แมนยูเหมือนโดนฆ่าจริงๆ กลับไม่ใช่การพลาดแพ้วีแกน1-0ก่อนหน้านี้ แต่เป็นการพลาด "เสมอเอฟเวอร์ตันคาบ้าน" 4-4 ในขณะที่วีคนั้นซิตี้บุกไปตบวูล์ฟ 0-2

แมนซิตี้ลดช่องว่างตามแมนยูเหลือแค่3แต้ม หลังจบการแข่งขันนัดที่35 ซึ่ง3แมตช์ที่เหลือมันเยอะมากพอจะทำแต้มที่ห่างแค่สามแต้มให้ได้ทัน

จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ตรงนี้

มาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านคงจะเริ่มเห็นกันแล้วว่า การนำห่าง8แต้มของแมนยูในเกมที่32นั้น สามนัดต่อมาแมนยูก็ไม่ได้ แพ้สามนัดรวดแต่อย่างใด เพียงแค่พลาดสะดุด "เสมอ1นัด" และ "แพ้1นัด" เท่านั้น ระยะห่างกับซิตี้ก็ลดลงเหลือ3แต้มได้แล้ว

สถานการณ์เดียวกันกับที่พารากราฟด้านบนเราลองคำนวณของฤดูกาล 2020/21 แบบเป๊ะๆเลยว่า ซิตี้ไม่จำเป็นต้องแพ้รวดสามนัด หากเพียงแค่พลาดเสมอสักหนึ่งนัด แล้วพลาดแพ้ขึ้นมาสักนัดเดียวเกมเปลี่ยนชัวร์

เมื่อเป็นอย่างนั้น หากว่ายูไนเต็ดไล่ซิตี้ให้เหลือ3คะแนน หลังจบเกมนัดที่35" หรือแย่สุดคือนัดที่36 โอกาสจะเปิดกว้างทันที เพราะเกมที่เหลือ2-3นัด มันจะกลายเป็นเกมที่กดดัันระดับรอบชิงชนะเลิศทันที

และเมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ เหมือนอย่างที่ปี2012 เกมนัดที่36 แมนซิตี้เจอกับแมนยูไนเต็ดโดยตรงซึ่งห่างกันอยู่3แต้มพอดี และเป็นการพ่ายแพ้ของปีศาจแดง1-0ที่ส่งผลไปกลับ นอกจากซิตี้จะทำแต้มทาบแล้ว เรายังหยุดอยู่ที่เดิมจนคะแนนเท่ากันในแมตช์36 จากนั้นแม้แมนยูจะชนะ2นัด ก็โดนกระชากแชมป์ไปอย่างเจ็บแสบแบบที่ไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้น

ปี2021นี้ หากยูไนเต็ดทำได้แค่ "แต้มเท่า" กับแมนซิตี้ เราอาจจะซ้ำรอยปี2012ทันที ที่เป็นรองแชมป์แบบแพ้แค่ลูกได้เสีย แต่แต้มเท่าทีมแชมป์อย่างน่าเจ็บปวด เพราะว่าลูกได้เสียตามซิตี้อยู่เยอะมากในระดับที่ไม่มีทางไล่ทัน

ตอนนี้เรือใบสีฟ้ามีลูกได้เสียอยู่ที่ +44 ในขณะที่แมนยู +27 ความห่าง17ลูก ไม่มีทางที่แมนยูจะทำลูกได้เสียแซงได้แน่ๆ เพราะงั้นถ้าทำได้แค่คะแนนเท่า แฟนแมนยูอาจจะเสียดายกว่าเดิมถ้าปีนี้พลาดแชมป์แค่เพราะลูกได้เสีย กับศัตรูเก่าอย่างแมนซิตี้ซ้ำสองอีกครั้ง

สรุปแล้วบทความนี้เราพยายามที่จะทำให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า จริงๆแล้วช่องว่าง 8แต้ม กับเกม6นัดที่เหลือ มันก็ยังไม่ได้ถึงกับ "ไม่มีทางเกิดขึ้นได้" ซะขนาดนั้น ยังมีโอกาสจะเกิดได้ในทางปฏิบัติอยู่

คิดๆแล้วก็เสียดาย ถ้าแมนยูไนเต็ดไม่เจอพิษการตัดสินของกรรมการในนัดเจอเชฟฟิลด์ยูไนเต็ดจนพลาดแพ้ในนัดนั้น ตอนนี้เราอาจจะเบียดซิตี้ได้ใกล้เคียงกว่านี้ก็เป็นได้

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันกำลังจะคล้ายคลึงกับปี 2011/12 เป๊ะๆ สลับกันแค่ปีนี้ผู้นำคือแมนซิตี้ และผู้ไล่ตาม8แต้มคือแมนยูไนเต็ดนั่นเอง

จริงๆแล้วทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา เราไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ มุมมองของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่พูดได้ถูกต้องตรงเผงที่สุดแล้วว่า เราจะยังไม่ยกธงขาว ตราบใดที่ลีกยังไม่จบ เขาจะพาแมนยูสู้จนถึงวินาทีสุดท้ายอย่างแน่นอน

แต่โอเล่ก็ยังไม่ลืมที่จะมองทุกอย่างบนความเป็นจริง ไม่เพ้อฝันไร้สาระด้วยการมานั่งหวังให้แมนซิตี้พลาดรัวๆ มันUnrealistic เกินไป เพราะเรื่องแบบปี2012ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆที่กระชากแชมป์ลีกกันจนถึงช่วงทดเวลาเจ็บนาทีสุดท้ายกันขนาดนั้น

เรารู้กันอยู่แล้วว่าแมนเชสเตอร์ซิตี้ฤดูกาลนี้มีการเล่นที่แน่นอนขนาดไหน กับเกมรับที่เสียประตูน้อยมาก ในขณะที่แม้จะเป๋ไปพักนึง แต่กลับมาชนะเก็บสามแต้มต่อเนื่องรัวๆแบบไม่หยุดสะดุดเลยแม้แต่นัดเดียว เพิ่งจะมาแพ้เกมลีดส์นัดที่แล้วเอง

ทางที่ดีที่สุดคือ แมนยูควรที่จะตั้งหน้าตั้งตาเล่นในเกมของตัวเองให้ดีที่สุดไปเรื่อยๆ นัดต่อนัด อยู่กับปัจจุบันก็พอแล้ว เพราะไม่ว่าจะจบยังไง ปีนี้อันดับในลีกเราถือว่าประสบความสำเร็จแน่ๆ 100% เนื่องจากการพัฒนาที่ชัดเจนในการรักษาอันดับท็อปโฟร์ในลีก และได้ไปUCLสองปีติดต่อกันได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ป๋าวางมือไป

แม้จะไม่ได้แชมป์ แต่การทำทีมในลีกปีนี้ประสบความสำเร็จไป90%แล้ว ต่อให้ไม่ได้แชมป์ก็ไม่มีใครว่า

เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็แค่เล่นของเราให้ดีไป ต่อให้ซิตี้จะชนะหมดทุกเกม เราก็แค่ "ชนะหมดทุกเกม" ให้ได้เช่นกัน นั่นต่างหากถึงจะเป็นการจบซีซั่นนี้อย่างแข็งแกร่งที่สุด

ปีนี้ยังไม่ได้แชมป์ไม่มีปัญหา แต่การแสดงความแน่นอนในเกมลีกให้เห็น และลดช่องว่างให้ได้มากที่สุด เพียงแค่นั้นก็ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมในปีต่อๆไป และสร้าง"ประสบการณ์ลุ้นแชมป์" ให้กับเด็กๆพวกนี้คุ้นชินกันไว้ เพื่อรอในอนาคตอีก3ปีข้างหน้าที่เด็กชุดนี้จะเข้าช่วงพีคพอดี

ถึงตอนนั้นรับรองว่า การขับเคี่ยวกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ ระยะห่างมันจะไม่ใช่8คะแนนแบบนี้แน่นอน

ปีนี้เรามาเชียร์ให้แมนยูไนเต็ดจบฤดูกาลอย่างแข็งแกร่งก็พอ ส่วนแชมป์ลีกเราไม่จำเป็นต้องไปโฟกัสให้เสียเวลาแม้แต่น้อย แค่เล่นให้ดีที่สุดในทุกนัดก็พอ ฝั่งซิตี้คงชนะตามมาตรฐานตามที่คาดนั่นแหละว่าน่าจะเก็บได้ถึง90แต้ม แต่ก็อย่าพลาดขึ้นมาแล้วกัน ผู้จัดการทีมคนนั้นเขายังไม่ยอมแพ้นะ

เผลอเมื่อไหร่ โดนเขมือบไม่รู้ตัวแน่เป๊ป

-ศาลาผี-

References

https://www.independent.co.uk/sport/football/premier-league/manchester-united/man-utd-news-city-title-b1832570.html?utm_source=reddit.com

https://www.premierleague.com/match/7776

https://www.transfermarkt.com/premier-league/spieltag/wettbewerb/GB1/saison_id/2011/spieltag/32

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด