:::     :::

สัญญาใหม่ไบญี่ การตัดสินใจของคาวานี่ สู่อนาคตปีศาจแดง

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
4,996
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การต่อสัญญาของเอริค ไบญี่ส่งผลให้มองเห็นแพลนเสริมทีมของแมนยูได้ง่ายขึ้น ในขณะที่อนาคตของทีมจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจต่อสัญญาหรือไม่ของเอดินสัน คาวานี่ เป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตามอง
หลังจากที่เอริค ไบญี่ พักเบรคสโมสรไปรับใช้ทีมชาติ และติดโควิด19 จนต้องไปรักษาอาการโควิดอยู่หลายสัปดาห์ ตอนนี้เขาได้กลับมาอยู่กับทีม และมีชื่อบนม้านั่งสำรองตั้งแต่เกมนัดที่แล้ว ท่ามกลางกระแสข่าวหนาหูที่ตีข่าวกันอย่างสนุกสนานช่วงที่เขาหายไปจากทีมว่า ไบญี่ ลังเลที่จะต่อสัญญาเพราะมีปัญหาเรื่องโอกาสการลงสนาม และมีทีท่าว่าจะย้ายออกจากทีมในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวันก่อนได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดว่า เอริค ไบญี่ ปราการหลังวัย27ปี ได้ประกาศต่อสัญญากับแมนยูไนเต็ดไปจนถึงปี 2024 พร้อมด้วยออฟชันขยายสัญญาอีกหนึ่งปีแล้วเป็นที่เรียบร้อย

ไบญี่ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ในครั้งนี้ว่า

"ผมมีความสุขมาก การตัดสินใจครั้งนี้แทบจะไม่ต้องคิดเลย เพราะผมรักสโมสรนี้ ผมรักการลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ผมมีความสุขมากๆ และครอบครัวผมก็เช่นกัน ทุกอย่างดีเยี่ยมเลย นี่คือช่วงเวลาที่ผมก้าวข้ามผ่านอาการบาดเจ็บมาได้แล้ว ผมฟิตสมบูรณ์และรู้สึกดีเยี่ยม ก็นั่นแหละครับ สัญญาใหม่นี้เป็นความท้าทายครั้งใหม่ที่ผมพร้อมจะลุยมานานแล้ว"

หลังจากที่ย้ายมาจากบีญารีลในปี2016 เขายอมรับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆสำหรับนักเตะในด้านความมั่นคงนอกสนามที่ควรต้องเคลียร์อนาคตให้เรียบร้อย และมันก็เป็นความยินดีอย่างมากที่ผู้จัดการทีมและสตาฟฟ์ยังคงมีศรัทธาในตัวเขาอยู่

"เพราะเป็นเช่นนั้นผมถึงได้บอกว่า การได้สัญญาใหม่นี้มันแสดงให้เห็นว่าทีมมีความเชื่อมั่นในตัวผม ทั้งผู้จัดการทีม สตาฟฟ์โค้ช นักเตะในทีม ซึ่งสำหรับผมมันสำคัญมากๆ ความเชื่อมั่นนี้แหละทำให้ผมตัดสินใจจะอยู่โยงกับสโมสรต่อไป"

เอริค ไบญี่ ได้แชมป์ยูโรปาลีกกับปีศาจแดงปี2017 และรอบรองชนะเลิศในปีนี้ ยูไนเต็ดกำลังจะลงสนามเจอกับทีมหมาป่าจากกรุงโรมที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในวันพฤหัสบดีนี้

"สำหรับผมมันเหมือนฝันที่ได้อยู่ที่นี่ ตอนนี้คือซีซั่นที่ห้าแล้วสำหรับผม และผมก็หวังว่าจะได้อยู่ที่นี่ไปนานๆ"

"เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีนะ เรามีลุ้นในยูโรปา เราอยู่อันดับสองในลีก ซึ่งมันเยี่ยมมากเลย เราหวังว่าจะคว้าแชมป์ในถ้วยนี้ได้ มันสำคัญสำหรับเรา สำหรับแฟนๆ และสำหรับซีซั่นนี้ และในพรีเมียร์ลีกเองเราก็ต้องการจะจบด้วยอันดับที่ดีที่สุดด้วย และผมว่าเราทำได้"

"ผมหวังว่าผมจะพร้อมลงสนาม ไม่มีบาดเจ็บ และหวังว่าจะกลับมาแข็งแรงและลงเล่นจนจบซีซั่นได้อย่างดี ผมอยากให้ทีมเราได้แชมป์ยูโรปาลีกซีซั่นนี้ และเราก็จะมีความท้าทายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมในซีซั่นหน้า ซึ่งหวังว่าจะเป็นในแชมเปี้ยนส์ลีก สำหรับตัวผมเองนั้นความฝันคือการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก นั่นคือความฝันใหญ่ของผม"

เมื่อถูกถามว่ารู้สึกยังไงต่อการที่ปีศาจแดงจะขึ้นมาเป็นตัวเต็งในการท้าชิงแชมป์ซีซั่นหน้านั้น เขาตอบกลับมาว่า

"ผมเชื่อนะ ผมเชื่อ เชื่อในเพื่อนร่วมทีม พวกเรายอดเยี่ยม เป็นทีมที่อายุน้อย และก็กระหายที่จะพัฒนาอยู่ตลอดเวลาซึ่งนั่นสำคัญมากๆสำหรับทีมเราในฤดูกาลถัดไป"

โอเล่ กุนนาร์ โซลชากล่าวเสริมการต่อสัญญาของไบญี่เอาไว้ว่า

"ผมยินดีมากๆที่เอริคต่อสัญญาใหม่ เขายังคงเรียนรู้และพัฒนาตัวเองกับทีมโค้ชของเราอยู่ตลอดเวลา"

"เอริคพัฒนาในด้านความแข็งแรงของเขานับตั้งแต่ผมมาเป็นผู้จัดการทีม และเขาจะเป็นส่วนสำคัญในทีมของเราต่อไป"

"เขามีความเร็วที่น่ามหัศจรรย์มาก และการกะจังหวะเข้าแทคเกิลซึ่งมีความดุดันอยู่ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค เขาเป็นสมาชิกที่ป็อปปูลาร์มากของทีมเรา และเราจะทำงานร่วมกันกับเขาต่อไป"

ทั้งหมดนี้คือประเด็นหนึ่งของข่าวคราวในสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่เกิดขึ้นในช่วง1-2วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับการต่อสัญญาของนักเตะตัวหลักในทีมเรา ซึ่งเป็นการทำให้แฟนบอลได้รู้ว่า ทีมวางแพลนที่ต้องการจะเก็บไบญี่เอาไว้ในทีมแบบ "ระยะยาว" และเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างทีมชุดปัจจุบันไปจนกว่าจะถึงปี 2024 ซึ่งมีออฟชั่นขยายได้อีกถึงปี 2025 (ซึ่งปกติก็จะขยายอยู่แล้ว)

นั่นแปลว่า อย่างน้อยๆเอริคจะอยู่กับแมนยูไนเต็ดไปจนถึงช่วงอายุราวๆ30-31ปีเลยทีเดียว กับช่วง4ปีต่อไปนี้

การต่อสัญญาใหม่ไบญี่ทำให้เราเห็นอะไรในแผนงานและ"โครงสร้างนักเตะ"ในทีมบ้าง?

1.การันตีตัวหลักที่ใช้งาน

อย่างแรกสุดเลยก็คือ นี่เป็นการต่อสัญญายาวกับนักเตะที่มีสถานะอยู่เป็นหนึ่งในนักเตะตัวจริงของทีม ที่ทำหน้าที่สลับกันลงสนามเพื่อเป็นคู่หูของแฮรี่ แมกไกวร์ กัปตันทีมตัวหลัก

แม้ไบญี่จะไม่ได้ลงสนามทุกเกม แต่ลักษณะของการ "สลับใช้" กับวิคตอร์ ลินเดอเลิฟเช่นนี้ เราจึงสามารถระบุสถานะของเขาเอาไว้เป็น first team player ได้อีกหนึ่งคน เพราะเขาไม่ใช่นักเตะตัวสำรองเบอร์ท้ายๆที่เอาไว้ลงฉุกเฉิน อย่างเช่นในกรณีของผู้เล่นสำรองตำแหน่งกองหลังอย่าง "Axel Tuanzebe" ที่น้องตวนถือว่าเป็นตัวสำรองแบบจริงๆจังๆ

เมื่อเป็นเช่นนั้น เอริค ไบญี่ จะถูกนับเป็น 1ใน3 slot ของ "Centre-Backตัวจริง" ของทีม และการต่อสัญญาหมายถึง ทีมเลือกที่จะใช้เขาลงสนาม อย่างจริงจังต่อเนื่องระยะยาวไปอีก3-4ปี

ดังนั้นแปลว่า พื้นที่ตำแหน่งกองหลัง ถูกfixเอาไว้ด้วยตัวยืนหลักๆอย่าง แมกไกวร์ ลินเดอเลิฟ และ ไบญี่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ยังมี กองหลังอันดับ4อย่าง ตวนเซเบ้ รอสแตนด์บายสำรองอีกหนึ่งคนในยามฉุกเฉินเผื่อมีคนเจ็บ

เท่ากับว่าตอนนี้ยูไนเต็ดมี CB แล้วถึง "4คน" เต็มๆ โดยที่ยังไม่นับ ฟิล โจนส์ ที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บในกระบวนการของเวชศาสตร์ฟื้นฟู นั่นแปลว่าเรามีเซ็นเตอร์อยู่ 5คนในทีม ตราบใดที่โจนส์ และตวนเซเบ้ยังอยู่ในทีม

2. slot ผู้เล่นกองหลังเต็มจำนวน

ตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คที่ลงได้แค่เกมละ2คนเท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนตัวระหว่างเกม ถ้าไม่เจ็บจริงๆผู้จัดการทีมจะไม่เปลี่ยนตำแหน่งนี้ เพราะเป็นตำแหน่งสำคัญที่ต้องใช้ความเข้าใจเกม และการเซ็ตpositionเกมรับที่มั่นคงและแน่นอนมากๆ

ไม่สามารถเปลี่ยนตัวซี้ซั้ว หรือยืนสลับตำแหน่งกันได้ง่ายๆ

นอกจากนี้ เซ็ตเตอร์แบ็คถือเป็นอีกตำแหน่งที่ค่อนข้างจะไม่ได้ใช้ร่างกายหนักเท่ากับกองกลาง ในขณะที่ก็ไม่ต้องใช้การ "วิ่ง" มากเท่ากับนักเตะตัวรุกด้วย การเล่นกองหลัง โดยเฉพาะเซ็นเตอร์แบ็คที่ยืนตรงกลางจะได้จังหวะสปรินท์เวลาที่ต้องดวล หรือวิ่งไล่กวดกองหน้าคู่แข่งเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะใช้วิธีค่อยๆปรับ ขยับตำแหน่งตัวเองในสนามเอา ไม่ได้จะต้องสปรินท์หนักตลอดทั้งเกม

ดังนั้นผู้เล่นตำแหน่งนี้จึงไม่ถึงกับเหนื่อยมาก และสามารถที่จะลงเล่นต่อเนื่องหลายๆนัดได้ อย่างที่เราเห็นว่า แฮรี่ แมกไกวร์ และกองหลังตัวหลักในทีมต่างๆ มักจะได้ลงสนามแทบทุกนัด โดยที่ไม่มีอาการอ่อนล้ามากเท่ากับตำแหน่งอื่นๆที่ต้องrotationและสลับกันลงไปเล่นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะพวกตัวรุกสายสปีดทั้งหลาย และกองกลางที่ต้องเล่นเกม"ปะทะ"ในแดนกลางตลอดเวลา ในขณะที่เซ็นเตอร์จะเข้าแทคเกิลแค่เฉพาะที่ถูกบุกกดดันเข้าพื้นที่สุดท้ายเท่านั้น

ภายใต้ยุคโซลชาที่ผ่านมา เชื่อว่าแฟนผีคงจะเห็นกันดีว่า เราใช้เซ็นเตอร์ลงเล่นแบบจริงๆจังๆเพียงแค่3คนเท่านั้น โดยมีแมกไกวร์เป็นตัวยืนหนึ่ง ลงทุกนัด โดยใช้คู่หูเป็นลินเดอเลิฟสลับกับไบญี่ยามที่ฟิต  ส่วนอีกคนนึงอย่างตวนเซเบ้ แฟนผีก็จะเห็นว่า "นานๆที" เท่านั้นที่น้องจะได้ลงสนามมาให้เราเห็น

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงแทบไม่ต้องใช้ตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คเกินไปกว่า "4ตัว"

ยืนพื้น 4ตัวคือปริมาณที่กำลังดีสำหรับการมีตัวหลัก + ตัวเปลี่ยน + ตัวสำรองเผื่อฉุกเฉิน แล้วหลังจากนั้นคนที่5-6 เราก็อาจจะใช้นักเตะดาวรุ่งในทีมเยาวชนที่มีแวว เอาขึ้นมาเป็นสำรองยามจำเป็นได้ในบางครั้ง

เมื่อเกิดการต่อสัญญาไบญี่เกิดขึ้น ในขณะที่โซลชาเองแสดงออกชัดเจนว่า เขาพึงพอใจกับการจับคู่"แมกไกวร์ + ลินเดอเลิฟ" อย่างมาก โดยนัดสำคัญๆทั้งหลายจะเป็นคู่นี้ลงยาวๆ ในขณะที่เกมกลางสัปดาห์ก็จะส่งไบญี่ลงสนามมาบ้าง แล้วแต่แทคติก หรือการrotationนักเตะ

เพราะงั้นจะเห็นได้ว่า "กองหลังตัวจริง" เต็ม3 slotเน้นๆ ทั้งคู่หลัก ทั้งตัวเปลี่ยน แถมมีสำรองเป็นเด็กปั้นสโมสรอีกหนึ่งคนที่พร้อมลงตลอดเวลา รวมเป็น4

คำถามก็คือ แล้วแบบนี้จะเอา "slot" ที่ไหนเหลือให้กับ "กองหลังตัวใหม่" ที่จะซื้อเข้ามาในตลาดนักเตะนี้

3. ความเร่งด่วนในการเสริมกองหลัง จะถูกลดpriorityลง

ประเด็นนี้สำคัญ เป็นผลต่อเนื่องมาจากข้อสอง นั่นก็คือ เมื่อเราต่อสัญญา มันเป็นเหมือน "หลักประกัน" ที่จะทำให้แมนยูมีกองหลังตัวหลักใช้งานไปยาวๆอีกหลายปีถึง3คน ซึ่งภาวะที่จะต้องเสริมกองหลังแบบเร่งด่วนนั้นจะลดลง เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ อนาคตของเอริค ไบญี่ ยังไม่แน่นอน มีข่าวลือหนาหูว่าเขาต้องการย้าย

แต่ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจน และ เคลียร์แล้วว่า อย่างน้อยๆเรามีหลักประกันเป็น กัปตันแมก ลินเดอเลิฟ และไบญี่ไปอีก3-4ปีเลย ซึ่งการที่โอเล่เลือกจะตัดสินใจต่อสัญญากับเอริค ไบญี่ แปลว่าโอเล่เชื่อใจในฝีเท้าของไบญี่

ความเร่งด่วนที่ต้องซื้อกองหลังจึงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

เห็นภาพนี้แล้วเริ่มไม่แน่ใจว่า มันอาจจะยังด่วนอยู่ก็ได้ -"-

อนึ่ง.. แม้ความเร่งด่วนจะลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่าเรา "ไม่ต้องเสริมกองหลังใหม่"

เรายังคงต้องซื้อกองหลังใหม่อยู่ดีเพื่อที่จะพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และอย่างที่แฟนผีและพวกเราเห็นกันว่า ทีมยังมีปัญหาอยู่หลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการมีเซ็นเตอร์แบ็คสายสต็อปเปอร์อีกคนนึงเพื่อที่จะใช้ในแทคติกเกมรับ สำหรับบางเกมที่ต้องเข้าปะทะเร็วเพื่อหยุดเกมรุกคู่แข่งที่มีตัวทำเกมรุกเก่งๆ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าไบญี่จะบาดเจ็บไปอีกเมื่อไหร่

นอกจากนี้เรายังต้องการคนช่วยแก้ปัญหาเรื่องลูกโด่ง ที่ทุกวันนี้คนที่เชื่อใจได้จริงๆคือแมกไกวร์รายเดียวเท่านั้น แต่คู่แข่งก็ฉลาดพอที่จะส่งกองหน้าตัวเป้ามายืนดวลกับCBอีกคนนึงที่ไม่ใช่แมกไกวร์ เพราะมีโอกาสเอาชนะลูกกลางอากาศได้มากกว่า

นอกจากแมกไกวร์แล้ว แผงแบ็คโฟร์คนอื่นๆของเราไม่มีใครแข็งแกร่งเพียงพอ และมีสถิติAerial Duels ที่ดีในการหยุดลูกกลางอากาศได้แบบชะงัด เพราะยูไนเต็ดมักจะโดนเซ็ตพีซกดดันใส่อยู่เสมอ อย่างล่าสุดที่โดนทาร์คอฟสกี้โหม่งตัดหน้าได้ นั่นก็เป็นปัญหานี้เช่นกัน หากมีคนแบ่งเบาภาระแมกไกวร์อีกสักคนคงจะแก้ปัญหานี้ได้ดีขึ้น

สรุปแล้ว "เรายังจำเป็นต้องเสริมกองหลังให้แข็งแกร่งกว่านี้" เพียงแต่ว่า มันยังไม่ต้องรีบซื้อทันทีทันใดขนาดนั้น

เพราะเมื่อตัวผู้เล่นมัน "ครบ" ทั้งคู่หลัก ทั้งตัวเปลี่ยน ทั้งตัวแบ็คอัพแล้วนั้น ความเร่งด่วนที่จะต้องซื้อกองหลังในตอนนี้ ก็ลดระดับความเร่งด่วนลงไปเหลือเพียงแค่ระดับ "กลางๆ" (เคสสีเหลือง) เท่านั้นเองในการซื้อตัวมาเสริมทีม

นั่นคือสิ่งที่เป็นผลจากการต่อสัญญาไบญี่ เพราะนอกจากจะทำให้เราไม่ต้องเสียไบญี่ไป ก็ยังเป็นการรับประกันว่าทีมจะมีกองหลังตัวหลักเอาไว้ใช้งานเป็นกระดูกสันหลังของทีมได้อีกหลายปี แม้กระดูกอาจจะเปราะไปนิด(ฮา) แต่ก็ดีกว่าการต้องไปควานหาและเสียเงินซื้อนักเตะใหม่ทีนึง50-60ล้านแน่นอน

ในยุคที่ทีมต้องรัดเข็มขัดจากภาวะโควิด เราใช้วิธีต่อสัญญาก็สามารถลดค่าใช้จ่ายให้ทีมได้เยอะ โดยที่ได้ผลลัพธ์เป็นการมีนักฟุตบอลไว้ใช้งานเหมือนกัน

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการต่อสัญญาไบญี่นั้น ก็ส่งผลกระทบลูกโซ่ต่อ แผนการเสริมทีม อย่างชัดเจน เมื่อเรามีหลักประกันในแดนหลังและทำให้เคสมันไม่เร่งด่วนแล้วนั้น นั่นแปลว่า ทีมจะสามารถ "โฟกัสแอเรียอื่นๆ" ได้แบบเต็มๆ โดยที่ยังไม่ต้องเร่งเดินดีลกองหลังแต่อย่างใด (อืม แปลว่าตูคงไม่ต้องรีวิวมิเลนโควิช, เปา ตอเรส หรือ จูลส์ คุนเด้เพิ่มแล้วสินะ)

แต่ "แอเรียอื่นๆ" ที่ว่านั้น มีจุดไหนบ้างที่ทีมโค้ช ผู้จัดการ และแฟนบอลพิจารณาว่าเราจำเป็นต้องซื้อเข้ามา?

หลักๆเท่าที่มองเห็นแบบชัดๆคือ

-กองหน้าตัวเป้า

-ปีกขวา

-กองกลางตัวรับ

นี่คือสามตำแหน่งที่เหลือ มันอาจจะถูกโฟกัสเป็นพิเศษในตลาดนี้ ซึ่งก็เป็น "ตัวรุก" ไปแล้วสองตำแหน่ง ตลาดนักเตะปีนี้ จึงอาจจะเป็นปีที่การซื้อขายนักเตะจะตื่นตาตื่นใจแฟนแมนยูเป็นพิเศษแน่นอน เพราะเราเมคชัวร์แผงหลังไปแล้ว ดังนั้นจุดที่จะเสริมจึงค่อนข้างชัดว่า งบประมาณปีนี้จะถูกดึงไปใช้ในการหานักเตะตัวรุกเข้าทีมอย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เรายังมีเรื่องให้พิจารณาอีกต่อหนึ่งอีก นั่นก็คือ ตำแหน่ง "กองหน้าตัวเป้า" ยังคงเป็นอีกจุดนึงที่ต้องรอดูสถานการณ์ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับนักเตะในทีมเราต่อไป

ใช่.. เรากำลังจะพูดถึง เอดินสัน คาวานี่

การเคลียร์อนาคตของไบญี่แล้วเรียบร้อยในวันที่ผ่านมา รวมถึงการเซ็นสัญญานักเตะอาชีพของดาวรุ่งอย่างมาร์ค ฆูราโด้ แบ็คขวาจอมบุกชาวสเปนวัย17ปี ทำให้เราเห็นว่า หลังบ้านของแมนยูเองก็ทำงานกันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ใช่ว่าจะปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ

ดังนั้นแล้ว เคสของเอดินสัน คาวานี่ มั่นใจได้100%ว่า มีการดำเนินงานที่จะจัดการคุยเรื่องสัญญาและอนาคตกับนักเตะอยู่แล้วอย่างแน่นอน เหมือนอย่างที่มีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาตลอดเวลา เกี่ยวกับ "อนาคต" ของคาวานี่ กับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

คาวานี่มีข่าวมาตลอดว่าต้องการจะย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัว และไปเล่นให้กับโบคา จูเนียร์ส สโมสรชื่อดังในอาร์เจนติน่า ซึ่งอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ใกล้ๆบ้านเกิดประเทศอุรุกวัยของตัวคาวานี่เอง ซึ่งแน่นอนว่า วัฒนธรรม ภาษา(สเปน) สิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศ และที่สำคัญ "ครอบครัว" คือปัจจัยสำคัญที่สุดของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนอยู่แล้ว

ไม่แปลกเลยว่าทำไมมีข่าวเช่นนี้ เพราะไม่ว่าใครก็อยากจะทำงานอยู่ใกล้ๆบ้าน ใกล้ๆครอบครัวของตัวเองทั้งนั้น ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่ข่าวเหล่านี้จะจริง แม้ว่าคาวานี่จะออกมายืนยันหลายครั้งว่าเขาภูมิใจที่ได้ลงเล่นให้แมนยูไนเต็ดก็ตาม  แต่ก็ยังมีข่าวออกมาเรื่อยๆ ส่วนทางด้านสโมสรที่เป็นข่าว อย่างโบคา จูเนียร์ส ก็อ้าแขนรับรอไว้แล้ว เตรียมเบอร์สวยๆรอให้คาวานี่กลับไปใส่ลงเล่นในลีกอเมริกาใต้ทันที

ใครตัดต่อภาพวะ เดี๋ยวตีมือเลย ไม่น่าใช่แฟนผีละรอบนี้

ในขณะที่ฝั่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเอง ซึ่งยืนยันโดยผู้จัดการทีมอย่างโซลชานั้น แสดงเจตจำนงชัดเจนว่า ต้องการเก็บคาวานี่เอาไว้อีกหนึ่งปี ตามออฟชั่นขยายสัญญา1ปีของเขาที่มีอยู่ โดยที่ตัวโอเล่ กุนนาร์ โซลชา แสดงความชื่นชมในตัวของกองหน้ารายนี้อย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนที่สุดแล้วว่า เขาเล็งเห็นถึงคุณค่าของเอดินสัน คาวานี่ขนาดไหน

ทั้งในการเป็นกองหน้าที่แสดงให้เห็นคุณภาพการเล่นระดับท็อปคลาสให้กับนักเตะวัยรุ่นในทีม รวมถึงการที่เป็นกำลังสำคัญในด้านการปรับแทคติกของทีมที่ทำให้เรามี "กองหน้าตัวเป้าขนานแท้" ที่สามารถยืนค้ำตรงกลางในกรอบเขตโทษได้ดีที่สุดยิ่งกว่านักเตะคนใดๆในทีม

ซึ่งเอาจริงๆแล้วทีมเราไม่มีนักเตะที่เล่นกองหน้าตัวเป้าได้จริงๆเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากเขา

มาร์กซิยาลเป็นกองหน้ากึ่งปีกเช่นเดียวกับมาร์คัส แรชฟอร์ด ซึ่งสองคนนี้เอาจริงๆก็ไม่สามารถยืนหน้าเป้าตรงกลางได้ดีเท่าไหร่นัก ถ้าแค่แก้ขัดชั่วคราวถือว่าโอเค ในขณะที่ เมสัน กรีนวู้ด โอเล่ก็พูดชัดเจนว่า ตำแหน่งการเล่นของน้องนั้น หากจะให้ยืนค้ำตรงกลางเลยคงจะต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์อีกมาก ทั้งชั้นเชิง ความเก๋า และร่างกายที่ต้องแข็งแกร่งกว่านี้

ดังนั้นกรีนวู้ดจึงถูกใช้เป็นกองหน้าด้านขวา สลับกับการยืนตรงกลางในการเล่นเป็น Central Forward ซึ่งก็ไม่ใช่กองหน้าตัวเป้าแบบค้ำตรงกลางในกรอบเขตโทษได้แบบคาวานี่อยู่ดี เพราะสไตล์การเล่นและคุณลักษณะต่างๆก็ไม่ใช่การเล่นแบบนั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น คาวานี่จึงสำคัญมากๆ ทั้งการเป็นrole modelให้กับน้องๆ และสำคัญในด้านแทคติกของทีมโดยตรง แถมดีไม่ดียังต้องมาแบกทีม ยิงประตูสำคัญๆให้กับเราอีกเหมือนเคย เพราะความคมในการจบสกอร์ที่อยู่ระดับเวิร์ลด์คลาสของเขาคือสิ่งที่เป็นของจริง แม้จะย้ายมาอยู่กับเราช้าไป5ปี แต่คลาสก็ยังคงอยู่ครบถ้วน เพียงแค่ว่าลงสนามแบบหนักๆต่อเนื่องกันทุกเกมไม่ไหวแค่นั้นเอง ซึ่งก็ต้องrotationและบริหารการใช้งานเขาให้ดีๆ

แมนยูและโซลชาจึงแสดงความต้องการอย่างชัดเจนว่าจะเก็บเขาไว้ในทีมให้ได้แน่ๆ โอเล่เองยังคาดหวังและพูดออกมาเลยว่า อยากจะให้คาวานี่ได้มีโอกาสทำประตูต่อหน้าสเตรทฟอร์ดเอนด์ ที่มีแฟนๆปีศาจแดงยืนอยู่ที่นั่น นึกภาพแล้วมันคงจะสะใจและปลื้มปริ่มไม่น้อยทีเดียว

ผู้จัดการทีม แสดงออกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพ4kว่า เขาโคตรชอบและเป็นติ่งคาวานี่ขนาดไหน เหมือนผู้เขียนเป๊ะ!

คลั่งรักอ่ะเราน่ะ ดูออก

สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ไม่มีใครตอบได้ และจนถึงวันนี้ (29 เมษายน 2021) ก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่นอนออกมาว่า เขาจะต่อสัญญากับแมนยูรึเปล่า นี่เป็นสิ่งที่ยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่ ในขณะที่โลกคู่ขนานอีกด้านของข่าว ก็มีออกมาเป็นระยะว่า แมนยูไนเต็ดกำลังจับตาดูสถานการณ์ของแฮรี่ เคน อย่างใกล้ชิดมากๆ ในขณะที่เลวี่พร้อมจะขายเขาก็ต่อเมื่อได้ราคา125ล้านปอนด์เท่านั้น

กลายเป็นเชืื้อไฟว่า ตราบใดที่อนาคตของคาวานี่ยังไม่เคลียร์ ไม่มีการต่อสัญญาแบบofficialเกิดขึ้น สำนักข่าวพวกนี้ก็จะยิ่งโหมกระพือขายข่าวแมนยูได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะฮาลันด์หรือเคนที่อาจจะไม่ต่อสัญญาก็ตาม (ยิ่งสเปอร์สเพิ่งแพ้รอบชิงเละเทะมายิ่งเล่นข่าวกันสนุกเลย)

จุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ "การต่อสัญญาของคาวานี่" ล้วนๆ ว่าจะตัดสินใจยังไง เพราะในสเต็ปแรก เอริค ไบญี่ ฝากอนาคตไว้กับทีมในฐานะกองหลังตัวหลักไปแล้ว ทำให้ภาคการเสริมทีมจึงเหลือแค่จุดอื่นๆอย่างเช่น กองหน้า ปีกขวา หรือกลางรับเท่านั้น

การตัดสินใจของคาวานี่ จะทำให้เราเห็นอนาคตชัดเจนสำหรับตำแหน่ง "กองหน้าตัวเป้า" ว่าจะต้องซื้อหรือไม่ซื้อในซัมเมอร์นี้

**เรื่องสำคัญ ในกรณีของ ปอล ป็อกบา ถือเป็นเคสแยก ที่จะไม่นำมาพิจารณารวมด้วย เพราะว่าหากมีการตัดสินใจขายป็อกบาเกิดขึ้น เพราะเขาเลือกที่จะย้ายทีม และจะไม่ต่อสัญญากับแมนยูไนเต็ดต่อ หากเกิดการขายป็อกบาขึ้นมา ทีมจะต้องซื้อกองกลางตัวแทนเขาเข้ามาด้วยอีกหนึ่งราย ในแง่ของการซื้อเพื่อทดแทน ไม่ได้ซื้อเพื่อเติม เสริมทีม (เราพูดกันในบริบทของการซื้อนักเตะมาเสริมทีมกันอยู่ในจุดที่ขาด)

เคสป็อกบา อาจจะเกิดได้ทั้งกรณีที่ ซื้อตัวมาทดแทนกันโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น คาเมวิงก้า, มิลินโควิช-ซาวิช หรือ มาร์กอส ญอเรนเต้ (ยกตัวอย่าง) หรืออาจจะไม่มีการซื้อเข้ามาเกิดขึ้น และทีมเลือกใช้แผนสำรองที่เตรียมเอาไว้แล้วอย่าง "ดอนนี่ ฟานเดอเบค" ทดแทนตำแหน่งของปอล ป็อกบาไปเลยโดยตรง

ย้อนกลับมาที่เอดินสัน คาวานี่ ในวัยที่เพิ่งจะ 34ปี ในเดือนที่แล้วนั้น ยังฟิตพอที่จะลงเล่นกับแมนยูไนเต็ดไปได้สบายๆอีกหนึ่งฤดูกาล ด้วยมาตรฐานเดียวกันกับที่เล่นในปีนี้ ซึ่งมักจะโผล่มายิงประตูสำคัญๆให้ทีมได้หลายๆครั้ง แถมยังเป็นเบอร์7คนแรกในรอบหลายปีที่ยิงประตูได้ถึง10ลูกด้วย

ถ้าจะต่อสัญญาอีกหนึ่งปี รับประกันฝีเท้าแน่นอนว่าใช้งานได้จริงแน่

จริงอยู่ว่าคาวานี่อายุเยอะแล้ว และไม่ใช่เป้าหมายระยะยาวของเราในการสร้างทีม แต่หากขยายสัญญาได้สำเร็จ เขาจะลงเล่นให้เราได้แน่ๆอีก1ปีอย่างต่ำ ซึ่งจะทำให้เรา "ยังไม่ต้องซื้อกองหน้าในปีนี้"

และแมนยูไนเต็ดจะสามารถเอาbudgetตรงนี้ไปซื้อตำแหน่งอื่นๆได้มากขึ้น

เรามาลองคิดกันเล่นๆว่า การตัดสินใจของคาวานี่นั้น จะก่อให้เกิดscenarios ยังไงขึ้นได้บ้าง ไม่ว่าจะอยู่กับเราต่ออีกปี หรือว่าจะกลับอเมริกาใต้ในปีหน้า


Scenarioที่1 : คาวานี่ต่อสัญญา

หากเกิดสถานการณ์ที่1 เท่ากับว่าตอนนี้ไบญี่กับคาวานี่ต่อสัญญาทั้งคู่ และการจะเสริมตำแหน่งสำคัญสองจุดอย่าง กองหลัง กับ กองหน้าตัวเป้า จะลดระดับความเร่งด่วนลงไปทันที (เพราะมีนักเตะใช้งานในซีซั่นถัดไปแล้ว)

ในกรณีนี้จะเท่ากับว่า ตำแหน่งที่เหลือในการจะเสริมทีมซัมเมอร์นี้ จะเหลือเพียงแค่ "ปีกขวา" กับ "กองกลางตัวรับ" เท่านั้น ในแง่ของการซื้อตัวใหม่เข้ามาเพื่อเติมทีม ทำให้มีโอกาสที่ทีมจะเอางบประมาณทั้งหมดที่ตีสักราวๆ150ล้านปอนด์โดยประมาณ ไปลงกับสองตำแหน่งนี้ได้ เพราะมีหน้าเป้าแล้ว เราจึงควรไปทุ่มตำแหน่งสำคัญอย่างปีกขวา และ มิดฟิลด์ตัวรับเพิ่มขึ้นได้

นึกภาพสองคนนี้ได้เล่นด้วยกันนะมึงเอ๊ยยยย

1.1 ทุ่มเงินที่ปีกขวา [ซื้อกลางรับตัวรองๆ]

จากการคาดการณ์ มีโอกาสสูงมากกว่าที่แมนยูไนเต็ดจะเอาเงินก้อนใหญ่ไปทุ่มให้กับตำแหน่ง "ปีกขวาตัวสร้างสรรรค์เกม" เยอะกว่าที่จะไปทุ่มในตำแหน่งกลางรับ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เป้าหมายที่เป็น "ปีกขวาบิ๊กเนม" ซึ่งมีราคาสูงจริงๆที่แมนยูมีโอกาสจะไปทุ่มซื้อ ก็คงหนีไม่พ้น "เจดอน ซานโช่" เจ้าเก่าเจ้าเดิม ที่มีแววว่าราคาค่าตัวน่าจะลดลงมาต่ำกว่า100ล้านปอนด์แน่ๆ

ยิ่งถ้าดอร์ทมุนด์ไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก ราคาจะยิ่งตกฮวบลงมาอีก เพราะอำนาจต่อรองของต้นสังกัดจะลดลงทันทีเนื่องจากไม่มีบอลยุโรปให้นักเตะในทีมเล่น ราคาของซานโช่น่าจะอยู่ที่ราว 90ล้านปอนด์ ไม่มีทางเกินกว่านี้อีกแล้ว อาจถูกกว่านี้ได้อีกถ้าดีลดีๆ ใส่ออฟชั่นผ่อนจ่ายลดความหนัก(ถ้าดอร์ทยอม)

งบประมาณเหลืออีก 60ล้านปอนด์(โดยประมาณ) แมนยูไนเต็ดสามารถเอาไปลงกับกลางรับตัวรองๆได้ อย่างเช่น "รูเบน เนเวส" ของวูล์ฟ ที่ราคา50-60ล้านปอนด์โดยประมาณ

ถ้าซื้อซานโช่ เงินน่าจะเหลือพอตัวนี้แน่นอน อันนี้รับประกันได้ เพราะเรทราคาไม่แพงนัก

หากยูไนเต็ดจะยอมเพิ่มเงินในงบประมาณอีกหน่อย เป็น 70-80ล้าน (หรือลดค่าตัวซานโช่ได้) เราอาจจะมีโอกาสสอยนักเตะอย่าง "วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้" ของเลสเตอร์ได้ ซึ่งตัวนี้ของดีแน่นอน และเลสเตอร์ "โก่ง" เหมือนเคสแมกไกวร์แน่ๆ ถ้าเป็นงั้นก็คือเราอาจเสียเงินหลัก80ล้านอีกครั้งซ้ำสองจากแมกไกวร์ (ค่าตัวที่ประเมินไว้ของเอ็นดิดี้อยู่ที่50ล้านยูโร แต่มีโอกาสที่จะเจอเลสเตอร์ปักป้ายแบบนี้อีกครั้ง)

แต่แม้ราคาจะสูง ถ้าซื้อมาแล้วยืนเป็นตัวหลักยาวๆแบบแมกไกวร์ บรูโน่ วานบิสซาก้าได้เลยมันก็คุ้มนะ

ส่วนตัวเป้งๆแบบ เดแคลน ไรซ์ อาจสอยได้ในราคาเงินสด 70-80ล้าน + เจสซี่ ลินการ์ด ที่มีค่าตัวราว20-30ล้านปอนด์ ก็น่าจะเอาอยู่สำหรับเดแคลน ไรซ์ ที่ดูเหมือนขุนค้อนก็อยากได้หลัก"100ล้าน"เช่นกัน ดังนั้น 70+30(ลินการ์ด) มูลค่าเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับดีลแลกตัวที่วิน-วินครั้งนี้แล้ว

หรือ

1.2 ทุ่มเงินที่มิดฟิลด์ตัวรับ [ซื้อปีกขวาตัวรองๆ]

หากเกิดกรณีที่แมนยูไม่สู้ซานโช่ในตำแหน่งปีกขวา ยังมีตัวเลือกรองที่รีิวิวไปแล้วอย่าง "ราฟินญ่า" ของลีดส์ ยูไนเต็ด อีกหนึ่งคนที่น่าจะซื้อได้ในราคาเรทเดียวกับวานบิสซาก้าหรือบรูโน่ อยู่ที่ราวๆ50ล้านปอนด์โดยประมาณ ดูจะเป็นไปได้

และยูไนเต็ดก็จะเหลืองบก้อนใหญ่มากๆในการไปลงกับตำแหน่งอื่นที่เหลือ อย่างเช่นมิดฟิลด์ตัวรับ ที่อาจจะซื้อเดแคลน ไรซ์ มาได้เน็ตๆเลยที่80ล้านแบบจบๆ เรทเดียวกับแมกไกวร์ โดยที่อาจจะลดได้มากกว่านี้อีกถ้านำลินการ์ดไปใส่ในดีลนี้ได้

หากลดราคาได้จากลินการ์ด ยูไนเต็ดมีโอกาสที่จะเหลือเงินอีกสัก 30-40ล้านปอนด์ที่จะซื้อ "ของดีราคาถูก" ในตำแหน่งอื่นมาอ่ีก อย่างเช่น "กองหลังตัวใหม่" ที่ราคาไม่แพง และน่าซื้อเข้ามาลอง ซึ่งนักเตะในเรทราคานี้ สามารถเลือกได้ทั้งนิโกล่า มิเลนโควิช เปา ตอเรส หรือ สเวน บอทแมน ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ส่วนจูลส์ คุนเด้ มีโอกาสที่จะแพงกว่านั้น

จะเห็นข้อแตกต่างตรงนี้ว่า หากเลือกที่จะไม่ใช้เงินเกือบๆร้อยล้านกับซานโช่ แล้วมาทุ่มที่นักเตะกลางรับแทนนั้น เม็ดเงินที่จะใช้สำหรับนักเตะแนวรับมันจะน้อยกว่าที่ต้องใช้ซื้อตัวรุก ทำให้ทีมมีโอกาสที่จะเหลือเงิน ไปซื้อตำแหน่งอื่นๆเข้ามาเสริมอีกได้ อย่างเช่นกองหลังตัวที่4เข้ามา แล้วจากนั้นก็ปล่อยยืม Tuanzebe ยังได้เลย แล้วเอาตัวใหม่มาทดลองงาน ทดลองแย่งตำแหน่งกับเซ็นเตอร์หลักก็ยังได้

1.3 กระจายเงินซื้อนักเตะหลายตำแหน่ง ยกเว้นกองหน้า

ถ้าคาวานี่ต่อสัญญา แน่นอนว่าทีมจะไม่ซื้อหน้าเป้าแน่นอน อันนี้รับประกันได้ เพราะตำแหน่งหน้าเป้ามันลงแค่คนเดียว แถมทีมยังพอจะใช้งานมาร์กซิยาล แรชฟอร์ด กรีนวู้ด สลับมายืนได้ ดังนั้นคำว่า"ตำแหน่งอื่นๆ" สามารถตัดกองหน้าตัวเป้าไปได้เลยที่ยังไงก็ไม่ซื้อแน่ๆ

ถ้าใช้วิธีเอางบเสริมทัพปีนี้มาซื้อแบบกระจายความเสี่ยง เลือกตัวเรทกลางๆแต่ได้ครบทุกตำแหน่ง ก็เป็นไปได้เช่นกัน และอาจจะเกิดขึ้นดังนี้

-ปีกขวา > ราฟินญ่า, แช็ง-แม็กซิแม็ง, บูเอนเดียร์ or whoever  = 50ล้านปอนด์

-กองกลางตัวรับ > รูเบน เนเวส, บูบาคารี่ ซูมาเร่(ลีลล์), เดนิส ซาคาเรีย(กลัดบัค), วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้(ยังอยากได้อยู่) =50-70ล้านปอนด์

-กองหลัง > นิโกล่า มิเลนโควิช, สเวน บอทแมน, เปา ตอเรส(บีญารีล), จูลส์ คุนเด้(เซบีญ่า), มิลาน สคริเนียร์, เบอนัวต์ บาเดียชิลล์(โมนาโก), จิอันลูก้า มันชินี่(โรม่า), มัทเธียส กินเตอร์(กลัดบัค) ฯลฯ = 40-50ล้านปอนด์

ถ้าใช้วิธีซื้อนักเตะที่เน้นเข้ากับแทคติก ไม่เน้นซุปเปอร์สตาร์ที่ราคาแพงระยับระดับ80-90ล้าน มีโอกาสสูงที่เราจะได้ตัวหลักๆเข้ามาอุดตำแหน่งได้ครบทีม

แล้วหลังจากนั้น ซัมเมอร์ปีต่อไป เมื่อตำแหน่งลงตัวหมดแล้ว เราสามารถเสริมแกร่งได้โดยที่เอาเงินไปถลุงกับกองหน้าที่จะมาแทน คาวานี่ หลังหมดสัญญาปีหน้าก็ได้

นี่คือแผนงานคร่าวๆ

Scenarioที่2 : คาวานี่"ไม่ต่อสัญญา"

กรณีนี้จะหนักกว่าซีนาริโอแรก เพราะแมนยูไนเต็ดจะต้องแบ่งงบประมาณใช้ให้ดีที่สุด กับ "3ตำแหน่ง" ที่จำเป็นต้องเสริมทัพ ทั้งกองหน้าตัวเป้า ปีกขวา และ มิดฟิลด์ตัวรับ

ในบรรดาสามตำแหน่งนี้ จุดที่จำเป็นสุดจริงๆ คือตำแหน่ง "กองหน้าตัวเป้า" ซึ่งสำคัญมากๆ เพราะเป็นนักเตะที่ต้องเล่นอยู่ในเพลย์การเล่นหลักๆกลางสนาม ซึ่งมันอยู่ใกล้ประตู และต้องมีสกิลทักษะที่ดีในการจัดการกับ "บอลจังหวะสุดท้าย" ซึ่งจะแตกต่างจากตัวริมเส้นอย่างปีกขวามากๆ

เอาจริงๆแล้ว ปีกขวาของทีมเรามีนักเตะที่ลงเล่นพอได้อยู่สามคน ได้แก่เมสัน กรีนวู้ด ที่ดูดีสุดในตำแหน่งหน้าขวา, แดเนียล เจมส์ ก็ลงปีกขวาได้ แม้จะทำอะไรไม่ค่อยถนัดและสร้างผลงานไม่ดี หรือแม้กระทั่ง แรชฟอร์ด ที่เอามาเล่นขวาในลักษณะของปีกเปิดบอล หรือกองหน้ารอเล่นcounter-attackจากฝั่งขวาก็พอจะเล่นได้เช่นกัน

ถ้าไม่นับกรีนวู้ดซึ่งทำได้ดี ตัวอื่นอยู่ในสถานะถูๆไถๆได้เท่านั้น(ฮา) แต่ยังไงก็ตาม กองหน้าตัวเป้าสำคัญกว่า เพราะถ้าคาวานี่ไม่อยู่เลยทันทีนับจากนี้ เราต้องมีตัวนี้เข้ามา เพื่อที่จะรับภาระทำประตูหลักๆให้กับทีม ซึ่งควรต้องมีกองหน้าประเภทที่ยิง20-30ประตูการันตีต่อซีซั่นให้ได้ หากอยากอัพเกรดแมนยูให้อยู่ระดับแนวหน้า

กองหน้าตัวเป้า สำคัญที่สุดในบรรดาลิสต์ตำแหน่งที่ขาด ดังนั้นโอกาสที่จะเสริมทีมมีดังต่อไปนี้

2.1 อิมพอร์ต"กองหน้าเจ็บแต่จบ"เข้าทีม

แน่นอนว่า ถ้าคาวานี่ต่อสัญญา ปีนี้มีโอกาสมากที่แมนยูไนเต็ดจะซื้อกองหน้าระดับบิ๊กเนมเข้ามาร่วมทีมเลย ซึ่งในลิสต์ที่เรารู้กันอยู่แล้วก็คือ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ กับ แฮรี่ เคน สองนักเตะกองหน้าค่าตัวแพงในระดับท็อปทูของโลกตอนนี้

ดอร์ทมุนด์มีท่าทีแข็งกร้าวว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยฮาลันด์ในซีซั่นนี้ แต่ดูเหมือนว่าไพ่ในมือพวกเขาจะเริ่มร่อยหรอลงเรื่อยๆ อำนาจต่อรองลดลงฮวบฮาบ เพราะทีมกำลังจะปิ๋วUCL

ล่าาาาาาาาาสุด(เสียงคุณพุทธ) ดอร์ทมุนด์ประกาศลดราคาฮาลันด์เหลือราวๆ 130ล้านปอนด์เท่านั้น แต่ค่าเหนื่อยสุดตีนอยู่ที่600kต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงมากๆ

แมนยูไนเต็ดมีแต้มต่อตัวฮาลันด์อยู่ที่โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้ปลุกปั้น อดีตเจ้านายเก่าของเจ้าหนูนี่นั่นเอง

ถามว่าแมนยูสู้ราคาได้ไหม ก็สู้ได้แน่ๆ ถ้าลดมา130ล้าน แต่นั่นคือการถลุงท้องพระคลังแบบรวดเดียวจบ ทีมแทบจะไม่เหลือเงินไปซื้อตัวอื่นๆอีกเลยหากงบมีแค่ราว150ล้านปอนด์ ในยุคโควิดเช่นนี้

ปัญหาจริงๆไม่ได้อยู่ที่ค่าตัวด้วยซ้ำสำหรับเคสฮาลันด์ แต่เป็น ค่าเหนื่อยที่ไม่น่าจะมีทีมไหนรับไหวมากกว่า

อีกคนนึงก็คือ "แฮรี่ เคน" ที่เล่นข่าวกันอย่างต่อเนื่องว่า บอกลาเพื่อนร่วมทีม และพร้อมจะ "มุบอร" ไปต่อเรียบร้อย โดยเลวี่ตั้งค่าหัวหมอนี่เอาไว้ที่ 125ล้านปอนด์ ซึ่งก็สมเหตุสมผลมากกับฝีเท้าของแฮรี่ เคน

ราคาเรทนี้มีโอกาสสูงที่แมนยูไนเต็ดจะต่อรองค่าตัวเขา และอาจจะซื้อได้ที่ราคา100-110ล้านปอนด์ไม่เกินนี้

ทางด้านของแทคติกแล้ว กองหน้าประเภทที่ชงเองกินเองได้ แถมปั้นให้เพื่อนได้อีกต่อนึง ถือว่าเข้าแก๊ปกับแทคติกแมนยูมากที่สุดสำหรับแฮรี่ เคน ที่อยากให้เข้ามายิงประตูด้วย และแบกน้องๆกองหน้าตัวอื่นด้วยการปั้นบอลให้พวกมันยิงกันด้วย(ฮา) ถ้าเคนเข้ามา จะกลายเป็นสามประสานทีมชาติอังกฤษที่น่าสะพรึงทันทีระหว่าง แรชฟอร์ด เคน และ กรีนวู้ด

ค่าตัวเคนหากต่อรองลงมาได้เหลือ110ล้าน แมนยูไนเต็ดน่าจะเหลือเงินก้อนดีๆอีก40ล้าน(โดยประมาณ)ในการซื้อนักเตะเกรดรองๆลงมาอีกสักคนนึง ซึ่งมีโอกาสที่เราจะซื้อได้ทั้งกลางรับ หรือปีกขวาได้ อย่างเช่น ราฟินญ่า หรือ รูเบน เนเวส คนใดคนหนึ่ง

ถ้าซื้อเคน จะได้ตัวรองอีกตัวมา แล้วก็จะปิดตลาดไปเลยเพราะเงินหมดแล้ว แต่ถือว่า เป็นการเลือกที่น่าจะคุ้มค่ากว่าดีลฮาลันด์เยอะ สำหรับแฮรี่ เคน ที่ค่อยมาลุ้นว่าloyaltyของเขาต่อสเปอร์สจะมากถึงขนาดไม่ยอมย้ายทีมเลยหรือเปล่า ค่อยว่ากัน

ส่วนฮาลันด์ ปล่อยให้ทีมคนรวยเขาซื้อเถอะ เราอย่าไปสู้เล้ย เคนคุ้มกว่า

2.2 ซื้อกองหน้าตัวรองๆ [เงินเหลือไปซื้อปีกเทพ]

หากคาวานี่ไม่ต่อสัญญา และหากไม่ซื้อกองหน้าประเภทที่เจ็บแต่จบอย่าง เคน หรือ ฮาลันด์ ทีมก็อาจจะเบนเป้าไปที่กองหน้าตัวรองๆได้ ซึ่งก็จะทำให้เหลืองบประมาณไปลงที่จุดอื่นๆอีกเยอะ

กองหน้าตัวรอง มีใครบ้างที่ไม่ใช่เคนกับฮาลันด์? อันนี้เยอะแยะเลย ตัวที่น่าสนใจก็ได้แค่ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน / วิคเตอร์ โอซิมเฮน(นาโปลี), อังเดร ซิลวา(แฟร้งค์เฟิร์ต), ราอูล ฆิมิเนส(วูล์ฟ), ดูซาน วลาโฮวิช(ฟิออเรนติน่า), อินากิ วิลเลียมส์(แอตเลติก บิลเบา), คัลลัม วิลสัน(นิวคาสเซิล)

นักเตะตัวพวกนี้ราคาประเมินสูงสุดอยู่แค่ 50ล้านยูโรเท่านั้นเอง ถึงเวลาซื้อขายกันจริงๆก็คงราคาประมาณนี้ 50-60ล้านปอนด์ไม่น่าเกิน ดีไม่ดีถูกได้กว่านี้อีกในยุคปัจจุบัน

หากเอางบมาซื้อ "กองหน้าตัวรอง" เหล่านี้ ซึ่งโคตรน่าสนใจหลายคน หากว่าคาวานี่ไม่ต่อสัญญา เราอยากได้ "DCL" ของเอฟเวอร์ตัน หรือไม่ก็ "Raul Jiminez" ของวูล์ฟ สองคนนี้คือของดีที่สุดที่แมนยูควรจะซื้อ ถ้าไม่ใช่แฮรี่ เคน เพราะค้ำหน้าได้ รับประกันประตู และมีมิติการเล่นที่ทีมเราขาดอยู่ครบถ้วน

เชียร์สุดใจ  หากคาวานี่ไม่ต่อสัญญา ถ้าไม่ใช่แฮรี่ เคน ก็ขอDCLไม่ก็ Raul Jiminez สองคนนี้ใครก็ได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่งบประมาณจะเหลืออีก100ล้านปอนด์ก็จะสูงขึ้น และนั่นน่าจะทำให้แฟนผีหลายคนสมหวังกับปีกขวาน้อนเต็น เจดอน ซานโช่กันซะที ที่ราคาก็คงจะลดมาที่80-90ล้านปอนด์แน่ๆ

เราจะได้กองหน้าที่เก่งมากอย่างDCLหรือฆิมิเนส และโคตรปีกขวาตัวสร้างสรรค์เกมที่จะมาทำให้ทีมบาลานซ์สุดๆอย่างซานโช่ได้

หากเป็นลิสต์ข้อนี้ ผู้เขียนเชียร์สุดถ้าคาวานี่ไม่ต่อสัญญา เพราะทีมจะได้กองหน้าตัวเป้ามาค้ำกลาง ในขณะที่เกมรุก เราก็จะมีคนป้อนบอลให้กองหน้ายิงด้วย เพราะยูไนเต็ดมีปัญหากับการขาดนักเตะที่จะสร้างสรรค์เกมรุกให้ทีมได้จากตำแหน่งปีก เพราะทุกวันนี้บางทีแรชฟอร์ด กับ แดนเจมส์ ลงสนามพร้อมกันเกมรุกก็บอดๆทั้งคู่เหมือนในเกมเจอลีดส์ที่ผ่านมา

2.3 กระจายเงินซื้อ3ตำแหน่ง กองหน้า กองกลาง ปีกขวา

ส่วนสุดท้ายก็เช่นเดิม เราจะเอาเงินมากระจายๆเฉลี่ยกันไปสามตำแหน่งหลักที่ขาด โดยงบประมาณ150ล้าน หรือบอร์ดอาจจะใจดี ลดกระแสต่อต้านจากแฟนบอลแมนยูด้วยการเพิ่มให้เป็น 180ล้านปอนด์ ถ้าไม่ทุ่มตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เราสามารถกระจายเงินไปซื้อได้ดังนี้

-กองหน้า > DCL, Raul Jiminez, Andre Silva, Callum Wilson = 50-70ล้านปอนด์

-ปีกขวา > Raphinha, Allan Saint-Maximin, Emi Buendier, Leon Bailey(เลเวอร์ฯ), David Neres(Ajax), Hirving Lozano หรือกระทั่ง Jarod Bowen เราก็อาจจะเอาลินการ์ดไปต่อราคาแลกมาก็ได้(ฮา) = 40-60ล้านปอนด์

-กลางรับ > ลิสต์เดิม รูเบน เนเวส, ซูมาเร่, เอ็นดิดี้, ซาคาเรีย (คาเมวิงก้าไม่ใช่กลางรับ และถูกพิจารณาเอาไว้ทดแทนเคสป็อกบาเท่านั้น) = 50-70ล้านปอนด์

ทั้งหมดนี้คือการคาดเดาสถานการณ์แบบคร่าวๆ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า "การตัดสินใจของคาวานี่" คือตัวที่จะตัดสินและบ่งบอกถึงอนาคตของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เลยว่า ซัมเมอร์นี้แพลนการเสริมทีมจะเป็นเช่นไร และเราจะได้ใครเข้ามาบ้าง ขึ้นอยู่กับคาวานี่คนเดียวเท่านั้น

ถ้าเขาต่อสัญญา โอกาสที่จะได้บิ๊กเนมในตำแหน่งปีกขวาอย่างซานโช่ มีสูงมากๆ

แต่ถ้าเขาไม่ต่อสัญญา ก็อาจจะเป็นมหากาพย์การเล่นข่าวกองหน้าที่หนักที่สุดปีนึงกับแฮรี่ เคน หรือเออร์ลิง ฮาลันด์ ก็ตาม แล้วจากนั้นงบประมาณหลังจากทุ่มซื้อ "ไม่ปีกขวา ก็กองหน้า" ขึ้นอยู่กับคาวานี่นั้น เงินที่เหลือค่อยตกไปถึงตำแหน่งรองลงไปอย่าง มิดฟิลด์ตัวรับ ที่จะต้องเข้ามาสแตนด์บายรอการปลดระวางของเนมันย่า มาติชได้แล้วในปีนี้

เห็นอะไรในรูปนี้มั้ยครับ

หากถามความเห็นของผู้เขียนว่าคิดยังไงกับกรณีนี้ ผู้เขียนสามารถตอบได้ทันทีว่า อยากจะให้ต่อสัญญาคาวานี่ให้สำเร็จ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เพราะเขาเข้าขากับน้องๆ รู้ระบบทีม รู้ใจกันอย่างดี นอกจากนี้มิติการเล่นของเขาก็ไม่มีตัวรุกคนใดเลยที่มีอยู่ แถมคาวานี่ยังเป็นแบบอย่างที่ช่วยพัฒนานักเตะในทีมให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ได้อีกด้วย เรียกว่าได้หลายต่อจริงๆถ้าคาวานี่ต่อสัญญา และหวังว่าภาพนั้นจะเกิดขึ้นอย่างชื่นมื่นในไม่ช้านี้

และพอเป็นเช่นนั้น ทีมเราจะเหลือเงินก้อนที่เอาไปลงกับปีกขวา หรือกลางรับได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้เลย

ดังนั้นแปลว่า เมื่อไรก็ตามที่มีข่าวและภาพขึ้นมาว่า "ชื่นมื่น! เอดินสัน คาวานี่ ต่อสัญญากับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดออกไปอีกหนึ่งปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"

ถ้ามีข่าวนี้ขึ้นมา บอกได้เลยว่า แฟนบอลแมนยูเตรียมตัดต้นกล้วยพร้อมแห่ต้อนรับ "เจดอน ซานโช่" ในฤดูกาลหน้าได้เลย!!!

-ศาลาผี-

1ใน2คนนี้ ต้องมีสักคนนึงมาแน่ๆ เซนส์มันบอก

References

https://www.manutd.com/en/news/detail/eric-bailly-discusses-new-long-term-contract-with-man-utd-26-april-2021

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด