:::     :::

จากSalto สู่Stretford End : The Edinson Cavani Story

วันพฤหัสบดีที่ 06 พฤษภาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
4,383
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นี่คือประสบการณ์ในระดับสูงสุดที่สั่งสมมาตลอดเส้นทางอันยาวไกลและคดเคี้ยวของเอดินสัน คาวานี่ ก่อนที่จะมาสู่โอลด์แทรฟฟอร์ดในวันนี้

-คุณมีเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลอันน่าทึ่งมากๆที่ลงเล่นมาแล้วรอบโลก และการได้เล่นเคียงข้างกับสุดยอดนักเตะในโลกปัจจุบันอีกหลายๆคน สิ่งเหล่านี้คุณเคยจินตนาการเอาไว้บ้างไหมตอนกำลังเติบโตขึ้นมาจากSalto?

"ผมคิดว่าเวลาที่เรายังเป็นแค่เด็กๆอยู่ เราจะไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองอะไรพวกนี้หรอก ตอนที่เป็นเด็กๆนั้นคนเราก็นึกถึงแต่การหาอะไรสนุกๆทำแค่นั้นเอง คุณจะเห็นแค่เรื่องปัจจุบัน ณ ตอนนั้นแล้วก็สนุกกับช่วงเวลาตรงนั้น แค่ใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน"

"มันไม่ค่อยนึกถึงเรื่องอะไรเหล่านั้นหรอก ผมคิดว่าพออายุมากขึ้นนั่นแหละถึงจะเริ่มคิด สักช่วงที่อายุประมาณ13, 14 หรือ 15ปี"

"ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณจะเริ่มนึกถึงมัน และพอจะเข้าใจในเรื่องต่างๆ มันจึงทำให้คุณเริ่มที่จะฝันและอยากจะประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ อยากที่จะสามารถขึ้นมาเล่นในระดับนี้ให้ได้อย่างจริงๆจังๆ"

"ผมไม่ได้เคยหวังว่าตัวเองจะเป็นเหมือนอย่างนักเตะคนนั้นคนนี้ แต่สิ่งที่ผมทำ ดังที่หลายๆครั้งผมพูดมาตลอดก็คือ การนั่งดูนักเตะอย่าง Gabriel Batistuta แล้วก็ดาวยิงคนอื่นๆเพื่อที่จะเรียนรู้มัน"

"แต่สิ่งที่ผมต้องการที่สุดในยามที่โตขึ้นมาและเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าฟุตบอลมันมีความหมายกับผมยังไง และผมหลงรักมันขนาดไหน คืออยากจะเป็นนักฟุตบอลระดับแนวหน้าให้ได้"

"การได้ลงแข่งในเกมระดับแนวหน้ามันคือการที่ได้มาเล่นในยุโรปกับหนึ่งในสโมสรชั้นนำ ดังนั้นเมื่ออาชีพของคุณเริ่มต้นที่จะค้นหาไปทีละเล็กละน้อย และค่อยๆขึ้นมาอยู่ในโลกของนักฟุตบอลอาชีพ คุณต้องเริ่มเรียนรู้และพัฒนาตัวเองในทุกๆด้าน และเริ่มสนุกกับช่วงเวลาพวกนั้นที่มีเพียงแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมเขาถึงดลบันดาลโอกาสเหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับคุณ"

คาวานี่สมัยอยู่กับ Danubio F.C. สโมสรในอุรุกวัย

-ความทรงจำของคุณยามที่เล่นฟุตบอลตอนเด็กๆที่คุณไม่เคยลืมเลย?

"เรื่องที่ผมจำได้อยู่เสมอเรื่องนึงซึ่งนึกถึงขึ้นมาบ่อยๆนั่นก็คือ มีผู้จัดการที่ชื่อว่า Carmelo Cesarini เขาคือโค้ชคนแรกในชีวิตผมตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กน้อย และเขาเคยมาที่รับถึงบ้านเลย นั่นคือความทรงจำที่ยังกระจ่างชัดมาจนถึงทุกวันนี้"

"เขาคอยมาหาและมารับส่งผมเพราะว่าพ่อกับแม่ผมไม่มีเวลาเนื่องจากต้องทำงานหนัก โค้ชก็เลยขับรถมารับแล้วก็พาผมมาส่งเพื่อเล่นฟุตบอล แล้วจากนั้นก็พากลับไปส่งบ้านอีกรอบ"

"นอกเหนือจากนั้นการได้เล่นในทีมที่เหมาะสม ได้ลงเล่นกันในแคมป์ แบบที่คนอเมริกาใต้เราเรียกกันว่าcampito เป็นทุ่งสีเขียวเล็กๆที่เราวางหินใช้เป็นเสาโกล แล้วสองฝั่งสนามห่างกันประมาณ 30,40 หรือ50เมตร และก็วางหินเอาไว้เป็นขอบเขตสนาม นั่นแหละเราเล่นบอลกันแบบนั้น และก็เล่นอยู่กับเพื่อนกันเป็นชั่วโมงๆ"

"ความทรงจำพวกนี้มันจะอยู่กับคุณไปตลอด และก็จะยังจดจำมันได้จนถึงปัจจุบัน เป็นความทรงจำที่นึกย้อนกลับไปด้วยความรักและเต็มไปด้วยความรู้สึกทุกครั้งที่นึกถึง"

-อะไรทำให้คุณแตกต่างจากนักเตะคนอื่นๆ?

"ด้วยความสัตย์จริงเลยนะ ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ผมไม่ได้ชอบพูดถึงตัวเอง หรือพูดถึงความสามารถต่างๆที่มีในการเป็นนักฟุตบอลของตัวเองสักเท่าไหร่ ผมคิดว่าโค้ชที่ฝึกสอนผมมาทั้งหลายน่าจะให้รายละเอียดได้ดีในแต่ละช่วงของชีวิตผม และในวัยเด็กของผมด้วยซึ่งจริงๆแล้วพวกเขาเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยมาเป็นโค้ชให้กับผม"

"แต่ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ผมชอบทำมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กๆอยู่ก็คือ ผมชื่นชอบการวิ่งเอามากๆเพื่อที่จะทำงานให้หนัก วิ่งเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราต้องการจะทุ่มเททุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่มี และวิ่งเพื่อที่ต้องการจะทำประตูให้ได้ด้วย เพราะสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ผมชอบทำมากๆ"

"ผมคิดว่าดาวรุ่งหรือนักฟุตบอลทุกๆคนจะตื่นเต้นกับการยิงประตูได้อยู่แล้ว นั่นคือส่วนที่เจ๋งและน่าสนใจที่สุดของเกมการแข่งขันใช่ไหมล่ะ แต่สำหรับผมแล้ว ความมุ่งมั่นที่จะทุ่มเทแบบ100เปอร์เซ็นต์ ทำให้ดีที่สุดในทุกๆครั้ง และได้ลงเล่นเต็มเวลาในทุกๆเกม"

"ความอยากที่จะชนะ อยากที่จะแข่งขัน ผมเชื่อว่าสิ่งพวกนี้มันเป็นแรงขับที่ช่วยให้ผมเติบโตและพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆทีละนิด เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและค่อยๆกลายเป็นนักฟุตบอลเต็มตัวในที่สุด"

-คุณได้ดูบอลยุโรปบ้างไหม และเคยประทับใจอะไรยูไนเต็ดบ้างรึเปล่า

"ครับ ตอนนั้นที่ผมยังเด็กๆอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ดูบอลทุกสัปดาห์เพราะสมัยนั้นมันยังไม่ค่อยมีอะไรให้ดูในทีวีมากเท่ายุคนี้ซึ่งบางทีมีบอลเตะสามนัดต่อสัปดาห์เลย แต่ช่วงสุดสัปดาห์เราตื่นเต้นกันมากๆและหายใจเข้าหายใจออกเป็นฟุตบอลเลยทีเดียว ทั้งวันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์ ยิ่งเสาร์อาทิตย์ด้วยแล้ว"

"เวลาที่ตื่นมาตอนเช้าๆ สิ่งแรกที่ได้ยินจากโทรทัศน์คือเรื่องฟุตบอล ถ้าไม่ใช่ข่าวบอลลีกเราเอง ก็เป็นข่าวบอลอังกฤษเพราะว่าบอลพรีเมียร์ลีกดังมากในอเมริกาใต้ มันเป็นยุคที่ยูไนเต็ดกำลังเก่งมากๆ ตอนนั้นเป็นยุครุ่งเรืองเลย แมนยูเล่นดีและก็คว้าแชมป์มาได้สำเร็จ ประมาณนั้น"

"แต่มันไม่ได้มีแค่การนั่งดูบอลแค่อย่างเดียว เพราะคุณรู้ดีว่ามันอยู่แต่แค่ในทีวีเท่านั้นซึ่งก็เป็นบอลอังกฤษหรือบอลอิตาลีเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นฟุตบอลที่ว่าเราจึงได้แต่ดูกันอย่างเดียว แต่เราไม่ได้ติดหน้าจอกันแค่อย่างเดียว เพราะผมจะออกไปเตะบอลข้างนอกอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย แต่ผมก็จำพวกแมตช์ต่างๆที่ดูในทีวีได้ได้ และช่วงกลางคืนเราก็จะได้ดูไฮไลต์ของเกมทั้งสัปดาห์ที่แข่งกัน ผมก็นั่งดูต่อไปเรื่อยๆเพลินๆ"

-คุณเดินทางจากอุรุกวัยมาเล่นในเซเรียอาตั้งแต่อายุแค่20 คุณมีความทรงจำในชีวิตช่วงนั้นยังไง และมีอะไรที่มันยากหรือง่ายในการปรับตัวเข้ากับชีวิตในยุโรปบ้าง

"ผมพูดถึงเรื่องราวในช่วงนั้นบ่อยๆว่า มันเป็นสิ่งที่ผมหวังมาตลอดว่าจะได้ย้ายมาเล่นในยุโรป โดยเฉพาะสิ่งหนึ่งที่ผมมักจะคิดข้างในหัวอยู่เสมอๆคือการได้ลงเล่นในกัลโช่ เพราะส่วนหนึ่งมันเกี่ยวข้องกับพื้นเพของครอบครัวผม และจากปู่ที่มีเชื้อสายอิตาเลียน พ่อผมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสายเลือดอิตาเลียนนี้มาตลอด และคุณปู่ก็อยากเห็นลูกหลานเล่นฟุตบอล เพราะงั้นมันเลยเป็นเป้าหมายที่ดึงดูดให้คุณจะได้มาลงเล่นและอาศัยอยู่ในอิตาลี"

"และเมื่อมาถึงที่อิตาลีแล้วนั้นมันก็เหมือนได้อยู่ในความฝัน และฝันที่เป็นจริงซึ่งเหมือนคุณจะได้อยู่ในนั้นตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องตื่น มันคล้ายๆกับว่าคุณได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการและวาดฝันไว้ได้สำเร็จแล้ว ดังนั้นนับตั้งแต่ปีแรกและซีซั่นแรกที่อยู่ที่นั่นมันก็เหมือนได้อยู่ดินแดนในฝันตั้งแต่นั้นมา แล้วมันก็เป็นแบบนั้นในปีถัดๆมาเหมือนกัน เหมือนเป็นฝันที่ไม่ต้องตื่น"

"มันเหมือนคุณได้อยู่ในกงล้อที่มันหมุนไปเรื่อยๆเพื่อตามหาความฝัน และเมื่อคุณรู้สึกตัวคุณก็อยู่กับมันแล้วเรียบร้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆก็เริ่มนึกถึงเรื่องครอบครัวขึ้นมา หลังจากที่คุณออกเดินทางหาประสบการณ์ใหม่ๆมานาน คุณจะเริ่มรู้สึกถึงระยะทางตรงนี้ที่มันยิ่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ ระยะทางที่แยกคุณห่างจากครอบครัวและก็เพื่อนๆมานานแสนนาน ห่างจากบุคคลที่รัก ห่างจากรากเหง้า จากประเทศและประเพณีถิ่นฐานของตัวเอง"

"ตอนนั้นแหละคุณเริ่มรู้สึกขึ้นมา และก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆเล็กน้อย ผมพยายามที่จะทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะลงหลักปักฐานให้มันเร็วที่สุดเช่นกัน แต่การจะปักหลักอยู่ในที่ใดก็ตามมันก็ค่อนข้างลำบากเสมอ ไม่ว่าวัฒนธรรมการเป็นอยู่ตรงนั้นมันจะเหมือนกัน หรือแตกต่างกันก็ตาม การลงหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งและต้องพบเจอการเปลี่ยนแปลงนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากเสมอ"

"เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตัวอย่างง่ายๆเช่นในเคสของผม เรื่องราวมันก็เยอะสิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งจากบ้านมาหลายปี นานขึ้นเรื่อยๆ มันก็ยิ่งอยู่ยากขึ้นทีละน้อยๆ ยิ่งห่างไกลคนออกไป นั่นแหละครับทำไมผมถึงได้บอกตั้งแต่ตอนเริ่มต้นว่ามันเป็นแค่เรื่องๆเดียว แต่หลังจากนั้นคุณก็จะเริ่มคิดถึงอะไรหลายๆอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ"

"ผมคิดว่าผมมาตั้งรกรากได้ค่อนข้างดี และบางทีผมยังคงตามล่าความฝันที่ว่านั้นอยู่ ความปรารถนาที่จะยังมีส่วนร่วมลงแข่งขันในฟุตบอลระดับสูงสุด และอยู่ในจุดนั้นต่อไปได้เรื่อยๆ"

"ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผมก็จะอยู่ตรงนั้นเสมอที่จะลงแข่งขันและทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้"

-ตอนที่ฟอร์มกำลังสดที่ปาแลร์โม่ คุณเริ่มมีข่าวโยงกับแมนยูไนเต็ดตั้งแต่ปี2010 คุณสนใจมั่งไหม แล้วถ้ามีการยื่นซื้อจริงๆจังๆไปในตอนนั้น คุณจะย้ายมามั้ย?

"(ยิ้ม) ลองจินตนาการแล้วกันนะ ช่วงนั้นผมจำไม่ค่อยแม่นด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ที่นึกออกคือได้คุยกับ1หรือ2สโมสร แต่เฮ้ย ถ้ามันมีโอกาสเข้ามาจริงๆผมก็คว้าไว้อยู่แล้วแหละ เพราะงั้นตอบได้เลยว่า มาแน่ โดยไม่ต้องคิดอะไรเยอะเลย ผมจำมันไม่ได้แบบเป๊ะๆนะ แต่ที่นึกออกคือผมกำลังไปลงแข่งฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ และในช่วงทัวร์นาเมนต์นั้นผมได้พูดคุยกับนาโปลี แล้วผมก็บอกพวกเขาว่า ถ้าพวกเขาศรัทธาในผมและอยากได้ตัวผมไปเล่นที่นั่น  ขอแค่เชื่อใจและมั่นใจเท่านั้นก็มีค่ากับผมมากแล้ว เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจ หลังจากเล่นกับปาแลร์โม่แล้วผมก็ย้ายไปอยู่กับนาโปลี"

-คุณลงเล่นอย่างสนุกสนานและมีฤดูกาลที่สุดยอดในหลายๆปีกับนาโปลี เล่าช่วงนั้นให้ฟังหน่อยว่าการได้เป็นส่วนหนึ่งของโคตรแนวรุกอันลือลั่นเคียงข้าง Ezequiel Lavezzi และก็ Marek Hamsik เป็นยังไงบ้าง

"ประสบการณ์ของผมที่ได้สัมผัสมากับนาโปลีนั้นมันเหมือนกับตอนเล่นทีมชาติมากๆเลย ถึงแม้สองที่อาจจะไม่เหมือนกันเป๊ะๆอย่างในทีมชาติเรามาจากบ้านเกิดและวัฒนธรรมเดียวกันใน เราก็รู้ใจกันดีว่าจะเล่นยังไง จะวิ่งยังไง มันเป็นเหมือนเพื่อนกลุ่มใหญ่มากๆ เป็นครอบครัวใหญ่จริงๆ"

"แต่ที่นาโปลีมันเกิดขึ้นคล้ายๆกับตอนผมอยู่กับทีมชาติตัวเองเลย ที่นั่นมีกลุ่มนักเตะที่ยอดเยี่ยมซึ่งขึ้นมาจากระดับเยาวชน และลงเตะอยู่ด้วยกัน ช่วงที่ได้อยู่กับพวกเขาที่ทีมนั้นมันน่ามหัศจรรย์มากๆ ผมอยู่นั่นสามปี สำหรับผมแล้วมันคือจุดเปลี่ยนของชีวิตจริงๆ ผมเป็นนักฟุตบอลเต็มตัว และความศรัทธาของผู้จัดการทีมอย่างWalter Mazzariที่มีต่อผมในตอนนั้นช่วยทำให้ผมกลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้"

"เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากการเล่นของผม และความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะงั้นนั่นเอง ทำไมผมถึงบอกว่า ความเชื่อมั่น และความเชื่อใจมันสำคัญต่อชีวิตเรามากขนาดไหน ซึ่งแน่นอนเรามีแผงแนวรุกที่สุดยอดอีกด้วย พวกเราได้ลงเล่นด้วยกันทุกๆนัด ตอนนั้นเรากำลังเป็นวัยรุ่นที่สดเต็มถังมากๆ และเป็นแบบนั้นทุกๆเกม ถึงจะไม่ได้คว้าแชมป์อะไรเยอะแยะมากมาย แต่โมเมนต์ช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่พิเศษสุดช่วงหนึ่งจริงๆ เวลาดีๆกับแฟนบอล และช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราสามารถจะวาดฝันและบรรลุความสำเร็จต่างๆได้จริงๆ พวกเราตอนนั้นคว้าแชมป์โคปป้าอิตาเลีย เอาชนะยูเว่ในรอบชิงได้ซึ่งมันเป็นอะไรที่โคตรสำคัญมากๆ เพราะตอนนั้นพวกเขาเป็นแชมป์แบบไร้พ่ายมาตลอดทั้งฤดูกาล และเราขึ้นมาเจอกับทีมพวกเขารอบชิง แล้วชนะไป 2-0"

"ผมคิดว่าถ้วยนั้นเป็นรายการที่ทรงเกียรติมากๆหากคว้าแชมป์มาได้ โดยส่วนตัวแล้วไม่ว่าใครยกย่องในระดับใดก็ตาม แต่มันมีความหมายที่พิเศษสุดสำหรับผม หลังจากที่ผมใช้เวลาและฝ่าฟันกับนาโปลีมาทั้งฤดูกาล และก็แน่นอน สิ่งเหล่านี้เราผ่านมันมาพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่สร้างสามประสานขึ้นมาได้อย่างอันตรายในแดนหน้าด้วยใช่มั้ยล่ะ"

-คุณเป็นไอดอลของแฟนๆนาโปลี มันรู้สึกถึงความรักยังไงบ้างเมื่อมองย้อนกลับไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์เหล่านั้นระหว่างคุณกับแฟนๆ

"ผมคิดว่าแฟนบอลเป็นส่วนสำคัญของ และอยู่ในชีวิตของคุณเลย ผมว่าแฟนบอลสร้างความทรงจำที่ชัดเจนในยามที่ลงเล่นกับสโมสรนั้นๆ พูดอย่างจริงใจว่าช่วงเวลาที่นาโปลีมันยอดเยี่ยมมากๆ นับตั้งแต่ช่วงแรกๆเลย ผมจำได้ว่าผมเพิ่งจะเซ็นสัญญากับพวกเขาและเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สโมสร แฟนบอลบ้าคลั่งกันมากๆ ซึ่งผมย้ายมาจากปาแลร์โม่ที่ทำประตูมาแค่ไม่กี่ลูกเองนะ ตอนนั้นผมยังไม่ใช่ดาวยิงแนวหน้าของลีกเลย"

"ผมเป็นหนึ่งในเป้าหมาย และก็เพิ่งกลับมาจากฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เท่านั้นเอง แต่หลังจากที่เริ่มเปิดตัวกับสโมสร แฟนบอลก็แสดงความรักและชื่นชอบออกมากับผมอย่างมากจริงๆ พวกเขาตามมาเคาะรถ โบกมือให้ผมจากข้างนอกท่ามกลางฝูงชนมากมายแล้วก็บอกว่าพวกเขารักผม"

"สิ่งแรกที่ผมพูดกับสมาชิกในครอบครัวที่อยู่กับผมตอนนั้นคือ สิ่งนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆอยู่ข้างในใจนะ พวกเขาคาดหวังกับผมมากๆเลย ดังนั้นผมจึงรู้สึกมวนๆเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง แต่มันก็เป็นความกลัวที่เป็นแง่บวกในเวลาเดียวกันด้วย"

"ความกลัวที่ดีนั้นทำให้คุณต้องดึงสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา คุณจะต้องไม่ทำเสียหรือเล่นพลาด อันนี้พอจะเข้าใจที่ผมจะสื่อใช่ไหมฮะ และก็นั่นแหละ มันกลายเป็นว่าความชื่นชอบตรงนี้จากพวกเขามันสร้างผลกระทบในแง่บวกให้กับผม ผมสัมผัสได้กับตัวเอง เพราะงั้นผมจึงสามารถเล่าเรื่องราวดีๆของตัวเองในช่วงนั้นได้"

-ตอนที่มีโอกาสย้ายมาอยู่กับPSG คุณก็กลายเป็นขวัญใจแฟนบอลอีกครั้งที่ปารีส คุณรู้สึกยังไงกับตัวเองในเรื่องที่แฟนบอลมองคุณเช่นนี้?

"กับปารีสมันแตกต่างออกไปนิดหน่อย กับปารีสมันจบเหมือนๆกับตอนจากนาโปลี แต่ช่วงเริ่มต้นนี่แตกต่างกันสิ้นเชิงเลย จุดเริ่มต้นที่นาโปลีนั้นมหัศจรรย์และค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ยอดตั้งแต่แรกๆเลย"

"กับปารีสนั้นแตกต่างออกไป ตอนที่ผมมาอยู่ที่นี่นั้น สโมสรก็เต็มไปด้วยนักเตะดาวเด่นมากมายอยู่แล้ว บางคนคือตัวท็อปในวงการฟุตบอลเลยล่ะ นอกจากนั้นแล้ว ไม่ว่าผมจะอยากให้เป็นแบบนั้นหรือไม่ก็ตาม ในตอนนั้นผมเป็นดีลที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลฝรั่งเศสด้วย มันเป็นความรักที่เริ่มต้นมาจากความว่างเปล่า ผมจะต้องสร้างมันขึ้นมาที่สโมสรใหม่แห่งนี้ให้ได้ทีละน้อยๆ และค่อยๆทำมันด้วยการเป็นตัวของตัวเอง และเล่นในสไตล์ที่ถนัด ด้วยตัวตนของผม"

"ความชื่นชอบมันก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิด และเป็นเรื่องดีที่ทุกอย่างค่อยๆพัฒนาขึ้นตามกาลเวลา สอดคล้องกันไปจากความมุ่งมั่นทำงานหนักและการยอมรับที่มากขึ้น ดังนั้นมันจึงเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากที่นาโปลี แต่สุดท้ายแล้วปลายทางมันก็ทำได้แบบเดียวกัน นั่นก็คือการได้ความรักจากแฟนๆ และความรู้สึกของผมที่มีต่อพวกเขากลับไปด้วย เพราะในหัวใจผมแล้วมันเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นความรักมันเบ่งบานขึ้นมาเรื่อยๆเพราะมันค่อยๆเปิดเผยออกมาผ่านสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น"

"ผมได้รับความรักที่ยิ่งใหญ่มหาศาลจากแฟนบอลเปเอสเช เหมือนอย่างที่พูดไปแล้วครับว่า แฟนบอลคือตัวแทนของโมเมนต์ของช่วงชีวิตที่อยู่กับสโมสรนั้นๆนั่นเอง ความสัมพันธ์กับแฟนบอลมีผลอย่างมาก เพราะงั้นว่าทำไมผมถึงได้สนุกมากเวลามีโอกาสฉลองประตูต่อหน้าแฟนบอลหลังประตูด้วยกัน เพราะว่านั่นคือการได้ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกออกมา และเป็นสายสัมพันธ์พิเศษเกิดขึ้นมาเมื่อนักเตะและแฟนบอลได้แบ่งปันถึงpassionและความรักร่วมกันในช่วงเวลานั้น"

-ที่ฝรั่งเศสคุณได้เล่นกับสุดยอดกองหน้าที่น่าเหลือเชื่อมากมาย อย่างLavezziที่เจอกันที่นี่อีกครั้ง, Zlatan Ibrahimovic, Neymar, Kylian Mbappeเป็นต้น คุณได้อะไรจากการลงเล่นกับพวกเขาเหล่านี้บ้าง?

"ใช่ครับ ผมโชคดีมากที่ได้เล่นกับสุดยอดนักฟุตบอลเหล่านี้ และเวลาที่ลงเล่นคู่กับพวกนักเตะชั้นแนวหน้ามันก็ทำให้คุณเติบโตและพัฒนาขึ้นด้วย ผมต้องการปรับปรุงและพัฒนาการเล่นอยู่เสมอ และเรียนรู้จากผู้เล่นคนต่างๆ ถ้าให้ผมร่ายถึงความสามารถที่นักเตะเหล่านั้นมีนะ ลิสต์มันคงจะยาวเป็นหางว่าวแน่ๆ! เพราะพวกเขามีความสามารถเฉพาะตัวในแต่ละคนสูงมาก เวลาคุณมีนักเตะอย่างซลาตันที่ชื่นชอบการแข่งขันกันอย่างมาก เขาพร้อมบู๊ตลอดเวลาและเกลียดความพ่ายแพ้สุดๆ ซึ่งพวกเราไม่มีใครชอบเวลาที่แพ้เลย แต่ว่าเขาแสดงให้เห็นอยู่อย่างตลอดเวลาว่ามันมากยิ่งกว่าอะไรดี ด้วยคาแรคเตอร์และสิ่งที่ตัวเขาเป็น"

"ส่วนเนย์ ทุกคนก็รู้ดีกันอยู่แล้วนี่ว่าเขาเหมือนมีเวทมนตร์ติดอยู่ที่ตีน ส่วนคิเลียนนั้นทักษะและเทคนิคสูงมากพอๆกับสปีดความเร็วนรกแตก พวกเขาล้วนเป็นนักเตะระดับท็อปคลาสทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันคุณก็สนุกมากเวลาได้ลงเล่นประสานกับพวกเขาเหล่านั้น แน่นอนว่าคุณภาพและความสามารถที่มีก็แตกต่างจากผม และเรามีบุคลิกที่ต่างกันด้วยซึ่งจริงๆมันโอเคนะ เป็นอะไรที่คุณจะสนุกไปกับมันและมักคิดเสมอว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เล่นร่วมกับนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้"

-การย้ายทีมล่าสุดของคุณ ซึ่งก็แน่นอนว่ามันทำให้คุณมาอยู่ที่แมนเชสเตอร์ และคุณก็กลายเป็นกองหน้าที่ประสบการณ์สูงที่สุดในทีม อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในความคิดของตัวคุณเอง ซึ่งแนวรุกวัยรุ่นของเราจะสามารถเรียนรู้จากคุณได้?

"พูดกันตรงๆเลยว่า ผมเป็นคนที่ไม่ได้ชอบเดินไปบอกหรือแนะนำใคร ผมอยู่ที่นี่เพื่อที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะสนับสนุนให้กับทีมนี้ และทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้อย่างสุดความสามารถในสนาม ไม่ว่าจะเป็นระหว่างแข่งหรือในช่วงเซสชั่นการซ้อมก็ตาม ถ้ามีน้องๆเดินมาขอคำปรึกษา หรือจากการที่พวกเขาเห็นผมทำในช่วงซ้อมว่า อยากจะได้มันไปผนวกเข้ากับการเล่นของตัวเองเมื่อไหร่ นั่นแหละถึงจะเยี่ยมเลย"

"ผมเชื่อว่ามีสิ่งต่างๆให้เรียนรู้ได้จากรอบๆตัว ไม่ใช่เพียงแค่จากนักเตะที่เล่นตำแหน่งเดียวกันกับตัวเองเท่านั้นนะ คุณสามารถเก็บเอาสิ่งที่ดีที่สุดจากใครก็ได้ แล้วดูว่าอะไรที่นำไปใช้แล้วมันจะดีกับการเล่นของตัวเอง ถ้าพวกเขาต้องการเก็บสิ่งที่ผมพูด หรือที่ผมทำเอาไว้ และใช้มันเป็นตัวอย่างเพื่อที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต ผมจะดีใจมากๆเลยนะ เพราะนั่นคือเรื่องสำคัญที่สุดในการจะทิ้งสิ่งดีๆเอาไว้เบื้องหลังนั่นเอง"

Edinson Cavani

-ศาลาผี-

Reference

https://www.manutd.com/en/news/detail/the-edinson-cavani-story-from-salto-to-the-stretford-end

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด