:::     :::

เจาะแท็กติกหงส์ เกมลูบคมปีศาจคาโรงละคร

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,588
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะในลีกได้ 2 นัดติดต่อกันแล้วนะครับ โดย 3 แต้มจากเกมแดงเดือดเมื่อคืนนี้ นอกจากจะช่วยเปิดโอกาสลุ้นพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ต่อลมหายใจอีกเฮือกแล้ว ยังเป็นเกมที่แสดงให้เห็นว่าแท็กติกของ คล็อปป์ ยังคงได้ผลเสมอหากการเพรสซิ่งในแดนบนนั้นสัมฤทธิ์ผล

มาว่าที่ไลน์อัพก่อนสักนิด ลิเวอร์พูลเลือกที่จะใช้งานคู่เซนเตอร์ดาวรุ่งอย่าง รีห์ส วิลเลี่ยมส์ กับ แน็ท ฟิลลิปส์ เหมือนในเกมที่ชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน มา 2-0 และยังทำเซอร์ไพรส์ด้วยการพัก ซาดิโอ มาเน่ ไว้ที่ม้านั่งสำรองอีกต่างหาก ดังนั้น 3 ประสานในแดนหน้าจึงตกเป็นงานของ ฟิร์มิโน่, ซาล่าห์ และ โชต้า 


รูปเกมในช่วง 10 นาทีแรกจนถึงตอนที่ได้ประตูขึ้นนำนั้น ปีศาจแดงทำได้ดีกว่าทีมเยือนโดยเฉพาะการไล่เพรสในแดนบนจนหงส์แดงตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ แต่หลังจากได้ประตู 1-0 แล้ว ดูเหมือนว่าแรงกระหายและสมาธิของเจ้าบ้านจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ ลิเวอร์พูล ลุกขึ้นจากหลุมได้สำเร็จ


โดยผมขอแยกย่อยออกเป็น 3 จุดหลักๆ นะครับสำหรับจุดแข็งที่หงส์แดงทำได้ดีกว่าจนสามารถเก็บ 3 คะแนนกลับบ้านได้อย่างยอดเยี่ยม


1) การเพรสซิ่งที่ทรงประสิทธิภาพ​มากกว่า

กลยุทธ์แรกและเป็นจุดเด่นในทีมของ คล็อปป์ มาตลอดก็คือการเพรสซิ่งที่ดุดัน หนักหน่วง โดยเฉพาะการเอาชนะให้ได้ตั้งแต่แดนบนจนมาถึงแดนกลาง


ปอล ป็อกบา กับ เฟร็ด ถูก ลิเวอร์พูล ไล่เพรสอย่างถึงลูกถึงคนจนไม่สามารถ​สร้างเกมให้ปีศาจแดงได้ถนัด ในหลายครั้งเราจะเห็น ติอาโก้ ปั้นเกมและรุกคืบเข้าไปได้จนถึงกรอบเขตโทษอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังดึงพื้นที่ของ ป็อกบา ให้หลุดจากพื้นที่รับผิดชอบของตัวเองได้อีกด้วย ยิ่งเข็มนาฬิกากระดิกไปมากเท่าไหร่ การค่อยๆ บีบพื้นที่ของ ลิเวอร์พูล ยิ่งทำได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ สังเกตุได้จากการเติมเกมของแบ็ค 2 ฝั่งอย่าง โรเบิร์ตสัน กับ เทรนท์ ที่ทะยานไปครอสจากริมเส้นได้หลายครั้งหลายหน


ประตูขึ้นนำ 3-1 ของหงส์แดง คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการเล่นเพรสซิ่งในแดนบนที่สัมฤทธิ์ผล จุดเริ่มต้นมาจาก ฟิร์มิโน่ ที่บีบจนนักเตะปีศาจแดงเสียบอล ก่อนจะออกไปที่ด้านขวาให้ เทรนท์ ยิงเต็มข้อจน ดีน เฮนเดอร์สัน รับกระฉอก จนสุดท้ายเป็น ฟิร์มิโน่ ที่วิ่งทะยานมาซ้ำดาบสองเข้าไปอย่างเลือดเย็น


2) เซตพีซที่คมกว่า

2 จาก 4 ประตูในเกมแดงเดือดที่ ลิเวอร์พูล ได้ประตูนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากลูกตั้งเตะ โดยประตูตีเสมอของหงส์แดงเริ่มต้นจากลูกเตะมุม ก่อนจะมาจบที่ไหวพริบการจมสกอร์อันยอดเยี่ยมของ โชต้า, เช่นเดียวกับประตูขึ้นนำ 2-1 ที่เป็น เทรนท์ ตักฟรีคิกไปยังจัดนัดพบ ก่อนที่ ฟิร์มิโน่ จะฉีกหนีตัวประกบอย่าง ป็อกบา แล้วโหม่งเข้าไปอย่างเด็ดขาด


ประเด็นนึงที่ฝั่งปีศาจแดงบ่นอุบก็คือการขาดหายไปของ แฮร์รี่ แมคไกวร์ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในเกมรับ เป็นคนบัญชาการแผงแบ็คโฟร์ แต่จุดนึงที่เจ้าบ้านหลงลืมไปก็คือในฤดูกาลนี้พวกเขาเสียประตูจากลูกตั้งเตะมากถึง 33% ของจำนวนประตูที่เสียทั้งหมด บ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขามีจุดอ่อนที่ยังแก้ไขไม่ได้เอง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี แมคไกวร์ ก็ตาม


ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับด้วยว่านักเตะของปีศาจแดงเองนั้นหลุดฟอร์มกันหลายคน ไม่ว่าจะเป็นคู่เซนเตอร์อย่าง ไบญี่ กับ ลินเดอเลิฟ ที่ปั้นเกมจากแแรหลังไม่ดี ยืนตำแหน่งกันหละหลวม ยิ่งในช่วงกลางครึ่งหลังมีจังหวะที่ลนลานจากการถูกเพรสซิ่งให้เห็นอยู่หลายครั้ง เช่นเดียวกับ ลุค ชอว์ ที่วันนี้ก็ทำพลาดเยอะ ยิ่งดวลกับ เทรนท์ ในวันที่เข้าฝักด้วยแล้ว ยิ่งเปิดเผยช่องโหว่ในการเล่นเกมรับให้เห็นเด่นชัดเลยทีเดียว


3) ความกระหายที่ต่างกัน

ต้องยอมรับว่าเกมแดงเดือดเมื่อคืนนี้ ฝั่งทีมเยือน ลิเวอร์พูล ลงเล่นด้วยความละเอียดมากกว่า และยังมีความกระหายในชัยชนะมากกว่าอีกด้วย


มีหลายชอตที่ชัดเจนว่านักเตะของปีศาจแดงพะวงเกมสำคัญเกมอื่นมากกว่า (ยูโรปาลีก รอบชิงฯ)​ ผมสังเกตุเห็นว่าจังหวะ 50-50 ปีศาจแดงจะผ่อนเครื่ิองถอนคันเร่ง ไม่เสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ บรูโน่ และ ป็อกบา ที่เล่นถนอมตัว เลี่ยงปะทะ จนเกมเพรสซิ่งของหงส์แดงเอาชนะในแดนกลางได้สบายๆ


3 แต้มในเกมนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ ลิเวอร์พูล ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลเลยนะครับ แม้ว่าเส้นทางการลุ้นพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก จะไม่ได้อยู่ในมือเราเอง 100% ทว่า มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาถลกแขนเสื้อสู้อย่างเต็มที่ นักเตะในสนามล้วนมีความกระหายทุกคนแม้กระทั่ง มาเน่ ที่ตอนจบเกมมีปัญหาเล็กน้อยกับ คล็อปป์ โทษฐานที่ถูกดร็อปเป็นสำรอง แต่เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรน่าจะเคลียร์กันได้ไม่ยาก


ประตูสู่เวทียุโรปถ้วยใหญ่เปิดให้ได้ลุ้นอีกครั้ง ต่อให้สุดท้ายจะเร่งเครื่องไม่ทัน แต่ขอแค่ใน 3 นัดสุดท้ายที่เหลือ ลงเล่นด้วยหัวใจที่กระหาบแบบนี้ วิ่งทำทาง วิ่งเพรสกันได้แบบนี้ ผมเชื่อว่า เดอะ ค็อป ทุกคนก็พร้อมที่จะกระแทกมือให้เหล่านักเตะและทีมงานกันสุดหัวใจอย่างแน่นอน





สถิติที่น่าสนใจในเกมนี้

- แมนเชสเตอร์ ยู​ไนเต็ด แพ้ในบ้านติดต่อกัน 2 เกมในช่วงเวลาห่างกันแค่ 3 วันเป็นครั้งแรกในรอบ 63 ปี โดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือน เม.ย. ปี 1958

- ปีศาจแดงเสียประตูในเกมแดงเดือด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ถึง 4 ลูก ครั้งสุดท้ายคือวันที่ 14 มีนาคม ปี 2009

- 33% ของประตูที่เสียในฤดูกาลนี้ของปีศาจแดงเกิดขึ้นจากลูกเซต พีซ

- โม ซาล่าห์ ลงสนามนัดที่ 200 ให้ ลิเวอร์พูล โดยยิงได้ถึง 124 ประตู มีเพียง โรเจอร์ ฮันท์ (133 ประตู)​ และ กอร์ดอน ฮ็อดจ์สัน (125 ประตู)​ เท่านั้นที่ยิงได้มากกว่าเขาจากการเล่น 200 นัดแรก

- ฟิร์มิโน่ ทำประตูจากลูกโหม่งเป็นลูกที่ 17 ในลีกให้ ลิเวอร์พูล​ มีเพียง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ คนเดียวเท่านั้นที่ทำได้มากกว่าเขา (21 ประตู)​





ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด