สำหรับ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์ก ที่พาต้นสังกัดอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ ผงาดคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้มาครอบครอง ด้วยชัยชนะเหนือเชลซี 1-0 โดยนี่ถือว่าเป็นโทรฟี่ที่ 3 ของเขากับพลพรรค “จิ้งจอกสยาม” หลังเคยซิวแชมป์เดอะ แชมเปี้ยนชิพ (2013-14) และพรีเมียร์ลีก (2015-16)
อย่างไรก็ตาม .. กว่าที่แคสเปอร์ จะเดินทางมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะการถูกนำไปเปรียบเทียบกับคุณพ่ออย่าง "ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล" ตำนานนายทวารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยตลอดเวลากว่า 34 ปี นับตั้งแต่เกิดมา เขานั้นโดนการเปรียบเทียบลักษณะนี้มาแทบนับครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว
กระนั้น แคสเปอร์ บอกว่า เขาแค่เป็นคนธรรมดา ที่เลือกเส้นทางเดินของตัวเอง พร้อมกับสร้างความยิ่งใหญ่ในแบบฉบับของตัวเองด้วย ช่วงนี้ เขาจะมาเล่าถึงประสบการณ์ที่เจ็บปวด ในการถูกนำไปเปรียบเทียบกับคุณพ่อ แต่มันเป็นความเจ็บปวดที่เขาฝ่าฟันมาได้ และทำให้ตัวเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
แคสเปอร์ เริ่มเล่าว่า เขามักเจอแฟนบอลเข้ามาทักทาย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการพูดจาเชิงเปรียบเทียบกับพ่อของตัวเองอยู่เสมอ และนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องผ่านมันไปให้ได้
โดยกล่าวว่า “ย้อนเวลากลับไป ผมเคยเจอแฟนบอลคนหนึ่งเข้ามาขอลายเซ็น และแฟนบอลคนนั้นพูดกับผมว่า -นายทำผลงานได้ดีมาก แต่คงไม่สามารถเทียบชั้นพ่อนายได้หรอก- ผมตอบกลับไปเพียงคำสั้นๆว่า -ขอบคุณนะ-"
แคสเปอร์ เล่าต่อถึงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เขาพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะคารม พร้อมกับมองว่า มันเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ มันไม่ใช่ครั้งแรก และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน เขาเพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
”แฟนบอลคนนั้นบอกต่อว่า -ไม่เอาน่า มันก็แค่การเล่นมุกเท่านั้นเอง- ผมตอบกลับไปว่า -ดีแล้ว คุณแค่เล่นมุก คุณพอใจแล้วใช่มั้ยล่ะ ? งั้นผมขอตัวไปก่อนนะ-"
"แฟนบอลเอ่ยต่อ -มันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น มันก็แค่การเล่นมุก เพื่อความสนุกสนานเท่านั้นเอง- ผมเลยตัดสินใจพูดตัดบทว่า -โอเค คุณคิดว่าผมไม่เคยได้ยินคำปรามาสดังกล่าวมาก่อนเลยหรอ ? ผมได้ยินมาตลอดแหล่ะ เป็นระยะเวลามากกว่าสิบๆปีแล้ว คุณได้เล่นมุกของคุณแล้ว ดังนั้น ผมขอตัวไปก่อนนะ-"
"ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยมาก ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมผู้คนมากมายถึงเข้ามา พร้อมกับพูดกับผม แถมยังมาปิดท้ายด้วยการเล่นมุกแบบนี้ตลอดเวลา อารมณ์ราวกับว่า ถ้าเป็นพ่อนายคงทำได้ไปแล้ว"
แม้จะโดนนำไปเปรียบเทียบกับคุณพ่ออยู่เสมอ แต่แคสเปอร์ บอกว่า พ่อของเขามักจะกางปีกปกป้องเขา โดยเฉพาะจากคำพูดเชิงสบประมาท ที่เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
โดยกล่าวต่อไปว่า “ครั้งหนึ่ง ผมและคุณพ่อออกไปทานอาหารเย็นกัน จากนั้นมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจับมือพ่อ พร้อมบอกว่า -คุณคือตำนาน ลูกชายคุณก็ทำได้ดี แต่เขาไม่มีวันยิ่งใหญ่เหมือนคุณ-"
"พ่อจ้องมองที่ชายคนนั้น และตอกกลับไปว่า -คุณไสหัวไปเลยนะ คุณมาที่นี่ เพราะต้องการพูดจาดูถูกลูกชายของผมเนี่ยนะ ? ผมยินดีที่จะคุยกับทุกคนนะ แต่ต้องมีมารยาทด้วย- พ่อคอยปกป้องผมในทุกเรื่อง เท่าที่ท่านสามารถทำได้"
นี่คือความประทับใจที่แคสเปอร์ มีต่อคุณพ่อ อย่าลืมว่า นี่คือไอดอลการเป็นผู้รักษาประตูของเขา พร้อมกับออกเดินทางไปทุกหนแห่ง ทุกครั้งที่โอกาสจะเอื้ออำนวย เพื่อเฝ้าให้กำลังใจลูกอยู่ข้างสนาม
จึงไม่น่าแปลกใจว่า บ่อยครั้งที่เราจะเห็นพ่อของเขากระโดดโลดเต้น และคอยให้กำลังใจเวลาเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม นั่นเพราะสายสัมพันธ์ของทั้งสองคนมีความแน่นแฟ้นเป็นอย่างมาก และไม่สามารถมีอะไรมากระทบได้
คราวนี้ เรามาดูมุมมองของคนนอกกันบ้าง จิม เปรสตัน โค้ชผู้รักษาประตูของฟัลเคิร์ก สโมสรเล็กๆในลีกสูงสุดของสกอตแลนด์ ที่เคยทำเรื่องขอยืมตัวแคสเปอร์ มาเฝ้าเสาให้กับสโมสรในช่วงเดือนมกราคม ปี 2007
โดยบอกว่าแคสเปอร์ เข็มแข็งมากพอ ที่จะไม่ตกอยู่ใต้ร่มเงาพ่อของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่เขาสามารถพิสูจน์ในสนามแข่งขันแล้ว พร้อมกับใช้ประสบการณ์เหล่านั้น หล่อหลอมจนก้าวมาเป็นนายทวารมือ 1 ของเลสเตอร์ ซิตี้ เฉกเช่นในปัจจุบัน
จิม เปรสตัน ย้อนความหลังว่า “ย้อนกลับไปเวลานั้น ผมยังไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับแคสเปอร์ ผมรู้แต่เพียงว่าเขาคือลูกชายของปีเตอร์ ชไมเคิ่ล แต่ทันทีที่เราเห็นเขา ทำให้เรารู้ทันทีเลยว่าเขาคือผู้รักษาประตูดาวรุ่งฝีมือดี"
“ผมมองว่า นามสกุลไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับแคสเปอร์ เขาเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และเกิดมาเพื่อเป็นผู้รักษาประตู นั่นเพราะเขาจับลูกฟุตบอลมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ"
เปรสตัน ทิ้งท้ายถึงแคสเปอร์ ที่ช่วยฟัลเคิร์ก อย่างสุดความสามารถ ทั้งการพาทีมเอาชนะกลาสโกว์ เซลติก และได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ เกมกับกลาสโกว์ เรนเจอร์ส
