Exclusive Interview การเติบโตที่กลับมาเส้นทางที่ถูกต้องของGreenwood
"ผมรู้สึกว่าซีซั่นที่แล้วผมต่อเกมกับทีมได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมทำประตูได้ไง คนก็เลยจำภาพนั้นและคิดว่าปีก่อนผมเล่นดีกว่า ซึ่งผมว่าไม่จริงนะ ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ผมว่าซีซั่นนี้ผมเล่นดีกว่า"
8ประตูจากการลงสนาม12นัดหลังสุดให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเขาได้เปลี่ยนมุมมองการรับรู้นี้ โดยที่6ประตูในนั้นมาจากการยิงในพรีเมียร์ลีก ซึ่งในลีกไม่มีใครยิงได้เยอะกว่านี้อีกแล้วหากนับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา
"ประตูมันเริ่มไหลแล้ว" กรีนวู้ดกล่าว
ในบทสัมภาษณ์ที่หาได้ยากนี้ ดาวเตะวัยรุ่นให้รายละเอียดถึงสิ่งที่ปรับปรุงพัฒนาขึ้นมา รวมถึงสาเหตุของมันด้วย เขาเปิดเผยถึงความยากลำบากที่ต้องเผชิญหลังจากที่ทำผิดพลาดไม่รอบคอบในบทบาทกับทีมอังกฤษและทำให้เขาต้องหลุดจากทีม นอกจากนี้ยังพูดถึงความหวังในอนาคตของเขาด้วย
ท่ามกลางความอ่อนน้อมถ่อมตนของน้อง แต่ในนั้นก็มีความมั่นใจอยู่ด้วย มีความกระหายที่จะพัฒนาแต่ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อในความสามารถของตน
"ผมรู้ชัดว่าสักวันจะถึงเวลาของผม" กรีนวู้ดพูดในลักษณะที่ไม่ได้เป็นเชิงคุยโวโอ้อวด
การได้เห็นกรีนวู้ดพล่านไปทั่วสนามนั้นทำให้ไม่มีใครกังขาอีกต่อไป การยิงประตูด้วยทั้งสองเท้ายิ่งพิเศษขึ้นอีก เขาใช้พื้นที่แคบๆในการจัดการ Emiliano Martinez ด้วยเท้าซ้ายของเขาที่เสาใกล้ แต่ใช้พื้นที่ว่างเพิ่มขึ้นนิดหน่อยในการสอยแคสเปอร์ ชไมเคิล ในมุมไกลด้วยเท้าขวา
"ผมยังมีเวลาอีกหลายปีกว่าจะถึงช่วงที่ผมแตะความเร็วสูงสุดได้ ผมยังเติบโตอยู่เรื่อยๆ ตัวยังใหญ่ได้กว่านี้ ผมเพิ่ง19เอง" เมสัน กรีนวู้ด ชี้ให้เห็นถึงเรื่องที่เขาจะเร็วและแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้ ซึ่งผลลัพธ์คือการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาเอง
การโยกไหลหลอกTyrone Mings ทำให้เขาซื้อเวลาที่จะมีโอกาสได้ยิงเรียดเสียบเสาในประตูกับแอสตันวิลล่าคือจุดเริ่มต้นสำคัญ นี่คือชายที่ไม่เคยยิงน้อยกว่า7ประตูเลยนับตั้งแต่เริ่มเดบิวต์ในพรีเมียร์ลีกกับคาร์ดิฟฟ์เป็นต้นมา
แต่นอกเหนือจากเรื่องของจำนวนประตูดังกล่าวนั้น สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาอีกก็คือความรู้ที่ว่าเขาจะต้องมีกายภาพที่เพียงพอจะเก็บบอลต่อหน้าพวกยักษ์ในกรอบเขตโทษให้ได้
"ผมยังไม่ได้ฝึกเป็นพิเศษในเรื่องนั้น แต่มันก็เริ่มแล้วในซีซั่นนี้"
การโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัวขึ้นเรื่อยๆมันทำให้เขารักษาบอลเอาไว้ได้ดีขึ้นกว่าเดิม สามารถรับผิดชอบหน้าที่การตามประกบได้สะดวกขึ้นกว่าเดิมซึ่งเป็นสิ่งที่โค้ชทั้งหลายโปรดปราน
"การเล่นที่หลากหลาย การทำงานในเกมรับ มันคือการจะเป็นนักเตะอย่างเต็มตัวให้ได้ในเบื้องต้น มันเริ่มมาแล้ว"
การเล่นโดยหันหลังให้กับโกลก็สามารถทำได้มากขึ้นแล้วด้วยเช่นกัน ผ่านคำพูดนี้ของเขา
"การครองบอลพัฒนาขึ้น ผมคิดว่าผมไม่เสียบอลบ่อยเท่าตอนที่เพิ่งเข้ามาในทีมช่วงอายุน้อยกว่านี้นะ ผมเริ่มคุ้นเคยกับเกมมากขึ้นและตามสปีดบอลของพรีเมียร์ลีกได้มากกว่าเดิม ทุกอย่างมันค่อยๆมาพร้อมกัน"
กรีนวู้ดนั้นโฟกัสอยู่บนการทำงานหนักในเบื้องหลัง และการเจริญเติบโตขึ้นทางกายภาพมันก็ยิ่งเกื้อหนุนต่อพัฒนาการในครั้งนี้ แต่เขาก็ทราบดีว่ามันมีเรื่องทางด้านจิตใจอยู่ด้วย ซีซั่นที่สองอันยากลำบากเริ่มต้นขึ้นมาในแบบที่เขาไม่ได้หวังไว้เลย มันควรจะเป็นช่วงเวลาที่แฮปปี้ที่สุดในชีวิตที่ได้เดบิวต์ทีมชาติอังกฤษในเดือนกันยายนที่อายุเพิ่ง18 แต่ประสบการณ์ครั้งนี้กลับด่างพร้อยลงหลังจากที่ถูกถอดออกจากทีมชาติทันทีหลังจากฝ่าฝืนกฎการกักกันตัวเองต่อโคโรนาไวรัสที่Iceland พร้อมกับเพื่อนซี้อย่าง Phil Foden
ติดทีมชาติครั้งแรกก็ขึ้นหน้าหนึ่งในเรื่องเสียๆหายๆแล้ว
"มันยากลำบากนะ คุณเห็นได้ชัดเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันคือการท้าทายต่อจิตใจ แต่คุณจะต้องสกัดกั้นมันให้ถึงที่สุด เพราะหากจะลงเล่นให้ยูไนเต็ดซึ่งเป็นหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลก คุณจะต้องผ่านมันไปให้ได้ ผมผลักดันมันให้กลายเป็นอีกด้านของการมีสมาธิอยู่กับฟุตบอล"
"ผมเอาชนะมันมาได้แล้ว ผมมีความสุขมากที่ได้กลับมาเล่นฟุตบอลได้ดีที่สุดอีกครั้ง"
โซลชาพูดถึงกรีนวู้ดเอาไว้ดังนี้
"มันอยู่ที่คุณภาพของตัวเขาเอง ทั้งความขยัน มีสมาธิ มีความมุ่งมั่น และต้องการที่จะเก่งขึ้น เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เรียนรู้ตลอดเวลา ปีที่แล้วเป็นปีที่โดดเด่นมากสำหรับการเป็นซีซั่นแรกในชีวิต ในปีนี้เขาต้องเริ่มต้นด้วยการฝ่าฟันอยู่บ้าง แต่มันจะช่วยให้เขายืนหยัดต่อไปได้อย่างมั่นคงในระยะยาว เขาก้าวข้ามผ่านมันมาแล้ว เขาพยายามหาฟอร์มของตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อใกล้จะหมดฤดูกาลนี้เขาดูเฉียบคมและดีมากๆ เขากลับมาดีเหมือนเดิมเวลาอยู่ในปากประตู"
การได้พูดคุยกับ Ole Gunnar Solskjaer ในเรื่องนี้เขาได้ชี้ให้เห็นว่ากรีนวู้ดสามารถเปลี่ยนเรื่องแย่ให้กลายเป็นเรื่องดีได้ ดังที่โอเล่กล่าวว่าเขาเริ่มต้นด้วยการที่ต้องต่อสู้ แต่ในระยะยาวมันจะช่วยให้เขายืนหยัดได้มั่นคงนั่นเอง ซึ่งกรีนวู้ดเองก็มองเช่นนั้นเหมือนกัน
"ผมเห็นด้วยกับเขามากๆ ผมผ่านมันมาได้อย่างแข็งแกร่ง พวกสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ทั้งหมดช่วยทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น และเป็นนักฟุตบอลที่ดีขึ้นด้วย มันทำให้คุณได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ก็คล้ายกับเวลาลงสนามแล้วทำผิดพลาด คุณก็ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นในสนาม มีสองอย่างให้เลือกคือ ปล่อยให้มันส่งผลกระทบต่อตัวคุณ หรือจะให้มันเป็นแรงขับดันคุณไปข้างหน้า เพราะงั้นเราก็ต้องเลือกให้มันเป็นแรงผลักดันสิจริงไหม"
และเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆผ่านความช่วยเหลือของโซลชา
"ผู้จัดการทีมโฟกัสกับผมอย่างเต็มที่และช่วยเหลือผมอย่างมาก เขาพูดคุยกับนักเตะในทีมเยอะมากทั้งในรายบุคคล และพูดคุยในกลุ่มทีมใหญ่ ผมแฮปปี้มากที่มีเขาคุมทีมอยู่ที่นี่"
และเร็วๆนี้เด็กหนุ่มคนนี้ก็กำลังจะได้รับแรงหนุนจากแฟนบอลเพิ่มขึ้นในสนามอีกด้วย
การต้องลงแข่งในช่วงล็อคดาวน์อย่างที่เห็นกันนั้นมันเป็นอะไรที่แปลกประหลาดอยู่แล้ว แต่บางทีมันอาจจะประหลาดที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นเดินทางในสายนี้ด้วย 12ประตูจาก 17ประตูในพรีเมียร์ลีกของเมสัน กรีนวู้ดนั้นยิงประตูโดยไม่มีแฟนบอลแมนยูเลยในสนาม แต่สิ่งนั้นกำลังจะจบลงเมื่อเกมฟูแล่มเราจะมีแฟนบอลเจ้าถิ่น 10,000 คนเข้ามานั่งเชียร์ในโอลด์แทรฟฟอร์ด
"ผมคิดว่าทุกคนคิดถึงแฟนบอลนะ พวกเขาเป็นส่วนสำคัญมากๆของสโมสรฟุตบอล ถ้าปราศจากแฟนบอลมันก็ไม่ใช่สโมสรฟุตบอลด้วยเช่นกัน มันดีมากๆเลยที่พวกเขาจะได้กลับคืนมาอีกครั้งในช่วงท้ายฤดูกาล และจะดีขึ้นในซีซั่นหน้า มันถึงจะได้รู้สึกว่าเป็นโอลด์แทรฟฟอร์ดจริงๆอีกครั้ง"
แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นอีกนาน ยังมีเรื่องที่ต้องสะสางให้เสร็จ ทั้งโปรแกรมพรีเมียร์ลีกที่เหลือด้วย แต่ที่สำคัญคือนัดชิงชนะเลิศกับบียาร์เรอัลที่จะแข่งขันกันในกดานสค์ (Gdansk) มันเป็นโอกาสสำหรับกรีนวู้ดที่จะคว้าแชมป์ถ้วยสำคัญเป็นรายการแรกกับสโมสร และเป็นรายการแรกของยูไนเต็ดในรอบสี่ปีด้วย
"การจะได้คว้าแชมป์อะไรสักอย่างกับยูไนเต็ดมันคงน่ามหัศจรรย์มากๆ"
"ผมอยากทำให้ได้ เราอยู่ในสถานะที่ดีที่จะทำได้สำเร็จ จบอันดับดีในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้และชนะรอบชิงมันก็คงจะเยี่ยมไปเลย เราต้องมีถ้วยรางวัลบ้างเพราะเราไม่ได้มันมาหลายปีแล้ว เพราะงั้นการคว้าแชมป์รายการนี้กลับบ้านมันคงจะเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อยเลย"
และเกี่ยวกับการกลับมาติดทีมชาติอังกฤษทันเวลาในยูโรครั้งนี้
"มันดีมากเลยที่ได้ไปยูโรด้วย แต่ผมอยากโฟกัสกับยูไนเต็ดในเกมลีกที่เหลือกับรอบชิงยูโรปาลีกก่อนมากกว่า"
"อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด ผมไม่คิดอะไรเยอะแยะในเรื่องนั้น ผมแค่ลงไปเล่นแล้วก็คิดแต่เรื่องการทำผลงานให้กับยูไนเต็ดว่าจะยิงหรือช่วยให้ทีมทำประตูยังไงบ้าง"
"ผมแค่มีสมาธิกับการเล่นฟุตบอลของตัวเองเท่านั้น"
ทั้งหมดนี้คือคำสัมภาษณ์พิเศษของเจ้าหนูเมสัน กรีนวู้ด ที่มีต่อเรื่องต่างๆ โดยที่เหนือสิ่งอื่นใด จากปากคำของน้องเองมันบ่งบอกถึงวิธีการทรีทนักเตะของโซลชาว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เขาดูแลเอาใจใส่นักเตะทั้งรายบุคคล และภาพรวมของทีมอย่างดีอยู่หลังฉาก อย่างที่เราแฟนบอลไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเหล่าhatersที่ตั้งแง่กับOGSอยู่ตลอดเวลา
โซลชาเป็นผู้จัดการทีมที่เด็กๆเราทุกคนบอกว่าแฮปปี้ที่มีเขาคุมทีมอยู่ ซึ่งทั้งการวางแผนงานทำทีมระยะยาว การสร้างบรรยากาศ การเรียกความเชื่อใจจากนักเตะได้(อันนี้สำคัญโคตรๆ) นี่คือจุดแข็งสุดๆของโอเล่ ซึ่งสามารถปรับปรุงและทดแทนจุดบอดเล็กน้อยเรื่องการเปลี่ยนตัวกากๆที่ช้าเกินไปในบางที หรือการที่ยังมีปัญหาด้านแทคติกบางจุดเช่นการที่แผงมิดฟิลด์มักโดนกดและเอาตัวไม่รอดจากเพรสซิ่งอยู่บ่อยๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้มันสามารถปรับปรุงแก้ไขได้
แต่ความสามารถในการคุมทีม มันมีอะไรมากกว่าการแค่สั่งแผนการเล่นในสนามมากนัก ซึ่งกรีนวู้ดคืออีกคนที่ออกมายืนยันความยอดเยี่ยมของโซลชาในเรื่องนี้ ไม่ต่างจากนักเตะคนอื่นๆก่อนหน้านี้ที่พูดถึงเขา
สำหรับกรีนวู้ดตอนนี้ถือว่าเป็นForwardวัยรุ่นของทีมที่มีผลงานดีที่สุดในช่วงนี้ อย่างที่เห็นกันว่าเขาทำประตูได้บ่อยมากอีกครั้งคล้ายๆกับช่วงฤดูกาลก่อนที่ยิงกระฉูดแตกขนาดนี้ หากว่ามีช่องเพียงแค่นิดเดียว จะเท้าซ้ายหรือเท้าขวาก็จะถูกวาด "วงสวิง" หวดด้วยท่อนขาจากการจัดระเบียบร่างกายที่ดีเยี่ยม และส่งมันเป็นประตูอยู่เป็นประจำ เพราะความสุดยอดในการเล่นจังหวะยิงของน้อง ที่ทำให้ทุกๆลูกยิงของเมสัน กรีนวู้ดนั้นมีวิถีการยิงที่ค่อนข้างอันตรายต่อผู้รักษาประตูคู่แข่ง เพราะมันทั้งพุ่ง ทั้งเร็ว
การยิงของน้องถือเป็นสิ่งพิเศษที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนจริงๆว่าเด็กวัยแค่นี้จะมีจังหวะยิงที่น่ากลัวเหมือนพวกกองหน้าชั้นนำ เพียงแต่ว่ากรีนวู้ดเองก็ยังต้องปรับปรุงพัฒนาเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมขึ้นอีกเยอะ ทั้งประสบการณ์ ความเก๋า ชั้นเชิง ความชาญฉลาดในการเล่นและเอาตัวรอด รวมถึงร่างกายที่ต้องใหญ่ บึก และมีมวลของกล้ามเนื้อมากกว่านี้
แม้ตอนนี้น้องจะเล่นกล้ามและขุนร่างกายให้บึกขึ้นมากแล้ว แต่ยังไงก็ตามอย่างที่เราทราบกันว่า ร่างกายแบบชายหนุ่มจะไปเริ่มเข้าจุดพีคอยู่แถวๆ 23-24 ซึ่งอีกราว5ปีเลยกว่ากรีนวู้ดจะถึงจุดนั้น
และพอพิจารณามันก็น่าตกใจ นี่น้องเพิ่ง19 แต่แบกการทำประตูในแดนหน้าของเราได้แล้ว ซึ่งหากไม่นับมือโปรอย่างคาวานี่ ตอนนี้ไอ้หมอนี่คือนัมเบอร์วันของกองหน้าในทีมแล้วจริงๆ
แล้วอีกนานกว่าจะร่างกายเต็ม ซึ่งยังไปได้อีกเยอะทั้งสปีดและความแข็งแกร่ง แถมเมื่อทุกๆอย่างเข้าสู่ช่วงพีคของกองหน้าตั้งแต่วัย 26-30 ก็ต้องหลังจาก5ปีไปอีก ซึ่งมันคือ 6-10ปีหลังจากนี้
แค่นี้ก็เถื่อนมากแล้ว เขียนเองก็ขนลุกว่า อีก10ปีต่อจากนี้ หากยังคงรักษามาตรฐานการเล่นและโฟกัสอยู่กับฟุตบอล ทำตัวเหมือนฟองน้ำที่ดูดซับวิชาจากรุ่นพี่อย่างคาวานี่ และปรับปรุงตัวเองอยู่ในเรทปัจจุบัน เขาจะไปได้ไกลกว่าจินตนาการเพียงใด
เมื่อถึงเวลาที่อาจารย์สุดรักของเขาอย่างเอดินสัน คาวานี่ เกษียณอาชีพนักฟุตบอล กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิด และหันหลังกลับมามองรุ่นน้องรายนี้ในยามที่เขาเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มเต็มตัวเหมือนเขาหลังจากนี้อีก10ปี และเมื่อถึงเวลาที่ดาวเตะวัยรุ่นรายนี้แข็งแกร่งพอจะสามารถเล่นตัวจบสกอร์ในมิติของกองหน้าตัวเป้า Target man ได้ด้วยเมื่อไหร่
ถึงเวลานั้นคาวานี่อาจจะได้เห็นเมสัน กรีนวู้ด ไปได้ไกลกว่าสิ่งที่เขาเคยไปถึงเสียอีก
#BELIEVE
-ศาลาผี-
Reference