:::     :::

"แผนพิฆาตโลกิ" : ชำแหละลาสบอสในรอบชิงของปีศาจแดง [Tactical Analysis]

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
4,382
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
วิเคราะห์แผนจัดการบียาร์เรอัล แบบละเอียดยิบ เพื่อพิฆาตลูกทีมของ อูไน เอเมรี่ ในรอบชิงยูโรปาลีก ทั้งจุดอ่อนจุดแข็งอยู่ถูกเปิดเผยทั้งหมดแล้ว

บทความนี้น่าจะเป็นเนื้อหาที่ผู้เขียนตื่นเต้นมากที่สุดแล้วในการจะเขียนให้แฟนผีได้อ่าน จึงพยายามรีเสิร์ชข้อมูลให้มากที่สุดด้วยข้อมูลต่างๆ และไปสืบราชการลับดูฟอร์มการเล่นแบบเต็มๆแมตช์ของคู่แข่งรายนี้มาหลายเกมเพื่อที่จะวัดระดับว่าแมนยูไนเต็ดจะมีโอกาสเอาชนะและคว้าแชมป์ได้หรือไม่ ในเบื้องต้นพอจะบอกได้ว่า บียาร์เรอัลเป็นคู่แข่งที่เรามีโอกาสชนะ แต่ก็ไม่ใช่ทีมที่จะประมาทได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ทีมเรือดำน้ำสีเหลือง บียาร์เรอัล สโมสรผู้ซึ่งไม่มีฉายาของตนเองจนกระทั่งฤดูกาล 1967/68 พวกเขาได้แชมป์ในระดับภูมิภาคขึ้นมาลีกสามของประเทศ จึงมีการเฉลิมฉลอง และนำเอาทำนองของเพลง Yellow Submarine ของ The Beatles มาแปลงเนื้อใหม่เป็นเพลงเชียร์ของสโมสร ซึ่งแทร็คนี้ฮิตมากๆในยุคนั้นรวมถึงในสเปนด้วย

สุดท้ายแล้วเมื่อเพลงมันเข้าและถูกโฉลกกับสีเสื้อแข่งของสโมสร บวกกับความหมายแฝงที่บียาร์เรอัลเป็นทีมเล็กๆซึ่งดำผุดดำว่ายอยู่ลีกล่างๆ ประหนึ่งเรือดำน้ำที่ลำไม่ใหญ่และดำอยู่ใต้น้ำ Yellow Submarine จึงกลายเป็นฉายาของทีมนี้ในที่สุดจนถึงทุกวันนี้ราว53ปีแล้ว

ในเบื้องต้นของบทความนี้เราพอจะบอกได้ว่า บียาร์เรอัลเป็นคู่แข่งที่เรามีโอกาสชนะ แต่ก็ไม่ใช่ทีมที่จะประมาทได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะหากว่าใครได้ดูนัดปิดซีซั่นที่พวกเขาเจอกับเรอัลมาดริด ก็คงจะเห็นแล้วว่ากว่ามาดริดจะยิงแซงได้นั้น หืดขึ้นคอขนาดไหน

ถ้าประมาทเพราะเห็นว่าพวกเขาอยู่แค่อันดับ7ในลาลีกา และทำเป็นเล่นกับเกมนัดนี้ละก็..

ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย แมนยูไนเต็ดอาจหาบอลไม่เจอในรอบชิงอีกครั้งก็เป็นได้

และนี่คือข้อมูลเบื้องต้นที่จะทำให้คุณรู้จักกับเรือดำน้ำสีเหลือง บียาร์เรอัล ให้ลึกถึงกึ๋นมากพอที่จะรู้ว่า พวกเขามีวิธีการเล่นยังไง นักเตะคนไหนน่าสนใจ มีจุดแข็งด้านใดบ้าง และสิ่งใดคือจุดอ่อนที่แมนยูไนเต็ดจะสามารถเจาะบียาร์เรอัลได้

ต่อจากนี้คือพิมพ์เขียวของ "แผนพิฆาตโลกิ"

1. Formationการเล่นของบียาร์เรอัล

Formationหลักของบียาร์เรอัลนั้น มีด้วยกันสองแผน นั่นก็คือ "4-4-2" และ "4-3-3" แต่แผนที่ใช้อยู่ตลอดแทบทุกนัด นานๆทีถึงจะเปลี่ยนนั้น ส่วนใหญ่บียาร์เรอัลจะเล่นแผน "4-4-2" ซึ่งเป็นแผนที่เรียบง่าย แต่แน่น

มันสามารถใช้งานให้มีประสิทธิภาพได้ในยุคนี้หากว่ามีการเล่นที่เต็มไปด้วยคุณภาพ และจินตนาการสร้างสรรค์ระหว่างเกมที่การเล่นก็จะไม่เป็นแบบ 4-4-2 แบบโบราณเหมือนที่แฟนบอลที่ผ่านฟุตบอลยุค90s อย่างเราเข้าใจ

4-4-2 ของบียาร์เรอัลมีความยืดหยุ่นสูง และไม่ได้เล่นเกมบุกแบบตรงๆที่ทีมสมัยก่อนมักจะใช้ปีกสองข้างขึ้นเกมอย่างเดียว แต่เป็นรูปแบบสมัยใหม่ที่เราเคยเห็นกัน เช่น เน้นการครองบอลต่อบอลเป็นหลักๆ ใช้แบ็คเติมเกม ใช้มิดฟิลด์สอดขึ้นหน้า ฯลฯ

โดยที่ปรัชญาการเล่นของบียาร์เรอัลภายใต้ยุคอูไนนั้น จะเน้นความ "แน่นอน" ของการให้บอล ครองบอลเป็นหลัก

แต่ถึงจะเน้นความแน่นอน แต่ก็มีความอิสระในการครีเอทการเล่น และวิธีการก็เป็นสมัยใหม่ ดังนั้นแผนการเล่นของบียาร์เรอัลที่จะนำมาใช้คือ 4-4-2 ที่ใช้วิธีการเล่นแบบฟุตบอลสมัยใหม่ในยุค 2021 อย่างแน่นอน

ซึ่งค่อนข้างเชื่อว่าในรอบชิงพวกเขาน่าจะมาเจอกับเราด้วยแผนถนัดแผนนี้

2. รูปแบบวิธีเล่น

2.1 ปรัชญาเรือดำน้ำ : การเซ็ตบอลจากแดนหลัง

นี่คือทีมที่เป็นบอลสเปนจ๋าๆอีกทีมหนึ่ง ที่เล่นด้วยการให้บอลกันอย่างแม่นยำ และใช้การเคลื่อนที่ไปพร้อมๆกับบอลเช่นกัน เรื่องความสามารถในการต่อบอลไม่ต้องพูดถึง บียาร์เรอัลเป็นทีมที่ให้บอลกันเท้าสู่เท้าได้มีคุณภาพ และดูจะมีการเล่นที่แน่นอนซึ่งไม่ค่อยเห็นการเสียบอลกลางทางและโดนตัดสวนกลับสักเท่าไหร่ แม้หลายคนอาจจะมองว่ามันคือจุดอ่อนของพวกเขา ซึ่งก็จริง แต่โอกาสเกิดก็ยาก อย่างที่บอกไป เป็นเพราะการให้บอลที่แม่นยำ และerrorsที่จะเกิดขึ้นเองก็ยากจะมี ดังนั้นส่วนใหญ่บียาร์เรอัลจะได้ทำเกมขึ้นมาจนถึงหน้าบ้านเสมอๆ

จุดที่เด่นมากๆของรูปแบบการเล่นคือ บียาร์เรอัล เป็นทีมที่จะ "ค่อยๆเซ็ตบอลจากแดนหลัง" เหมือนยูไนเต็ดเป๊ะๆ อย่างทีเขียนไว้แล้วว่าปรัชญาของพวกเขาคือความแน่นอน ของการให้บอล ครองบอล

การเซ็ตบอลจากแดนหลังสุด คือสิ่งที่บียาร์เรอัลทำทุกครั้งที่ได้บอลตั้งจากประตูตัวเอง พวกเขาไม่รีบเร่งในการต่อบอลขึ้นหน้า และพยายามจ่ายบอลให้แน่นอนที่สุด

จุดแข็งของพวกเขาอย่างนึงคือ ความใจเย็น และความแน่นอนในการให้บอลจากแดนหลัง ซึ่งการเตะเปิดยาวขึ้นหน้าแทบจะไม่มีให้เห็น หากคู่ต่อสู้ไม่บีบจนถึงหยดสุดท้ายจริงๆ พวกเขาจะไม่เตะจุดพลุสาดยาวแน่นอน

โดยที่การเล่นแบบเน้นครองบอลนี้มีปัจจัยซัพพอร์ตอยู่ที่ กองหลังตัวขึ้นเกมของพวกเขามีทักษะการเล่นกับบอลที่ดี และทำหน้าที่เป็นตัวหลักในการออกบอล ตั้งบอลจากแดนหลังสุดของทีมได้ชัวร์มากๆจากเซ็นเตอร์แบ็คที่แฟนผีน่าจะรู้จักกันดี เพราะข่าวกับมันหนาหูเหลือเกินสำหรับ "Pau Torres" ซึ่งนี่คือกองหลังตัวเล่นกับบอลที่มีสกิลทักษะฟุตบอลดี นิ่ง ใจเย็น และออกบอลได้ชัวร์มากๆ ที่ดูๆมาแทบไม่เห็นมันจ่ายพลาดเลย

บียาร์เรอัลจึงได้ใช้ประโยชน์ตรงนี้ที่มีCBเล่นกับบอลเก่งๆอย่างน้องเปา เป็นแกนหลักในการตั้งบอลจากแดนหลังสุดขึ้นไปบุกแดนหน้า ที่แม้จะโดนเพรสซิ่งใส่ก็ดูจะรับมือได้สบาย

ความแน่นอนมากๆตรงนี้ของการตั้งบอล ครองบอลในแดนหลัง อาจจะเป็นจุดตายและสร้างปัญหาให้แมนยูไนเต็ดได้มาก หากว่าบียาร์เรอัลได้ขึ้นนำ แมนยูไนเต็ดอาจจะโดนเวทมนตร์ของโลกิในการหน่วงเวลาในสนามด้วยการ "ดึงเกมช้า" และเป็นฝ่ายครองบอลเล่นติ๊ดชึ่งดึงพื้นที่ ดึงให้เราต้องวิ่งหนักแน่นอน

อย่างดีก็คือถูกเผาเวลา แต่worst caseก็คือแมนยูมีสิทธิ์หาบอลไม่เจอ หากว่าโดนยิงก่อนและไม่สามารถชิงบอลกลับมาให้ได้โดยเร็ว มีสิทธิ์เจอบียาร์เรอัลดึงเกมช้าด้วยความแน่นอนของการครองบอลชัวร์ๆ

2.2 การทำเกมรุก : รวดเร็ว ปั่นป่วน ให้บอลแม่นยำ สอดจากมิดฟิลด์ขึ้นมายิง

วิธีการเล่นในเกมบุกของบียาร์เรอัล ก็จะคล้ายๆกับเกมรับ นั่นคือเน้นที่การให้บอล จ่ายบอลบุกที่แน่นอนและมีคุณภาพ ซึ่งตรงนี้ไม่ต้องห่วง บียาร์เรอัลบอกได้เลยว่าเป็นทีมที่เซ็ตบอลบุกกันมีคุณภาพพอสมควรในแง่ของการจ่ายบอลที่จะไม่พลาดง่ายๆ และเน้นการให้ตามช่อง และจ่ายไปที่ตัวอย่างแม่นยำ

ให้บอลแม่นอ่ะว่าง่ายๆ

โดยที่ศูนย์กลางของการคอนโทรลจังหวะเกมทั้งหมดของบียาร์เรอัลจะอยู่ที่ศูนย์บัญชาการหลักอย่าง "Dani Parejo" ผู้ซึ่งเป็นDeep-lying Playmaker มิดฟิลด์ตัวคุมเกมแนวลึกของบียาร์เรอัล ที่ทำหน้าที่เหมือนตัวควอเตอร์แบ็ควางบอลแจกจ่ายให้เพื่อนไปทำทัชดาวน์ และคอยโฮลด์บอลให้ทีมด้วยเพื่อที่จะ"ตัดสินใจเพลย์" ตรงไทม์มิ่งนั้นๆว่า จะคุมบอลไว้ข้างหลังก่อน หรือจะเริ่มตั้งบอลขึ้นแดนหน้าได้เลยถ้ามีช่อง

จุดที่เป็นตัวช่วยในการขึ้นเกมของบียาร์เรอัลที่เห็นได้ชัดมากๆก็คือ นอกจากตรงกลางจะมีมิดฟิลด์ที่ทักษะดีแล้วนั้น ตัวริมเส้นของบียาร์เรอัลนี่แหละที่จะเป็นคนสำคัญในการมารับบอลจากกลางที่ถ่ายออกซ้ายขวาอย่างแม่น เพื่อที่จะลำเลียงขึ้นหน้าได้ ถ้าไม่ใช่มิดฟิลด์ริมเส้น ก็จะเป็นแบ็คนี่แหละที่จะเติมขึ้นสูงมาช่วย โดยเฉพาะตัวเติมเยอะๆทางแบ็คซ้ายอย่าง Alfonso Pedraza นี่ละที่ทำให้การขึ้นเกมทางซ้ายดูจะผ่านฉลุยมากๆเวลาเจอคู่แข่งแทบทุกทีม เพราะทางนั้นยังมีมิดฟิลด์ตัวขับเคลื่อนเกมรุกซีกซ้ายอย่าง Manu Trigueros อีกคน

เรียกว่ามิดฟิลด์มีออฟชั่นในการจ่ายลำเลียงบอลเยอะมากจากตัวริมเส้นทั้งสี่คนจากทั้งสองฝั่ง

ความแน่นอนในการเซ็ตบอลเช่นนี้จะยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น ถ้าหากว่าบอลเคลื่อนที่กันอย่างแม่นยำแล้ว ดันเพิ่มเติมแรงคุกคามด้วยการเคลื่อนที่ตัวเปล่าแบบไม่มีบอลของนักเตะจากแนวลึก ที่วิ่งเข้าโจมตีใส่พื้นที่อันตรายอีก ซึ่งจะปั่นป่วนมากๆหากว่าคู่แข่งเจอการวิ่งของมานูเอล ตริเกรอส จะเกิดปัญหามากเพราะนักเตะค่อนข้างรวดเร็ว คล่อง และวิ่งป่วนแนวรับค่อนข้างมากเพราะไม่รู้จะสอดเข้ามาอยู่ตรงไหนในกรอบเขตโทษ และการที่เขาทำแบบนี้บ่อยๆทำให้เติมขึ้นมายิงได้บ่อยครั้งมากๆ

อาร์เซนอลน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร

ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญมากๆที่เกมรับแมนยูไนเต็ดจะต้องรับมือกับ "การเคลื่อนที่" ที่พวกมิดฟิลด์สอดมายิงให้ดีเลย เพราะอย่างวันก่อน เกมนัดสุดท้ายที่บียาร์เรอัลแพ้มาดริดไปแค่ 1-2 ประตูที่ได้ก็ได้จากการที่มิดฟิลด์อย่าง Yeremy สอดขึ้นมาในกรอบเขตโทษ(อีกแล้ว) และทำประตูจากลูกแอสซิสต์ของตัวทำเกมรุกหัวใจสำคัญอย่าง Gerard Moreno เข้าไปอย่างสวยงาม และมิดฟิลด์ตัวด้านข้างของบียาร์เรอัลทำแบบนี้กันได้ทุกคน ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา ในขณะที่ตัวทำเกมหลักอย่าง เคราร์ด โมเรโน่เองก็สามารถยิงเองได้เช่นกัน

มัวระวังแต่ตัวสอด ก็อาจเจอเจอโมเรโน่ยิงเองได้ทุกเมื่อ

ลักษณะการเล่นทั้งหมดตั้งแต่การเซ็ต รวมถึงการทำเกมบุก ยังคงเป็นการเล่นธรรมชาติเดียวกันของทีมนั่นคือเรื่องของการให้บอลตามช่อง และการ "เคลื่อนที่" มารับบอล หรือหาตำแหน่งของนักเตะบียาร์เรอัลที่ค่อนข้างน่ากลัวมากๆว่า แมนยูไนเต็ดจะไม่สามารถรับมือการโจมตีที่เข้ามาทุกทิศทางเพราะความขยัน รวมถึงความเร็วในการเคลื่อนที่เช่นนี้

2.3 เกมรับ : บาลานซ์ของคู่เซ็นเตอร์ และแนวรับสองชั้นล็อคตายหน้าเป้า

พูดถึงเกมรับบียาร์เรอัลนั้น เอาจุดแข็งก่อนก็คือ คู่เซ็นเตอร์สองคนนั้นเป็นส่วนผสมของความลงตัวระหว่าง Ball-playing Defender (กองหลังตัวเล่นกับบอล) ที่จับคู่กับตัวที่โดดเด่นด้านการเล่นเกมป้องกันที่เป็นกึ่งๆ Stopper ซึ่งเมื่อมีตัวเน้นรับคน ตัวคุมบอลคนนึง มันจึงประสานกันลงตัวดีกันตามหน้าที่ที่แตกต่างกัน

โดยที่ Pau Torres แน่นอนว่าเป็นตัวครองบอลอยู่แล้ว ด้วยความนิ่งระดับมนุษย์น้ำแข็งใต้น้ำ ด้วยเท้าซ้ายที่แน่นอน และความนิ่งในการเล่นสูง ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนถึงเรียกมันว่า "ลินเดอเลิฟเท้าซ้าย" เพราะสไตล์การเล่นเหมือนกันเป๊ะจริงๆ ต่างกันแค่เท้าถนัดแค่นั้น

ส่วนกองหลังคนที่เล่นเกมรับเก่งๆก็คือตัวเก๋าของทีมอย่าง Raúl Albiol ในวัย35ปี แต่ยังฟิต แข็งแกร่งสมบูรณ์อยู่ และเข้าแทคเกิลได้หนักหน่วงและสกัดบอลดีมาก คือดูเห็นก็ชัดเจนว่าเกมรับแน่นจริง

สองคนนี้จึงส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ดีมากๆ

ส่วนวิธีการยืนตำแหน่งในเกมรับของบียาร์เรอัลนั้น พวกเขาจะยืนตั้ง "แนวรับสองชั้น" ที่เหมือนกำแพงซ้อนกำแพงอีกทีนึง โดยที่ลักษณะเด่นของการยืนเกมรับบียาร์เรอัลคือ ระยะห่างระหว่าง Midfield Line กับ Defensive Line

พูดถึงการยืนของ Defensive Line ก่อนซึ่งเป็นหลักสำคัญของเกมรับ หากใครที่ทราบคงจะรู้ดีว่าไลน์กองหลังจะเป็นตัวกำหนดว่า พื้นที่เกมรับของทีมจะเล่นกันยังไง และห่างประมาณไหน ซึ่งไลน์ของบียาร์เรอัลเท่าที่สังเกตก็ถือว่าเป็นแผงหลังที่ "ไม่ยืนสูง" สักเท่าไหร่ (ยืนลึกนั่นแหละ)

ดังนั้นพื้นที่ด้านหลังกองหลังก็มีค่อนข้างน้อย เวลาที่พวกเขาลงไปเซ็ตเกมรับกันได้ทันตามปกติ

แต่ไลน์ของมิดฟิลด์จะลงมายืนต่ำมากๆจนเกือบจะชิดกับ Defensive Line ลักษณะมันจึงเป็นกำแพงสองชั้นที่ ระยะห่างระหว่างกำแพง (distance between line) จะค่อนข้างน้อยมากๆ ยืนแพ็คกันค่อนข้างชิด

ความชิดตรงนี้สร้างข้อดีก็คือ ปิดผนึกพื้นที่อันตรายทั้งหมดที่จะเข้ามาอยู่แถวๆในกรอบเขตโทษ หรือรอบๆเขตโทษ ซึ่งเป็นจุดตายที่คู่แข่งมักจะส่งคนมาป้วนเปี้ยนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกองหน้าดรอปต่ำ หรือกลางรุกเติมสูง รวมถึงพวก Inside Forward เวลาตัดเข้ากลางมา ก็มักจะมาเจอพื้นที่ตรงนี้แหละ

เวรกรรม เขียนไปเขียนมาเริ่มกลัวเอง เพราะนั่นมันพื้นที่การเล่นหลักของทีมกูเลยนี่หว่า!

(มีทั้งบรูโน่ ทั้งปีกสองข้างอย่างแรชชี่ กับ กรีนวู้ด ที่ตัดเข้ากลางมาเล่นในบริเวณนี้)

ลักษณะของการตั้งกำแพงแนวรับสองชั้นที่ชิดกันขนาดนี้จะส่งผลลัพธ์แน่ๆอย่างนึงก็คือ "กองหน้าตัวเป้า" ที่ยืนอยู่ระนาบเดียวกับแผงกองหลังพวกเขาก็จะถูกบีบพื้นที่ให้เหลือแคบลงมากๆ (เพราะช่องว่างระหว่างแผงเหลือน้อย)

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเกมรอบชิงก็คือ อาจจะเป็นอีกเกมที่ เอดินสัน คาวานี่ น่าจะโดนขนาบและโดนปิดผนึกเหมือน "ขังคุก" คล้ายๆตอนเจอแนวรับสองชั้นของไบรจ์ตันในเกมพรีเมียร์ลีก

คาวานี่มีสิทธิ์ที่จะกระดิกได้ยาก และเขาอาจจะต้องเสียสละในการยอมโดนขังอยู่แบบนั้น เพื่อที่จะดึงตัวประกบให้ติดตัวเขาเอาไว้ ซึ่งจะเป็นช่องทำให้ตัวรุกคนอื่นๆได้เข้าทำแทน หากว่าใครจำทฤษฎีที่Lex Luthor ส่งตัวหลอกให้ติดในคุกเพื่อล่อผู้คุมไว้ แล้วโจมตีจากข้างนอกแทน วันนั้นอาจจะเป็นแบบนั้นอีกครั้ง

2.4 ด้านอื่นๆ (การเพรสซิ่ง)

คำถามที่แฟนแมนยูน่าจะสนใจก็คือ บียาร์เรอัลเล่นเพรสซิ่งหรือไม่ เผื่อทีมเราเจอเล่นงานจนขึ้นเกมลำบากอีก

คำตอบก็คือ เล่น แต่ไม่ถึงกับน่ากลัวมาก ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับเลเวลหนักๆที่เราเคยเจอในลีกอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล มันไม่มีทีมอื่นหนักกว่าสองทีมนี้อีกแล้ว ซึ่งยูไนเต็ดผ่านจุดที่โดนลิเวอร์พูลกดมาแล้ว หากความเข้มข้นในการเล่นไม่เท่า และคุณภาพไม่พอ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจอะไร

นักเตะที่มีปริมาณของการเพรสซิ่งแบบโดดมากจริงๆในทีม มีสองคนซึ่งเป็นมิดฟิลด์ทั้งคู่ นั่นคือ ดานี่ ปาเรโฆ กับ มานู ตริเกรอส สองคนนี้ ซึ่งรายหลังนี้คือนักเตะที่มีปริมาณการวิ่งพล่านในสนามสูงอยู่แล้ว ทั้งสองคนมีปริมาณการเข้าบีบคู่แข่งดังนี้

ปาเรโฆ ปริมาณการเพรส 673 ครั้ง เพรสสำเร็จ 29.7% 

ตริเกรอส ปริมาณการเพรส 594 เพรสสำเร็จ 22.9%

แต่นอกนั้นนักเตะคนอื่นๆปริมาณการเพรสไม่มีใครใกล้เคียงสองคนนี้เลย ตัวอันดับสามคือ Moi Gomez ก็เพรสแค่372ครั้ง นอกนั้นก็แค่ 100-200 กว่าครั้ง ซึ่งมันแกว่งมากๆ จะเห็นชัดเจนว่าปริมาณการเล่นเพรสซิ่งไม่สัมพันธ์กัน

ดังนั้นถ้าให้สรุปคือเรื่องเพรสอาจจะเจอบ้างแต่ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวมากในการโดนเพรสสูง เพราะถ้าอูไนจะรู้ดีว่าแนวรุกแมนยูไนเต็ดเร็วขนาดไหน เขาจะไม่กล้าดันสูงใส่เราเยอะแน่นอน ในยามที่กองหลังสปีดไม่ทันตัวรุกแมนยูแล้ว

3.นักเตะบียาร์เรอัลตัวสำคัญๆที่น่าสนใจ

ต้องบอกว่าน่าสนใจทั้งทีม แต่ลองมาเจาะดูทีละคนๆ โดยเฉพาะตัวที่น่าจะเป็นตัวจริงลงสนามในวันพรุ่งนี้ จะเป็นยังไงบ้าง ต้องบอกว่า มีทั้งคนที่น่ากลัวมากๆ และตัวที่ดูธรรมดาๆรวมอยู่ด้วยกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บอลของบียาร์เรอัลมันเป็นบอลระบบที่เน้นทีมเวิร์ค ดังนั้น "ความสามารถเฉพาะตัว" ของนักเตะแต่ละคนอาจจะไม่เด่นมาก

แต่พอมันมารวมกันเป็นทีมเดียว มันโคตรโหด จุดนี้ต่างหากที่อันตราย

ผู้รักษาประตู : Gerónimo Rulli

สำหรับเจโร รูลลี่นั้นเป็นโกลที่มีทั้งข้อดีและจุดอ่อนอยู่ในตัว ข้อดีของโกลรายนี้คือยืนตำแหน่งดีมากเท่าที่เห็นคือขยับตำแหน่งในการเล่นเพื่อรอการโจมตีได้ดี ทำให้ไม่ต้องออกแรงมากนัก เพราะยืนตำแหน่งที่ดีอยู่แล้ว นอกจากนี้ที่น่ากลัวก็คือ การป้องกันแบบ "1 on 1" หรือลูกหลุดเดี่ยวมาดวลกับโกล ไอ้ตัวนี้ก็ปิดมุมและดวลกับกองหน้าเก่งมาก

ที่สำคัญที่สุดโกลจากลาลีกามักจะมีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็คือ "Reflex" หรือปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็ว คล่องแคล่ว คือจุดเด่นสุดๆของโกลรายนี้ ดังนั้นหากแมนยูไนเต็ดคิดจะใช้เกมcounter-attack ที่จะหลุดขึ้นหน้ามายิง ก็ต้องยิงให้ชัวร์จริงๆ เพราะโกลรายนี้เด่นด้านการดวลตัวๆกับกองหน้า

แต่ปัญหาของรูลลี่ก็มี นั่นก็คือจุดอ่อนในเรื่องของ Handling ที่ยังไม่เด่นเท่ารีเฟล็กซ์ กล่าวคือ ไม่ถึงกับแย่ แต่สังเกตหลายทีแล้วว่า รูลลี่มักจะ "ซองแตก" และรับบอลไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่มักจะกระฉอก หรือปลิ้นให้เห็นอยู่บ้าง นอกจากนี้ก็คือ การตัดลูกโด่งไม่เชี่ยวชาญเท่าไหร่ ถ้าเปิดโยนๆยัดๆไปอาจมีลุ้นก็ได้

แบ็คซ้าย : Alfonso Pedraza

ตัวนี้บอกเลยว่า ไอ้หมอนี่คือแบ็คซ้ายที่ตะบี้ตะบันเติมสุดเส้นแบบลุค ชอว์เลย เติมสูงขนาดที่ขึ้นมาเล่นสุดเส้นได้ในพื้นที่ของ Winger ได้สบายๆเหมือนเป็นปีกอีกคนนึง

เป็นแบ็คสไตล์สเปนที่มีทักษะความคล่องแคล่วสูง แต่ร่างกายสูงใหญ่มากๆ นี่เป็นหนึ่งในตัวขึ้นเกมที่น่ากลัวของบียาร์เรอัล หากว่าตัดรางรถไฟของเปดราซ่าได้ด้วยการให้ปีกขวาเราเข้าเพรสเร็วติดตัว เพื่อไม่ให้ขึ้นเกมง่ายๆ จะทำให้เกมรุกของบียาร์เรอัลช้าลงพอประมาณ

แต่ในจุดแข็งของการเติมเกมก็ทำให้มีจุดอ่อนเหมือนกันหากว่าเติมสูงบ่อยๆ พื้นที่ริมเส้นด้านหลังจะเปิดโล่งทันที ซึ่งนี่คือหนึ่งในจุดอ่อนที่แมนยูน่าจะเจาะบียาร์เรอัลได้จากตำแหน่งริมเส้น

ได้อย่างเสียอย่าง

แบ็คขวา : Mario Gaspar

หากว่าลงสนาม หมอนี่คือ "กัปตันเรือดำน้ำ" ผู้ทำตัวเหมือนเตาเผาเชื้อเพลิงของเรือดำน้ำเลยทีเดียว โดยที่จุดเด่นของมาริโอ กาสปาร์คือ ความทุ่มเท ความมุ่งมั่นในการเล่นที่สูงมากๆ (ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคนแบบนี้ถึงเป็นกัปตันทีม ใจมาเต็มจริงๆ) ตรงนี้คือจุดที่จะเรียกความฮึกเหิมให้นักเตะบียาร์เรอัลในสนามสุดๆ

เป็นงานยากสำหรับตัวรุกฝั่งซ้ายของทีมเราในการจะเจาะ เพราะถ้าให้เทียบกัน ผมรู้สึกว่า "ซีกขวา" ของบียาร์เรอัล เป็นพื้นที่ที่เกมรับหนาแน่น และแข็งแกร่งกว่าทางซ้ายเยอะ เพราะแบ็คขวาของพวกเขาก็เด่นเกมรับมากกว่าเกมรุก

แต่ถึงเวลาที่เติมเกมสูง มาริโอ กาสปาร์ก็ขึ้นไปมีส่วนร่วมกับเกมรุกได้ดี

เซ็นเตอร์ตัวขวา : Raúl Albiol

นี่คือนิยามของเซ็นเตอร์ตัวเก๋าแต่ยังแข็งแกร่งอยู่จริงๆ สำหรับอัลบิโอลในวัย35ปี ชายผู้ซึ่งรับผิดชอบการสกัดบอลในพื้นที่สุดท้ายได้อย่างแข็งแกร่งให้กับบียาร์เรอัลเสมอ ด้วยความโดดเด่นมากๆในการสกัดบอลจังหวะสุดท้าย และความแข็งแกร่งของร่างกายในลักษณะของการเล่นด้วยความเป็นสต็อปเปอร์มากกว่าคู่หูอีกคนนึงอย่างเปา ตอเรส

จุดแข็งของอัลบิโอล แน่นอนคือเรื่องของการ "แทคเกิล" หรือปะทะถึงตัวด้วยร่างกายกับคู่แข่ง ซึ่งโอกาสแทคเกิลชนะ (tackles won)ในเกมลีกสูงถึง 72.41% (29 ชนะ 21) จังหวะเข้าปะทะส่วนใหญ่จะชนะ แปลว่าแข็งจริงตามที่เห็นในสนาม

เปอร์เซ็นต์การจ่ายบอลสำเร็จสูงถึง 89.4  วางบอลยาวสำเร็จ 81.2% ถือว่าสูงมากๆ และก็ตรงกับปรัชญาการเล่นของทีมดี ด้วยทางบอล ทักษะของตัวเก๋า ไม่น่าแปลกใจ

แต่ในนั้นก็ต้องมีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน และจุดที่น่าจะใช้โจมตีใส่อัลบิโอลได้ก็น่าจะเป็นความเร็ว เพราะมีเปอร์เซ็นต์แทคเกิลสำเร็จใส่ตัวที่เลี้ยงบอลผ่านเพียงแค่ 50% และความเร็วน่าจะสู้ตัวรุกวัยรุ่นของเราไม่ได้ ในขณะที่ลูกโด่งขึ้นโหม่งชนะในสถิติAerial Won แค่58%เท่านั้นเอง ถือว่าน้อยมากๆ

เซ็นเตอร์ตัวซ้าย : Pau Torres

นี่คือกองหลังที่มีข่าวกับเราหนาหูมากอยู่เรื่อยๆ และผู้เขียนก็มีเซนส์อะไรบางอย่างที่รู้สึกว่า เดี๋ยวไปๆมาๆ หวยมันจะต้องออกที่ตัวนี้แน่ๆเลย ซึ่งบอกตามตรงว่า ไม่อยากได้สักเท่าไหร่

เปา ตอเรส ในนิยามของแฟนผีผมว่าใช้ได้เลย นั่นก็คือ นี่เป็น "ลินเดอเลิฟเท้าซ้าย" อย่างแท้จริงเมื่อเขาคือกองหลังเซ็นเตอร์แบ็คสาย Ball-playing ที่ถนัดในเรื่องการครองบอล ออกบอลที่แน่นอน และเซ็ตเกมจากแดนหลัง

เนื่องด้วยสกิลการเล่นกับบอลสูงมาก บางที เปา ตอเรส จะวิ่งเติมขึ้นมาทำเกมบุกกับลูกบอลด้วยตัวเองจนถึงในกรอบเลยอย่างที่คนดูน่าจะงงว่า นี่แน่ใจนะว่าเป็นเซ็นเตอร์ เพราะเติมสูงยังกะตัวเองเป็น "แบ็คซ้าย" ซึ่งนี่คือไม้เด็ดอย่างนึงของเปาที่สามารถเติมเกมรุกให้ทีมได้อีกตัวนึง

จุดเด่นเรื่องการจ่ายบอลก็ถือว่าสูงตามคาด เมื่อโอกาสจ่ายบอลสำเร็จอยู่ที่ 89.2% แม่นพอๆกับอัลบิโอล ในขณะที่ลูกวางยาวเกิน30หลาก็สำเร็จอยู่ที่ 77.1 ในฤดูกาลนี้ ซึ่งตัวเลขนี้ก็ถือว่าสูงมากแล้วเช่นกัน

วัดกันง่ายๆ วางบอลยาวแม่นกว่าลินเดอเลิฟพอสมควร เพราะไอ้เลิฟที่ดูเหมือนว่าวางยาวแม่นๆนั้น โอกาสสำเร็จอยู่แค่72.3% ซึ่งเอาจริงๆก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แต่เปาแม่นกว่าเยอะมาก เพราะว่าสถิติตรงนี้เลิฟวางบอลน้อยกว่าด้วยซ้ำที่264ครั้ง แต่เปาวางยาว 503ครั้ง ซึ่งเยอะกว่าครึ่งนึงเลย แต่เปอร์เซ็นต์กลับสูงกว่า ยิ่งสะท้อนอะไรได้ดีว่าหมอนี่วางบอลยาวได้เก่งมากๆ

(แต่โอกาสจ่ายบอลสำเร็จโดยรวม เลิฟยังดีกว่านิดหน่อย อยู่ที่91.1%)

ในด้านเกมรับของเปา ตอเรสนั้น tackle won อยู่ที่ 58.8% ถือว่าโอกาสสำเร็จต่ำมาก แทคเกิลแย่มากจริงๆ -.,- เปรียบเทียบกับลินเดอเลิฟยังจะแทคเกิลดีกว่า ซึ่งอยู่ที่ 61.5%

ที่แย่จัดๆคือการเข้าสกัดตัวที่พยายามจะเลี้ยงผ่าน เปาสกัดสำเร็จแค่ 33.3% แต่ลินเดอเลิฟดูจะดีกว่าสองคนนี้เยอะ ที่57.1%

พูดง่ายๆก็คือ เปา ตอเรส นอกจากจะเข้าปะทะสำเร็จน้อยแล้ว ยังมีโอกาสเป็นกรวยให้คู่แข่งเลี้ยงผ่านหนักกว่าลินเดอเลิฟซะอีก ซึ่งไม่ต้องพูดถึงลูกกลางอากาศที่ดูเหมือนจะสูง แต่แรงจัมพ์และหลักในการโหม่งไม่ค่อยมีเท่าไหร่ โดยลูกโหม่งของเปาโอกาสชนะ (Aerial Won) มีแค่ 60.6% เท่านั้นเอง เทียบกับตัวที่ว่าโหม่งไม่เก่งอย่างเจ้าเลิฟของเรา เลิฟชนะขาดที่ 65.7%

สรุปเลยนะว่า พูดตรงๆก็คือ ซื้อเข้ามาคุณก็จะเหมือนกับได้ "ลินเดอเลิฟเท้าซ้าย" เข้ามาเท่านั้นเอง ซึ่งจุดเดียวที่ดีกว่าก็คือวางบอลยาวโหดกว่า และแม่นกว่า

แต่สกิลเกมรับ แพ้ลินเดอเลิฟขาดทุกทางยิ่งกว่าพี่เอกราชซะอีก ดังนั้นไม่ต้องคิดจะไปเทียบตัวเทพอย่างแมกไกวร์เลย

เกมรับแย่ขนาดหนัก ถ้าจะเจาะบียาร์เรอัล ต้องเจาะเปานี่แหละ!

โฮลดิ้งมิดฟิลด์ : Dani Parejo

ตัวนี้แหละคือผู้บัญชาการหลังฉากในเกมรุกของบียาร์เรอัล ที่คอนโทรลเกม เชื่อมต่อ และแจกจ่ายบอลไปยังจุดต่างๆ หากมีโอกาสก็สามารถวางบอล และโจมตีจากวงนอกได้ แต่จะไม่เติมเข้ากรอบเยอะเท่ามิดฟิลด์ตัวอื่นๆของทีม เพราะจะขึงอยู่วงนอกเป็นหลัก

ดานี่ ปาเรโฆ่ เป็นDLPที่นิ่ง และเยือกเย็นมากๆ ที่สำคัญเขาเป็นตัวเล่นลูกฟรีคิก และเซ็ตพีซหลักของบียาร์เรอัลด้วย ซึ่งสกิลในการวางบอลอันแม่นยำ คืออาวุธสำคัญของบียาร์เรอัลในเกมรุกมากๆ

หากว่านักเตะเกมรุกของเราในวันแข่งขยันๆหน่อย ก็อยากให้ไปไล่บีบไอ้ตัวนี้ไม่ให้เล่นได้ง่ายๆ ซึ่งจุดตรงนั้นคือพื้นที่ของพี่หนวดบรูโน่เลย ดังนั้นถ้าชะลอปาเรโฆ่ได้ เกมของบียาร์เรอัลจะช้าลงหลายจังหวะ

จุดอ่อนของปาเรโฆก็น่าจะเป็นเรื่องของสปีดและเกมรับ ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่ทำให้อูไน เอเมรี่ ต้องส่ง "องครักษ์" ลงมาคุ้มกันปาเรโฆ่ในทุกๆเกมที่ลงสนาม

มิดฟิลด์ตัวรับ : Étienne Capoue

ค่อนข้างเชื่อว่า องครักษ์ปาเรโฆในเกมเจอแมนยูไนเต็ด น่าจะเป็น "เอเตียง กาปู" มิดฟิลด์เชิงรับที่เล่นซัพพอร์ตเกมของปาเรโฆในฐานะลูกหาบของDLPรายนี้ ซึ่งกาปูนอกจากจะเล่นเกมรับให้ทีมแล้ว เขายังคอยรับบอลช่วยงานจากปาเรโฆด้วยในฐานะของมิดฟิลด์ตัว Shuttler หรือ "มิดฟิลด์ลูกหาบ" ที่วิ่งพล่านในแดนกลาง แบบเดียวกับที่เฟร็ดทำ

แต่เป็น Shuttlerที่แข็งแกร่ง ดุดันกว่าเฟร็ดสองสามเท่า อย่างที่รู้กันแล้วว่า กาปูคืออดีตนักเตะในพรีเมียร์ลีกนั่นเอง เพราะเล่นให้ทั้งวัตฟอร์ดและสเปอร์ส มาก่อน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของ อูไนด้วย หากว่าเขากังวลกับเกมรุกของบรูโน่ ก็มีสิทธิ์ที่จะส่ง "ตัวทำลายล้าง" อย่าง Francis Coquelin อดีตเด็กเก่าของอาร์เซนอล ที่เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวตัดเกมนั้น ลงมาจับตายปิดผนึกบรูโน่ก็อาจจะเป็นได้ หากว่าอูไนจะระวังตรงนี้เขาจะใช้โกเกอแลง ลงสนามมา ซึ่งเหมือนกับการได้มิดฟิลด์ตัวที่ปิดพื้นที่ระหว่าง แผงมิดฟิลด์ กับ แผงกองหลังได้ด้วย เพราะจะยืนรับต่ำมากกว่า

มิดฟิลด์ฝั่งซ้าย : Manu Trigueros

นี่คือ "ตัวอันตราย" ของบียาร์เรอัลที่สุดในสายตาผู้เขียน เพราะเรารู้กันอยู่แล้วว่า ตัวรุกหลักของบียาร์เรอัลคือใครที่เป็นหัวหอกทำเกมรุกหลัก แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ "สิ่งที่เราไม่รู้" ต่างหากว่า จะโดนโจมตีจากจุดไหน หรือจะทำอะไรจากจุดไหน

ซึ่งตริเกรอส คือตัวป่วนของบียาร์เรอัลที่เราคาดเดาไม่ได้

ในแผน 4-3-3 ตริเกรอสลงมิดฟิลด์ตัวกลางได้ ในขณะที่แผน 4-4-2 เขาจะเล่นเป็นมิดฟิลด์ด้านข้างตัวฝั่งซ้ายในตำแหน่ง LM

จุดเด่นของตริเกรอสหลักๆคือ ความเร็ว ความคล่องตัว และการเคลื่อนที่ตลอดเวลาที่มักจะหาตำแหน่งดีๆให้ตัวเองในการเข้ามายืนกดดันตำแหน่งกับแนวรับแมนยู และจะหาจุดโจมตีอยู่เสมอ ซึ่งจับทางได้ยากมาก เพราะไม่รู้ว่าพี่แกจะสอดขึ้นมาจากแผงมิดฟิลด์เมื่อไหร่

มิดฟิลด์ฝั่งขวา : Yeremy (Pino)

ผู้ทำประตูคนสุดท้ายของพวกเขาก่อนจะมาเจอกับแมนยู เป็นคนกดประตูใส่เรอัลมาดริดด้วยการ สอดจากแถวสองเข้ามาในกรอบเขตโทษ และรับบอลต่อจากโมเรโน่ยิงเข้าไปอย่างเฉียบขาด ต้องบอกว่านี่เป็นมวยแทนจริงๆ เพราะโชคดีว่า ตัวสำคัญในเกมรุกด้านปีกขวาของบียาร์เรอัลอย่าง "Samuel Chukwueze" นั้นมีอาการบาดเจ็บ ซึ่งน่าจะหายไม่ทัน ดังนั้นเยเรมี่น่าจะลงสนามทางฝั่ง RM ของทีมอย่างแน่นอน

เรื่องนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนเชิงแทคติกพอควร เพราะเยเรมี่นั้นเป็นตัวที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในกราบขวา ตั้งแต่หลังยันหน้า จากวิงแบ็คสู่ปีกขวาด้านบน เล่นได้หมด สิ่งที่น่ากลัวคือ ลูกครอสของเยเรมี่ ที่จะเปิดใส่เราได้

กลับกัน หากว่า ซามูเอล ชุควุยเซ่ ลงสนาม การเล่นเกมรุกด้านขวาจะกลายเป็นอีกแบบเลย เพราะ ชุควุยเซ่ เป็นปีกขวาในลักษณะของ Inside Forward ที่ถนัดเท้าซ้าย และจะเล่นด้วยการ "ลากเลื้อยบอลจี้ใส่แนวรับคู่แข่ง" และมักจะตัดเข้ากลางหาโอกาสยิงหรือจ่ายในกรอบเขตโทษ

เรื่องตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ เพราะว่าประการแรกคือ ชุควุยเซ่ เป็นตัวรุกที่ทำเกมบุกได้ดูน่ากลัวที่สุดในบรรดาตัวรุกบียาร์เรอัลเลย ที่การเล่นดูอันตรายและวูบวาบที่สุดแล้ว ถือเป็นตัวรุกที่แตกต่างที่สุดในทีมบียาร์เรอัล เพราะอย่างที่บอกว่าทีมนี้เน้นทีมเวิร์คเป็นหลัก แต่ชุควุยเซ่ เป็นตัวที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการลากเลื้อยจริงๆ

แต่แม้จะอันตราย แต่ชุควุยเซ่ก็มีจุดอ่อนตรงที่ดูเหมือนจะเป็น Inside Forwardขวาในลักษณะของการเล่นได้เพียงแค่ "Left Only" เท่านั้น กล่าวคือ เขาเล่นได้แต่เท้าซ้าย และการลากเลื้อยมีมิติเดียวคือ พยายามจะตัดเข้ากลางอย่างเดียว แต่ไม่ไปสุดเส้น เพราะเท้าขวาไม่ถนัด ทำให้เขาสามารถดักสกัดได้

ลักษณะของปีกตัดเข้าใน คือ "ของหวาน" ของลุค ชอว์ ประหนึ่งคู่แข่งเลือกแครี่ตัวบางขาตายอย่าง ยอร์น ลงสนามมาเป็นขนมหวานของแอสซาซินทั้งเกมROV แต่โชคร้ายคือ ชุควุยเซ่เจ็บ ทำให้ปีกขวาน่าจะเป็นโอกาสของเยเรมี่ ซึ่งเป็นสายเปิดมากกว่าลงสนามมา

ถ้าใครจะทราบ ลุค ชอว์มีปัญหาเรื่องนึงคือ มักจะทิ้งระยะห่างคู่แข่งฝั่งซ้ายริมเส้นอยู่บ่อยๆ และมักโดนเปิดบอลข้ามมาเสาไกลเป็นประจำ ซึ่งเสาไกลทางฝั่งขวาของเราคือ ลินเดอเลิฟ + วานบิสซาก้า คอมโบแห่งความบรรลัยที่มักจะมีปัญหาการกั๊ก การปล่อยตัวประกบหลุดmarkingอยู่บ่อยๆ

ถ้าฝั่งชอว์โดนครอสเยอะๆ ค่อนข้างอันตราย เพราะชอว์ปิดลูกครอสได้ไม่ดีเลย

ตัวรุกหน้าต่ำ : Gerard Moreno

หมอนี่เหมือนเป็นนักเตะที่หลุดมาจากที่ไหนไม่รู้ แต่เหมือนไม่ใช่นักเตะทีมเดียวกับบียาร์เรอัล เพราะว่าเคราร์ด โมเรโน่ เป็นผู้ที่แบกบียาร์เรอัลอยู่คนเดียวจริงๆ กับสถิติ 29ประตู 11แอสซิสต์ในทุกรายการ ถือว่าเป็นสกอร์ที่โหดมากๆสำหรับนักเตะคนนึง ซึ่งคนอื่นๆในทีมเรือดำน้ำสีเหลืองนั้นไม่มีใครทำได้ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย

ตัวที่ใกล้ที่สุดคือ Paco Alcácer ที่ยิงไป 12ประตู 5แอสซิสต์เท่านั้น นอกนั้นคนอื่นๆแทบไม่มีสกอร์เลยในทีม

ให้เปรียบเทียบก็คือ โมเรโน่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของแนวรุกบียาร์เรอัล ซึ่งต้องยอมรับว่าสถิติเขาโหดและอลังการจริงๆ

ตำแหน่งการเล่นของMorenoนั้น เล่นได้สองแบบ นั่นก็คือ กองหน้าในลักษณะของหน้าต่ำแบบ Second Striker และอีกอย่างนึงก็คือการเป็นตัวรุกเพลย์เมคเกอร์ให้กับทีม

จุดที่น่ากลัวสำหรับโมเรโน่จริงๆคือการจบสกอร์ แต่ในด้านความสามารถในการทำเกม ผู้เขียนดูแล้วยังเป็นรองตัวรุกของทีมที่เราผ่านมาได้ทีมอื่นๆ อย่างเช่นโรม่าอยู่ เพราะการทำเกมดูจะไม่คมเท่ากับการยิงเอง ผมรู้สึกว่า ลอเรนโซ่ เปเญกรินี่ กับ มคิทาร์ยาน ของโรม่า ยังทำเกมรุกได้คมกริบ และอันตรายกว่าการเล่นของโมเรโน่พอสมควรในด้านการครีเอทจังหวะยิง (Shot Creating Actions)

แต่จะพูดว่าเป็นจุดอ่อนก็คงไม่ได้อีกเหมือนกัน เราแค่บอกว่า เปเญ กับ มิคกี้ดูจ่ายคมกว่า แต่โมเรโน่ก็เพิ่งจะแอสซิสต์ใส่เรอัลมาดริดซะด้วย

วิธีรับมือก็มีอยู่ นั่นก็คือหากว่ากันให้โมเรโน่ออกห่างจากปากประตูได้ ทีมจะปลอดภัยมาก เพราะจะไม่มีคนยิง รวมถึงไม่มีคนทำเกมต่อให้ตัวสอดในกรอบเขตโทษได้อีกด้วย แต่ปกติการยืนของโมเรโน่ จะยืนเป็นกองหน้าตัวที่อยู่ด้านบนสุดของแนวรุกบียาร์เรอัลบ่อยๆ ดังนั้นถ้ามีตัวตามประกบโมเรโน่ตลอดเวลาจะดีมาก ไบญี่หรือเฟร็ดอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญว่าจะหยุดเกมรุกบียาร์เรอัลได้ไหม หากปิดผนึกได้ ก็มีโอกาสหยุดเกมรุกเรือดำน้ำสูง

กองหน้าตัวเป้า : Paco Alcácer

หลายคนอาจจะงงว่า ทำไมเราถึงเลือก ปาโก้ อัลคาเซร์ ในการนำมาวิเคราะห์ว่าบียาร์เรอัลน่าจะส่งลงสนาม ทำไมไม่ใช่กองหน้าอีกคนนึงอย่าง Carlos Bacca ตัวที่เคยมีข่าวกับเราเมื่อนานมาแล้ว

สาเหตุคือเรื่องแทคติกล้วนๆ ที่อูไน น่าจะใส่ตัวรุก "สายสปีด" หนึ่งเดียวของทีมเอาไว้ค้ำในแดนหน้า ด้วยมิติการเป็น Poacher ของปาโก้ อัลคาเซร์ น่าจะใช้เล่นงานยูไนเต็ดได้ในจังหวะสวนกลับ ที่อย่างน้อยๆแทคติกเกมทั่วไป ก็ควรจะส่งตัวเผื่อสวนกลับได้ ติดไว้ในสนามด้วย

แมนยูไนเต็ดเป็นทีมที่เน้นครองบอลลำเลียงขึ้นมาบุก ซึ่งเมื่อลำเลียงขึ้นมาได้ มันจำเป็นต้องใช้กองหลังในการอยู่ในส่วนหนึ่งของpossession chain เพื่อที่จะทำเกมไปยิงประตูได้ ดังนั้นเมื่อครองบอลบุกได้ กองหลังของแมนยูไนเต็ดก็ต้องตามขึ้นมาเล่นด้วยในระบบการครองบอล

และนั่นน่าจะทำให้พื้นที่ด้านหลังเปิด จึงควรอย่างยิ่งที่จะใส่ตัวรอเล่นcounter-attackเอาไว้สักคนนึง ซึ่งกองหน้าตัวจี๊ดที่เล่นด้วยการชิงจังหวะกับกองหลังอย่างอัลคาเซร์ เหมาะมากในการส่งลงมาค้ำกองหลังเราไว้

แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยอันตรายเลยในจังหวะการทำเกมขึ้นมาบุก แต่ก็เอาไว้ติดปลายนวมขู่สวนกลับได้ตลอดเวลา อันจะเป็นการกดแนวรับให้แมนยูไม่กล้าขึ้นสูงมากด้วย ท่ามกลางช่วงเวลาที่แมกไกวร์ไม่อยู่เช่นนี้

แน่นอนว่า กองหน้าตัวนี้ไม่ใช่คนทำสกอร์หลักของพวกเขา ไม่ต้องห่วงเรื่องการโจมตีโดยตรงมาก ไปห่วงจับตัวประกบอื่นๆเถอะ โดยเฉพาะ โมเรโน่ กับ ตริเกรอส สองคนนี้แหละอันตรายจริง

ดังนั้นจากข้อมูลทั้งหมด คาดเดา 11ตัวจริง ของบียาร์เรอัลในรอบชิงน่าจะเป็นดังนี้ในแผน 4-4-2

"แผนพิฆาตโลกิ"

แทคติกการเล่นในสนามจริงของบียาร์เรอัลนั้น เป็นอะไรที่เห็นได้ชัดมากๆ อย่างที่เขียนไว้ด้านบนทั้งหมด ลองมาดูของจริงในสนามกันดูว่า การเล่นของบียาร์เรอัลมีจุดน่าสนใจอะไรบ้าง และอะไรคือ จุดตาย ที่จะสามารถเจาะพวกเขาได้

อะไรคือแผนในการเอาชนะกองทัพเรือดำน้ำอหังการของเทพเจ้าแห่งการหลอกลวงอย่าง "โลกิ" อูไน เอเมรี่ได้

ตามภาพแทคติกเหล่านี้

ข้างบนนี้ให้ดูถึงการเซ็ตแนวรับของบียาร์เรอัล ที่ปกติก็จะยืนกันแบบนี้จริงๆ คือการใช้กำแพงสองชั้นที่ยืนชิดกัน โดยมีระยะห่างระหว่างไลน์เกมรับ กับ ไลน์มิดฟิลด์ ค่อนข้างที่จะแคบมาก (ลูกศรสีแดง)

การแพ็คเช่นนี้จะป้องกันพื้นที่อันตรายที่เป็นจุดโจมตีทั่วไปได้แน่นมากๆ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆบริเวณรอบๆกรอบเขตโทษนั่นคือพื้นที่ทำการของ แรช ป็อก บรูโน่ และ กรีนวู้ดเลยที่สำคัญ

ส่วนเอดินสัน คาวานี่เหรอ? เกมนี้หากว่าแมนยูครองเกมมาบุก เขาก็จะต้องตกอยู่ใน "คุกอนันตกาล" (Endless Prison) เหมือนตอนที่เจอเซ็นเตอร์ไบรจ์ตันประกบ แล้วด้านหน้าเจอขนาบด้วยกลางอีกสองคน โดยมีตัวรับอย่างบิสซูม่าเหมือนเป็นผู้คุมที่ถือกุญแจห้องขังเอาไว้ เกมนี้ก็อาจจะเป็นกาปู หรือ โกเกอแลง

คาวานี่จะอยู่ใสภาพเดียวกับตัวที่วงกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลืองในรูปนั่นแหละ คือสถานการณ์ของเขาที่จะต้องเจอในวันพรุ่งนี้

ภาพนี้ให้ดูการเติมเกมของกองหลังบียาร์รีล ซึ่งนั่นไม่ใช่แบ็คอย่างเปดราซ่าด้วย ในภาพคือ เปา ตอเรส ที่เติมสูงขึ้นมาเล่นเกมรุกใส่กรอบเขตโทษของคู่แข่งยังกะตัวเองเป็นวิงแบ็ค

ถือว่าเป็นการเล่นที่บ้าระห่ำมากในเกมรุก แต่ก็สังเกตอะไรได้หลายอย่างว่า ตัวรับทางซ้ายของบียาร์เรอัล มีการทำเกมรุกสูงมากๆ ทั้งเปดราซ่า และ เปา ตอเรส

ในขณะที่ กองหลังฝั่งซีกขวาของพวกเขา เกมรุกไม่ดีเท่า แต่เกมรับดีกว่า โดยเฉพาะอัลบิโอลที่สกัดบอลขาดที่สุดในแผงหลังแล้ว รวมกับกัปตันทีมจอมดีเดือดอย่างมาริโอ กาสปาร์อีก เกมรับฝั่งขวาบียาร์เรอัลแข็งโป๊กจริงๆ

จุดตรงนี้จึงเป็นเหมือนจุดอ่อนของ "เกราะคุ้มกันโลกิ" ที่กองหลังซีกซ้ายสองคน (เซ็นเตอร์ตัวซ้าย + แบ็คซ้าย) เกมรับไม่เด่นอย่างแรง ดังนั้นถ้าจะเจาะบียาร์เรอัลได้ง่ายกว่านั้น

แมนยูควรขึ้นทางขวา และเจาะฝั่งซ้ายของบียาร์เรอัล ดูจะมีโอกาสทำประตูได้สูงกว่ามากๆ

ทั้งแนวป้องกันที่อ่อนแอ ทั้งการเติมเกมรุกที่มากกว่า และสูงกว่าจากผู้เล่นฝั่งซ้าย ทั้งเปา และเปดราซ่า ทำให้ด้านขวามีโอกาสที่เราจะ "สวนกลับ" ได้ทันที เพราะแบ็คลอย เซ็นเตอร์ลอย

ถ้าจะสวน ก็น่าจะมีโอกาสสวนทางปีกขวาของเราได้มากกว่า

ในขณะที่เกมรับของเปา ตอเรส มีปัญหากับการรับมือ1-1 และการสกัดตัวผู้เล่นที่ไปกับบอลดีๆ อย่างที่นำเสนอสถิติเชิงประจักษ์ให้ดูแล้วว่า %สกัดสำเร็จต่ำมากๆ โดยเฉพาะการเจอตัวเลี้ยงที่เร็วๆคล่องๆ

เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ การใส่ "เมสัน กรีนวู้ด" ลงในตำแหน่งปีกขวาของทีม ดูเหมือนจะเหมาะในการใช้เล่นกับบียาร์เรอัลมากๆ เนื่องจากมีทั้งความเร็วสูงที่ไม้เขียวสามารถเล่นเกมcounter-attackได้

อีกประการนึงคือ การเลี้ยงโจมตีทางขวา ใส่ซีกซ้ายของบียาร์เรอัลนั้น เมสัน ไม้เขียว เลี้ยงบอลได้เนียนและติดเท้าเป็นธรรมชาติมากกว่าแรชที่ยืนขวาและเล่นได้ไม่ถนัด

ดังนั้นมีโอกาสมากที่กรีนวู้ดจะเลื้อยผ่าน และกระชากบอลเอาชนะ เปา ตอเรส และยิงประตูได้ทั้งซ้ายและขวา

ซีกขวาเกมรอบชิง แมนยูต้องสั่งลุยและหาทางเจาะรัวๆเลย

ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ ใช้กรีนวู้ดลงตัวจริงเล่นหน้าขวาไปก่อน และรวมถึงการกำกับแทคติกให้ เอดินสัน คาวานี่ ยืนประกบกับทางฝั่ง เปา ตอเรส มากกว่าจะยืนเยื้องไปทางซีกอัลบิโอล ซึ่งเข้าปะทะดุเดือดกว่า

ให้คาวานี่มาเล่นงานเปา ตอเรส น่าจะมีโอกาสชนะเยอะทั้งการเบียดด้วยร่างกาย หรือการสลัดการประกบหาจังหวะฉีดขึ้นไปยิง

อนึ่ง * กองหลังสองคนของบียาร์เรอัลโหม่งแย่กว่าลินเดอเลิฟอีก ดังนั้นหากเป็นแรชยืนฝั่งขวา ก็มีโอกาสสูงที่พรุ่งนี้จะครอสเข้าหัวคาวานี่อีกครั้ง โดยที่แนวรับเซ็นเตอร์ของพวกเขาไม่สามารถสกัดบอลครอส บอลโด่งได้ นี่คืออีกหนึ่งจุดตายของลูกทีมโลกิที่การป้องกันลูกกลางอากาศของเซ็นเตอร์ไม่ดีเท่าที่ควร

ภาพนี้จริงๆแล้วจะแคปให้ดูว่า ขนาดตามscoutทีมคู่แข่ง ก็ยังจะอุตส่ามีสกอร์ของตำนานเบอร์7คนล่าสุดอย่างคาวานี่ โผล่ตามมาหลอกหลอนถึงคู่อาร์เซนอลเลยในขณะที่ดู(ฮา)

แต่ภาพนี้ก็ทำให้ได้เห็นสัดส่วนของหน้าที่นักเตะในสนามบียาร์เรอัลได้อย่างดี เมื่อด้านขวาสามคน คือแผงกองหลังของเรือดำน้ำสีเหลือง ที่คุมวงนอกอยู่โดยโกเกอแลง กับ ปาเรโฆ ด้านหลัง โดยที่มีปีกขวาอย่าง เยเรมี่ สอดเข้าไปรอในกรอบเขตโทษแล้วแบบดูจงใจ ซึ่งคีย์สำคัญ อยู่ที่ไอ้เจ้าเบอร์14ด้านล่างสุดอย่างตริเกรอส นี่แหละที่รอจะวิ่งสอดเข้าไปในกรอบ จากวงนอกที่เขายืนอยู่ตอนนั้น

ส่วนเคราร์ด โมเรโน่ เล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวรุก ก็จำเป็นต้องประกบให้ดีด้วย เพราะต้องระวังพอๆกับตัวสอด ปล่อยโมเรโน่ว่างไม่ได้เด็ดขาด

ภาพนี้ก็คืออีกครั้งที่มีตัวประหลาดๆสอดเข้ามาในกรอบเขตโทษของอาร์เซนอล และเขาคือ มาริโอ กาสปาร์ ที่เติมเข้ามาจากตำแหน่ง "แบ็คขวา"

ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิด นั่นคือแบ็คขวา สังเกตได้เลยว่าบียาร์เรอัลมักจะโหลดผู้เล่นริมเส้นเข้าไปสอดในกรอบเยอะมาก เพื่อทดแทนกองกลางสองคนที่จะไม่เติมสูง เพราะปาเรโฆ กับ โกเกอแลง หรือ กาปู จะคุมเกมอยู่ข้างหลัง

ในภาพนี้เปดราซ่า ยืนต่ำในซีกซ้ายที่ไม่ได้บุก เผื่อโดนอาร์เซนอลสวนกลับ และรอจับซาก้าอยู่

ภาพด้านบนนี้แสดงให้เห็นถึงช่องทางและพื้นที่ที่สามารถเล่นงานบียาร์เรอัลได้ นั่นก็คือ "เกมริมเส้น" ถือเป็นจุดตายใหญ่หลวงที่สุดของบียาร์เรอัล ที่แมนยูไนเต็ดจะสามารถพาบอลขึ้นมาบุก และเล่นงานใส่พื้นที่สุดท้ายของพวกเขาได้สำเร็จ

ต้องบอกว่า เกมรับบียาร์เรอัลไม่ได้ดีขนาดนั้น ขอแค่แมนยูไนเต็ดทำเกมบุกขึ้นมาได้ โอกาสเจาะประตูได้มากกว่าหนึ่งเม็ดมีสูงมากๆ เพราะเกมรับเขาไม่ได้ถึงกับแข็งมากขนาดนั้น

จะเห็นได้ว่า เกมรับริมเส้นบียาร์เรอัลไม่ดีเอาซะเลย ทั้งที่พวกเขาเล่นแผนที่มีผู้เล่นริมเส้นถึง4คน (แบ็คสองวิงสอง) แต่การป้องกันริมเส้นไม่แน่นหนาเลย โดยเฉพาะจังหวะสวนกลับ จนทำให้นักเตะอาร์เซนอลในเกมนี้สามารถเจาะสวนขึ้นมาทางริมเส้นได้บ่อยครั้งมาก

นี่ก็เป็นรอยรั่วอีกครั้งในเกมรับของบียาร์เรอัล ที่เปิดพื้นที่ริมเส้นไว้ค่อนข้างเยอะ ทำให้เกมวันนั้น นักเตะอาร์เซนอลบุกใส่ริมเส้นบียาร์เรอัล ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นักเตะปืนใหญ่กลับเล่นจังหวะสุดท้ายได้ไม่ดีพอ เปิดบอลไปเสาสาม ยิงออกแบบไม่มีลุ้น

ถ้าเกมรุกอาร์เซนอลแน่นอนและคมกว่านั้นอีกนิดนึง คู่แข่งรอบชิงก็น่าจะเป็นแก๊งค์ปืนโต ณ ลอนดอนไปแล้ว เพราะบุกขึ้นมาริมเส้นได้บ่อยมากๆ แต่กลับทำอะไรบียาร์เรอัลไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย เป็นข้อสังเกตว่า เกมรับริมเส้นพวกนี้ไม่มีแนวป้องกันเลย

ภาพข้างบนนี้จะให้ดูธรรมชาติการเล่นของบียาร์เรอัล ที่มักจะตั้งบอลจากแดนหลังเป็นหลัก เน้นความแน่นอนของการให้บอล และจะไม่จ่ายหากว่าไม่ชัวร์

การตั้งเกมขึ้นหน้า พวกเขาใช้แค่กองหลังสองคนเท่านั้นในการรับบอล ส่งบอลกับโกลอย่างรูลลี่ ที่พร้อมจะเก็บบอลไว้กับตัวเพื่อดึงจังหวะช้า และหาเป้าจ่ายที่แน่นอน โดยมีตัวเลือกทางจ่ายให้กับ วิงแบ็ค / กลางต่ำ หรือวางยาวให้กองหน้าไปเลย ซึ่ง เปา ตอเรส มีออฟชั่นในการเปิดบอลยาวอยู่แล้วตรงนี้

ลักษณะการเล่นที่ ถอนต่ำมากๆของคู่กองหลัง เห็นชัดเจนว่าพวกเขาจะเล่นอะไร

ถ้าสถานการณ์ของเกมบียาร์เรอัลได้เปรียบ แมนยูไนเต็ดมีโอกาสจะโดนดึงจังหวะเกมช้า และโดนดึงพื้นที่หนีลงไปต่ำอีก เพื่อเรียกให้นักเตะเราต้องรีบดันสูงขึ้นมาไล่บอลด้วย

ซึ่งบอกเลยว่า งานนี้มีหัวร้อน ทั้งแฟนบอลทางบ้าน และนักเตะในสนาม ซึ่งหากปล่อยให้ฝั่งนั้นคุมเกม รับรองว่านักเตะเราจะต้องลิ้นห้อยแน่นอน และดีไม่ดีจะ "หาบอลไม่เจอ" เอาได้ง่ายๆ

รู้ๆอยู่ว่าอูไนเก๋าเกมขนาดไหนในถ้วยนี้ ต้องระวังเรื่องนี้อย่างแรงจริงๆ

ถ้าเช่นนั้นแล้ว วิธีแก้ไข และ "วิธีจัดการ" กับการเล่นพื้นฐานของบียาร์เรอัลที่ใช้วิธีการ "เซ็ตบอลที่แน่นอนจากแดนหลัง" เช่นนี้ควรทำยังไง?

สิ่งที่กำลังจะพูดนี้เหมือนเป็นอีกหนึ่งแผนพิฆาตโลกิที่อาจจะต้องใช้ความกล้า ใช้พลังงาน ความทุ่มเทอย่างสุดขีดในการเล่น

นั่นก็คือ การใช้ "High Pressing" ดันเกมสูงขึ้นมาวิ่งไล่บีบเพรสซิ่งในแดนของบียาร์เรอัลทั้งทีม เพื่อให้พวกเขาไม่สามารถเซ็ตเกมต่อบอลจากแดนหลังได้

ถ้าสามารถเพรสใส่จนสามารถตัดบอลได้ แมนยูไนเต็ดก็มีโอกาสบุกในจังหวะtransition playได้ทันที ซึ่งโอกาสในการเจาะเข้ามีสูงมากๆเพราะนักเตะโอเพ่นเพลย์ดีๆในแนวรุกเรามีเพียบ โดยเฉพาะคาวานี่ บรูโน่ ป็อกบา กรีนวู้ด 4แนวรุกทัพหลวงของทีม

ถามว่าทำไมข้อนี้ถึงเป็นจุดพิฆาตสำคัญที่ควรเล่น ให้สังเกตภาพด้านบน ดูว่านักเตะอาร์เซนอล "ไม่เข้าเพรสนักเตะบียาร์เรอัล" ในแดนหลัง และปล่อยให้พวกเขาดึงเกม ครองบอล และเซ็ตบอลขึ้นหน้าได้ง่ายๆ

จุดสังเกตในภาพนี้คือ มีนักเตะอาร์เซนอลแค่สามคนเท่านั้นเองในแดนหน้า นอกนั้นคือลงไปตั้งรับหมดแล้ว และนักเตะทั้งสามก็ไม่เพียงพอจะวิ่งไล่การเซ็ตบอลของบียาร์เรอัลไหว เพราะ"ปริมาณ" ในการโหลดนักเตะขึ้นมาเพรสนั้นน้อยเกินไป

ขอยกตัวอย่างความพ่ายแพ้ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต่อคู่อริที่สุดแสนจะเกลียดอย่างลิเวอร์พูลมาเป็นเคสตัวอย่าง เมื่อพวกเขาเป็นทีมที่เล่นHigh Pressingได้โหดที่สุดทีมนึงในโลกแน่ๆตอนนี้

ภาพนี้ผมแคปมาจากจังหวะดูสด ที่ขณะที่ดูนั้น ใจผมยอมรับเลยว่า "เราแพ้ลิเวอร์พูลแล้ว" แต่แค่ไม่ได้ตั้งเป็นโพสต์บนหน้าเพจเท่านั้นเอง

ลิเวอร์พูลโหลดนักเตะขึ้นมาด้วยปริมาณมากกว่านักเตะแนวหลังของแมนยูที่กำลังเซ็ตเกมกันอีก ด้วยการโจมตีแบบไม่มีบอลด้วยปริมาณคน 5 ต่อ 4 ดังในรูปนี้ และdirectionการวิ่งทุกตัวนั้นคือ บีบ บีบ แล้วก็บีบใส่แมนยู ทั้งบีบตัวมีบอล รวมถึงบีบมุมตัวรับบอลให้ไม่สามารถเล่นได้ และพลิกบอลได้ยากด้วย บางตัวถึงกับวิ่งขึ้นมาเพื่อดักหน้ารอ intercept บอลจ่ายเลยทีเดียว

เป็นโซนเพรสที่โหดสัสๆ ผมดูแล้วผมรู้เลยว่าเกมนั้นโอกาสชนะลิเวอร์พูลไม่เหลือแล้ว และนี่เป็นการกดข้างเดียวที่เอาชนะเราอย่างเด็ดขาดได้จากการที่แมนยูไนเต็ดไม่มีกองกลางที่ดีพอจะเอาชนะบอลเพรสซิ่งของลิเวอร์พูลได้

เมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว เราอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนพรุ่งนี้ด้วยการ เปลี่ยนเสื้อสีเขียว ให้เป็นสีแดงของเรา ที่ขึ้นมาเพรสซิ่งวิ่งไล่บียาร์เรอัลเช่นนี้อย่าให้ตั้งบอล เซ็ตบอลกันได้ง่ายๆ เหมือนกับที่ลิเวอร์พูลทำกับเรา

ยูไนเต็ดกับบียาร์เรอัลมีพื้นฐานการเล่นที่เหมือนกันอย่างนึงคือค่อยๆเซ็ตบอลช้าๆจากแดนหลัง หนามยอกจึงต้องเอาหนามบ่ง เพราะงั้น ต้องเพรสมันให้เละ อย่าให้เหลือ และผมเชื่อว่าแมนยูไนเต็ดชุดนี้ทำได้ พวกเขาก็เพิ่งทำมาหมาดๆในเกมที่ฟอร์มการเล่นคึกคักขั้นสุดยอดในเกมบุกแหลกใส่ฟูแล่ม นั่นแมนยูก็เพรสสูงขึ้นมาอัดใส่แดนฟูแล่มเลยเหมือนกัน เสียดายว่าเกมรับบู่ และเกมรุกใช้โอกาสเปลือง ไม่งั้นก็ชนะไปแล้ว

แมนยูไนเต็ดถึงเวลาจะเล่นเพรสซิ่งก็เล่นได้ และไม่ควรปล่อยให้บียาร์เรอัล "คุมเกม" ด้วยการปล่อยให้เขาครองบอลเช่นนั้น แล้วค่อยมาคาดหวังว่า "แม็คเฟร็ด" จะสกรีนบอลในพื้นที่ตรงกลางได้

เพราะบียาร์เรอัล "ถ่ายบอลบุกออกข้าง" พวกเขาไม่เจาะขึ้นตรงกลางโดยตรง ดังนั้นเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ควรไปสกัดการเล่นตั้งแต่ต้นทางจะดีกว่า

ส่วนใครที่กังวลแทคติกนี้ว่า ถ้าดันสูงขึ้นมา อาจจะโดน "เปา ตอเรส" วางบอลยาวสวนขึ้นหน้าได้ จนตัวรุกเค้าได้โจมตีใส่แนวรับสุดท้ายของเราโดยตรง ข้อนี้ไม่ต้องห่วง

เปา ตอเรส วางบอลยาวได้ดีก็จริง แต่เราสามารถจัดการให้ตัวเพรสของเราคอยจี้ติดตัวเปาไม่ให้เล่นได้ง่ายๆ ในประการแรก

ประการที่สองคือ บอลยาวมันก็ใช่ว่าจะทำให้ทีมอันตรายซะทุกลูก ปล่อยให้เค้าเปิดบอมป์ยาวขึ้นมาดีกว่า โอกาสที่จะเก็บบอลได้มีสูงกว่า (คล้ายๆยิงสามแต้มในการเล่นบาส แม้ได้แต้มเยอะ มันก็ใช่ว่าจะลงได้ง่ายๆทุกลูก)

ยังไงก็แล้วแต่ เชื่อว่า หากว่าเล่นเพรสซิ่งสูงใส่บียาร์เรอัลให้ ตั้งบอลจากแดนหลังได้ยากๆ ก็มีโอกาสที่จะทำให้ทีมเค้ารวน และเราสามารถโจมตีได้จริงๆโดยที่เราเองก็ไม่ต้องเสี่ยงเป็นฝ่ายครองบอลเยอะๆให้โดนสวนกลับได้ด้วย

แผนอีกอย่างหนึ่งที่จะสามารถเจาะเรือดำน้ำ ในแผนพิฆาตโลกินั้น ต้องยอมรับว่า โอกาสที่จะสวนเกมริมเส้นนั้นมันก็ใช่ว่าจะทำได้ตลอด บียาร์เรอัลน่าจะถอยลงมาตั้งรับทัน และเราก็น่าจะเจอแนวรับ "กำแพงสองชั้น" ที่วิเคราะห์ไว้ช่วงต้น ดังนั้นพูดถึงวิธีการเจาะแนวรับของบียาร์เรอัลเวลาลงไปตั้งรับต่ำ มีอยู่สามอย่างสำคัญที่ต้องทำดังนี้

1.ต้องมี "กองหน้าตัวเป้า" ที่ค้ำในกรอบหนึ่งคน อย่าใช้แต่กองหน้าForwardสายวงนอกล้วนๆ

เรื่องนี้สำคัญมากๆ เพราะแนวรับของบียาร์เรอัลจะบีบcompactกันอยู่ในพื้นที่รอบๆกรอบเขตโทษ เพื่อที่จะดึงไลน์เกมรับของพวกเขาไม่ให้แตกออกมาวิ่งไล่บอลวงนอก เราอาจจะจำเป็นต้อง "บูชายัญ" เอดินสัน คาวานี่ ต่อเทพเจ้าAztecอีกครั้ง ด้วยการค้ำตรงกลางและโดนล็อคตายบริเวณนั้นไว้

การเล่นที่ใช้แต่ตัวรุกวงนอกที่มีแต่ความเร็ว และใช้กองหน้าสายฟอลส์ไนน์ลงสนามไปเจอกับบียาร์เรอัล อาร์เซนอลทำมาแล้ว และก็พ่ายแพ้ไปเรียบร้อย เพราะว่าเจาะไม่เข้าเลย

แต่กลับกัน เกมที่พวกเขามีหน้าเป้าอย่างโอบาลงสนามไป ซึ่งมีมิติการเป็นตัวในกรอบเขตโทษอยู่ด้วยนั้น เกมรุกอาร์เซนอลดูเจาะเกมรุกได้อันตรายและน่ากลัวกว่า ถ้าวันนั้นดวงดีๆ ได้ลูกเสาชนเข้าๆไปบ้าง ก็คงจะไม่ตกรอบ

"ความจนมันน่ากลัว" คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่ได้กล่าวเอาไว้ และไม่ได้มารับจ็อบเป็นผู้ตัดสินที่4ด้วย

เช่นเดียวกัน แทคติกแมนยูไนเต็ดพรุ่งนี้ไม่ควรเลือกนักเตะสายForwardลงไปพร้อมกันสามตัวในฟร้อนท์ทรีเด็ดขาด ซึ่งดูแล้วน่าจะปลอดภัย เพราะเจมส์ไม่ฟิต หมากไม่ฟิต อย่างน้อยๆก็มีแค่แรชฟอร์ด กับ กรีนวู้ด ที่เล่นได้ ดังนั้นยังไงตัวจริงต้องมีคาวานี่ในตำแหน่งหน้าเป้าแน่นอนแล้วหนึ่งตัว

2.บรูโน่ แฟร์นันด์ส ต้องรับผิดชอบเกมรุกเยอะกว่าปกติด้วยสองหน้าที่

2.1 เป็นจุดหมุนในเกมเกมโยก ซ้าย-ขวา-กลาง

สาเหตุที่วิธีนี้จำเป็น ก็เพราะว่าบียาร์เรอัลเล่นเกมรับด้านwide areaไม่ค่อยดี

หากว่าใช้การ "โยก" ออกข้างบ่อยๆ สลับไปมาด้วยความรวดเร็วน่าจะสามารถ"ถ่าง"แนวป้องกันบียาร์เรอัลได้ เพราะการเปลี่ยนแกนด้วยความเร็วจะทำให้แนวรับเกิดช่องว่างเข้าทำได้ โดยที่มีคนสำคัญคือบรูโน่ที่อยู่ตรงกลาง คอยเป็นจุดหมุนเชื่อมบอล จากขวาไปซ้าย และเลือกที่จะเข้าทำเองเลยก็ได้ หรือจะส่งบอลต่อให้ตัวยิงด้านข้าง

สงสัยเราต้องยืมอาวุธเพื่อนรักทีมสีแดงๆมาใช้ซะแล้วงานนี้

2.2 "Forward Run" เติมเข้าไปกดดันในพื้นที่Final Thirdด้วยตัวเองเยอะขึ้น ในกรณีที่คาวานี่โดนล็อคตาย

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาทีนึงแล้วในเกมเจอไบรจ์ตัน ซึ่งคาวานี่แทบจะไม่ได้บอลเลยตลอดทั้งเกม แต่ครึ่งหลังสิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ บรูโน่ทำ "Forward Run" เข้าไปในกรอบเขตโทษ และสอดเข้าไปเป็น Shadow Striker ที่เป็นเงาของหน้าเป้าอย่างคาวานี่

แต่สอดจากแนวลึกซึ่งเป็นพื้นที่ไร้ประกบ วิ่งเข้าไปโจมตียังที่ว่างจุดต่างๆ

วิธีการนี้ใช้การได้ดีมากๆในยามที่หน้าเป้าของเราโดนประกบตาย ซึ่งแน่นอนว่า ตอเรส กับ อัลบิโอล ไม่มีทางกล้าปล่อยคาวานี่แน่นอน แถมมีมิดฟิลด์ตัวรับขนาบด้านหน้าอยู่อีก

การป้องกันที่เทไปเช่นนี้ จะเกิดช่องให้มิดฟิลด์แนวลึกวิ่งForward Run เข้าไปในกรอบ และจะมีโอกาสได้ยิงแน่นอน ในฐานะกองหน้าจำเป็นชั่วพริบตาระหว่างจังหวะเข้าทำ

สรุปให้ฟังอีกครั้งว่า "แผนพิฆาตโลกิ" ที่เราควรจะต้องทำในวันพรุ่งนี้นั้น มีอะไรบ้าง สรุปสั้นๆให้เห็นชัดๆกันอีกครั้งได้ดังนี้

เกมรับ

-ดันเกมขึ้นมาเล่นเพรสซิ่งสูง จัดการกับเพลย์เซ็ตบอลจากแดนหลังของบียาร์เรอัลไม่ให้เล่นได้ง่ายๆ

-ระวังการสอดขึ้นมาโจมตีจากแผงมิดฟิลด์ในกรอบเขตโทษ เน้นหนักการMarking แบบ Man to Man ต่อตัวฟรีวงนอกที่จะวิ่งสอดเข้ามาในกรอบ มากกว่าจะรอตั้งโซนอยู่ในกรอบเขตโทษ

เกมรุก

-เล่นเกมสวนกลับขึ้นทางริมเส้นที่การป้องกันของบียาร์เรอัลต่ำจากการที่แบ็คเติมสูง

-เน้นเล่นงาน"ฝั่งซ้าย" ที่การป้องกันต่ำกว่าขวา ทั้งเปา ตอเรส กับ เปดราซ่า สามารถเจาะได้ด้วยความเร็ว และการเลี้ยงผ่านเอาชนะ เพราะเกมรับอ่อนกว่าฝั่งอัลบิโอล กับ กาสปาร์ (ถ้าเป็นเช่นนี้ มีโอกาสที่กรีนวู้ดจะทำประตูมีสูงมากในรอบชิง)

-โจมตีโยกแกนริมเส้น กลาง ซ้าย ขวา ด้วยความเร็ว

-กองหน้าตัวเป้าค้ำตรงกลาง และใช้Forward Run ของมิดฟิลด์วงนอก เติมในกรอบเขตโทษ เข้าทำสกอร์แทนกองหน้าตัวจริงอย่างคาวานี่ที่โดนประกบอยู่

เรื่องของลูกเซ็ตพีซ ฟรีคิก ไม่ต้องกลัวมาก เพราะบียาร์เรอัลไม่ได้โดดเด่นอะไรขนาดนั้น (เป็นเบิร์นลีย์ว่าไปอย่าง)

พูดกันแบบตรงๆคือ เราไม่จำเป็นต้องกลัวเลยจริงๆแต่ก็ระมัดระวังอย่าประมาท และก็เล่นไปตามปกติ

อาจจะมีโดนบ้างเล็กน้อย จะมีอันตรายก็อยู่ที่คนเปิดอย่างปาเรโฆนี่แหละ แต่รวมๆถือว่าไม่มีอะไรน่าห่วงเรื่องจะโดนบอมป์ เพราะบียาร์เรอัลไม่เล่นแบบนั้นอยู่แล้ว

แทนที่จะเอาลูกบอมป์ซึ่งเป็นของไม่ถนัดมาโจมตีเรา เค้าเล่นด้วยธรรมชาติแบบที่ถนัดจะดีกว่าเยอะ

แต่เกมรุกของบียาร์เรอัลก็ไม่ได้คมกริบจนน่ากลัวขนาดนั้น อย่างที่บอกไป ผู้เขียนรู้สึกว่าการเข้าทำของบียาร์เรอัลยังสู้ "โรม่า" ที่เราผ่านมาในรอบรองฯไม่ได้เลย ทีมนั้นยิงเราไป5ลูก และตัวสร้างเกมรุกของโรม่า+Strikerตัวจบสกอร์ ทั้งแพรวพราว ทั้งคม หากเทียบกับบียาร์เรอัลแล้ว โรม่าบุกได้ดุเดือดและอันตรายกว่าเยอะ

ไม่จำเป็นต้องกลัวเกมรุกของYellow Submarineมากจนเกินไป ควรโฟกัสเน้นเกมบุกมากกว่า

รายนามของนักเตะที่เดินทางไปทำศึกรอบชิงมีดังนี้ De Gea, Henderson, Grant, Bishop, Bailly, Lindelöf, Maguire, Shaw, Telles, Tuanzebe, Wan-Bissaka, Williams, Amad, Bruno Fernandes, Fred, James, Mata, Matić, McTominay, Pogba, Van de Beek, Cavani, Elanga, Greenwood, Rashford, Shoretire

คนที่ขาดหายไปคือ Martial ที่ฟิตไม่ทัน และ Hannibal ที่ไม่ติดทีมไปด้วย แต่นอกนั้นอยู่กันครบครัน แม้กระทั่งแฮรี่ แมกไกวร์ก็ติดไปด้วย และดูท่าจะหายไม่ทันจริงๆ เมื่อไปถึงสนามก็มีข่าวว่าเขาไม่ได้ลงไปซ้อมกับเพื่อนๆ คิดว่ากัปตันคงได้แค่ให้กำลังใจอยู่ข้างสนามเท่านั้น แต่ก็เชื่อว่ากัปตันคงจะตะโกนช่วยสั่งการเพื่อนๆแน่นอน

11ตัวจริงในเกมเจอบียาร์เรอัล เมื่อดูจากแทคติกแล้ว ควรจัดทีมประมาณนี้


เดเคอาที่ประสบการณ์สูงกว่าดีน และการเล่นเหมาะกับเกมยุโรป จะได้ลงสตาร์ทก่อน โดยแผงแบ็คโฟร์มี วานบิสซาก้า กับ ชอว์ตามตำแหน่งจริง ส่วนคู่กลางไม่ต้องลุ้นกัปตันแล้ว และลินเดอเลิฟ น่าจะได้ลงจับคู่กับ "เอริค ไบญี่" มากกว่าจะเป็นตวนเซเบ้ ในเรื่องของประสบการณ์ที่มากกว่า และการได้เจอทีมเก่าที่อาจจะคุ้นเคยกับบอลสเปนเป็นอย่างดี

คู่มิดฟิลด์ตัวกลาง "แม็คเฟร็ด" น่าจะถูกจับลงมาใช้งานเพื่อวิ่งสู้กับบอลเคลื่อนที่และจ่ายช่องของบียาร์เรอัล ซึ่งต้องใช้พลังงานในการเล่นกลางสนามสูงมากๆ ดังนั้นไดนามิคการเล่นที่มากกว่าถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะกดบียาร์เรอัลได้

กลางรุกใช้เป็น "บรูโน่ แฟร์นันด์ส" ยืนพื้น ทางหน้าขวาอยากให้ใช้ เมสัน กรีนวู้ดมากกว่า เพราะมีความเร็วสวนกลับได้ +ความพริ้วในการไปกับบอลที่มากกว่าตัวอื่นๆในทีม น่าจะใช้เล่นงานเปา ตอเรส ที่เกมรับไม่ดีได้

ปีกซ้าย ปอล ป็อกบา น่าจะเหมาะกับการเจอแนวรับแข็งๆทางขวา เพราะป็อกไม่ต้องเลี้ยงจี้เข้าเขตอันตรายให้ไปโดนแทคเกิลซะเปล่าๆ แต่โจมตีจากวงนอกทางซ้ายดูน่าสนใจที่ไม่ต้องไปดวลแนวรับเรือดำน้ำโดยตรง

และสุดท้าย เอดินสัน คาวานี่ จะต้องถูกใช้ "บูชายัญ" ในตำแหน่งหน้าเป้าเพื่อเรียกแมนยูไนเต็ดร่างเทพอสูรไร้พ่ายออกมา เป็นตัวความหวังที่จะสร้างอะไรพิเศษในเกมนัดชิงนี้ได้อย่างแน่นอน

และทั้งหมดนี้คือข้อมูลของสไตล์การเล่นและจุดแข็งของบียาร์เรอัล ภายใต้การคุมทีมของ อูไน "โลกิ" เอเมรี่ ที่มีประสบการณ์โชกโชนในการคว้าแชมป์ถ้วยนี้3ปีติดกับเซบีญ่า ทีมที่พวกเขาเพิ่งถล่มเละมา 4-0 ในลาลีกานั่นแหละ ซึ่งไม่ใช่งานง่ายเลยสำหรับแมนยูไนเต็ดในรอบชิงชนะเลิศ อะไรก็เกิดขึ้นได้

บียาร์เรอัลก็มีทีมที่ดีเช่นกัน ดังนั้นผลแพ้ชนะในรอบชิงนี้เกิดขึ้นได้เหมือนกันทั้งคู่ กับเกมนัดเดียว ซึ่งแม้แมนยูไนเต็ดจะแพ้ก็ไม่ได้หมายความว่าทีมเราจะย่ำแย่ขนาดต้องหมดศรัทธาอะไรกันขนาดนั้น

เหมือนที่บางคนมองว่า ถ้าไม่ได้แชมป์ก็หมดข้ออ้างในการทำทีมแล้ว ทั้งๆที่คู่แข่งเขาก็มีมือมีตีนเหมือนกัน

จริงๆบียาร์เรอัลก็มีสิทธิ์ชนะเหมือนกันไม่ต่างกับเรา มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เกมกีฬาก็มีแพ้ชนะอยู่แค่นี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

มันเป็นเรื่องธรรมดา(มากๆ)

สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดในบทความนี้คือรายละเอียดในเชิงฟุตบอล เกี่ยวกับการวางแผนการเล่นในสนามเท่านั้นเอง ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่ายังไงก็ตาม ฟุตบอลมันเป็นกีฬาที่วัดกันด้วย "ใจสู้" เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

ใครใจสู้มากกว่า คนนั้นมีโอกาสชนะสูง

ถ้านักเตะใจสู้ มีลูกฮึด และกระหายมากกว่านั้น บางทีสามารถกลบข้อได้เปรียบเชิงแทคติกได้เลย หากว่าอีกฝ่ายฮึดมากกว่า

เกมพรุ่งนี้เราไม่ขออะไรมาก ไม่จำเป็นต้องถล่มคู่แข่งจนเละเทะก็ได้ แต่ขอให้ผ่านนัดนี้ได้ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่ง ซึ่งมันมีอยู่แล้วในDNAของสโมสรที่จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆอย่างแน่นอนในเกมนัดสำคัญแบบนี้

เกมนัดนี้สำคัญมากๆต่ออนาคตของสโมสร ที่ถึงแม้เราจะพูดว่าแพ้ชนะก็เกิดขึ้นได้ก็ตาม แต่ถ้าเลือกได้ ขอเป็นชนะดีกว่า และเราก็เชื่อยังไงทีมต้องชนะได้

ไม่ว่าจะชนะในรูปแบบที่ยากลำบาก หรือชนะอย่างหมดจดยอดเยี่ยมก็ตาม

#ศาลาพยากรณ์ : แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1 บียาร์เรอัล

เราให้บียาร์เรอัลหนึ่งเม็ด เนื่องจากแนวหลังแมนยูขาดคนสั่งการอย่างแมกไกวร์ไป มีโอกาสที่จะเกิดรอยรั่วในแผงหลังเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมาในปีนี้ แต่ในฝั่งของเกมรุกแมนยูไนเต็ด ไม่ว่ายังไงก็ตาม "2ลูก" คือจำนวนขั้นต่ำที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะยิงได้ในวันพรุ่งนี้

ถ้าไม่ใช่สกอร์นี้ ก็มีโอกาสจะเป็น "4-0" แน่นอน ไม่สกอร์แรกก็สกอร์นี้

เพราะเกมรับของบียาร์เรอัลนอกจากจะมีจุดอ่อนแล้วนั้น ผมมองว่ามันไม่ได้เหนียวแน่นอะไรมากขนาดนั้น หากเราทำเกมบุกขึ้นไปได้ ยิ่งกับทีมที่ไม่ได้มีความเข้มข้นในเกมเพรสซิ่งที่จะมาเล่นงานยูไนเต็ดได้มากมายนัก ก็ยิ่งมีโอกาสบุกมากขึ้น

ต่อให้พรุ่งนี้อูไนสั่งลูกทีมเพรสซิ่งใส่แมนยู เราน่าจะแกะได้ไม่ยาก เพราะในลีกเราเจอทีมที่เพรสซิ่งโหดสุดๆมาเยอะแล้ว ทั้งซิตี้ ลิเวอร์พูล เพราะงั้นแค่ระดับบียาร์เรอัล ไม่มีทางทำอะไรเราได้แน่ ฉีดยามาสองเข็มครบแล้ว เข็มแรกสีฟ้า เข็มสองสีแดง

ภูมิคุ้มกันในการต้องเจอกับบอลเพรสซิ่งของทีมเรามัน activated แล้ว

การคว้าแชมป์ครั้งนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นอย่างมากต่อทั้งนักเตะในทีม ต่อความเชื่อมั่นของแฟนบอลในตัวโซลชาและนักเตะชุดนี้ว่า ดีพอจะคว้าแชมป์สำคัญระดับทวีปได้ และจะส่งผลต่อความมั่นใจของทีมในการพัฒนาทีมต่อเนื่อง เพื่อจะขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงแชมป์ลีกเต็มตัวในปีหน้า แชมป์พรุ่งนี้จึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยุคใหม่ที่กำลังสร้างขึ้นมาทีมนี้

นักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะวิ่งลืมตายเพื่อเอาแชมป์มาให้พวกเราอย่างแน่นอน ผมเชื่อ

และผู้จัดการทีมก็จะทำตามที่ให้คำมั่นต่อหน้าแฟนบอลว่าเขาจะนำแชมป์กลับมาให้ได้ใน "คำสัญญา10วัน" จากปากเขา

ทีมชุดนี้สร้างความเชื่อมั่นให้ผมมาตลอดฤดูกาล ดังนั้นคืนนี้พรุ่งนี้ ผม"โคตรเชื่อ" ว่าทีมเราทำได้

และพรุ่งนี้เราจะเอาถ้วยใบนี้กลับบ้านด้วยกัน

-ศาลาผี-

References

https://www.transfermarkt.com/fc-villarreal/startseite/verein/1050

https://fbref.com/en/squads/2a8183b3/Villarreal-Stats

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด