:::     :::

ลิเวอร์พูล ซีซั่น รีวิว 2020-21: ฤดูกาลแห่งความผาดโผนและบทพิสูจน์ของนักสู้

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,609
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นี่คือฤดูกาลแห่งความพลิกผันและเต็มไปด้วยบทพิสูจน์มากมายของลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอาการบาดเจ็บ, ปัญหาจากวีเออาร์, ศรัทธาจากแฟนบอลทั้งเรื่องผลงาน การซื้อขาย และหนักข้อไปถึง ซูเปอร์ ลีก ทุกอย่างมันถาโถมรุมเร้าและเกือบทำให้ฤดูกาล 2020-21 เป็นฤดูกาลที่ล้มเหลวไปในทุกเป้าหมายเลยทีเดียว ทว่า ในอีกมุมหนึ่ง มันกลับเป็นฤดูกาลที่เต็มไปด้วยบทพิสูจน์และวัดใจทั้งตัวนักเตะและแฟนบอลไปในคราวเดียวกันอีกด้วย

เดือนกันยายน

ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทด้วยฟอร์มอันร้อนแรงสมราคาแชมป์เก่า ไล่ตั้งแต่เปิดบ้านเฉือน ลีดส์ ของ บิเอลซ่า ไปสุดมันส์ 4-3, บุกชนะ เชลซี 2-0, ถล่ม ลินคอร์น ซิตี้ ในถ้วย ลีก คัพ 7-2 และปิดเดือนสวยๆ ด้วยการเอาชนะ อาร์เซน่อล อีก 3-1 ช่วงเวลาดังกล่าวลูกทีมของ คล็อปป์ รั้งอันดับ 2 ในตารางคะแนนของพรีเมียร์ลีกจากการชนะ 3 นัดรวด เป็นรอง เลสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่ลูกได้เสียเท่านั้น


เดือนตุลาคม

หงส์แดงเปิดเดือนด้วยอาการบาดเจ็บของ อลิสซอน เบคเกอร์ และบุกไปพ่าย แอสตัน วิลล่า อย่างไม่น่าเชื่อด้วยสกอร์ 7-2 ก่อนที่จะกลับมาเล่นเกมเมอร์ซี่ย์ ไซด์ และเก็บได้เพียงแค่ 1 แต้ม แถมยังต้องสังเวย เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ไปทั้งฤดูกาลอีกด้วย เมื่อรวมกับคนที่มีอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ทั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ฟาบินโญ่, โจเอล มาติป, ติอาโก้, ซิมิกาส จึงทำให้เดือนตุลาคมถือเป็นเดือนที่ทีม คล็อปป์ ต้องเริ่มทยอยหมุนทีมมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้อดีหนึ่งอย่างก็คือ ในเดือนนี้เป็นเดือนที่ ลิเวอร์พูล ค้นพบเพชรเม็ดงามที่ชื่อว่า ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารดาวรุ่งที่ได้รับโอกาสลงสนามแทน อลิสซอน และสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนสื่อหลายสำนักยกให้เป็นการค้นพบแห่งฤดูกาลเลยทีเดียว


เดือนพฤศจิกายน

ลิเวอร์พูลยังคงมีนักเตะทยอยได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในแนวรับที่ โจ โกเมซ ต้องพักยาวทั้งฤดูกาลตาม ฟาน ไดจ์ค ไปอีกคน เช่นเดียวกับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ต้องพักอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ ทำให้มาตรฐานการเล่นของทีมเริ่มแกว่งไปแกว่งมา พวกเขาถล่ม อตาลันต้า 5-0, ถูก แมนฯ ซิตี้ ไล่ตามตีเสมอ 1-1, เปิดบ้านเอาชนะ เลสเตอร์ 3-0, แต่ก็มาแพ้ อตาลันต้า ในบ้านตัวเอง 0-2 และปิดท้ายเดือนด้วยการถูก ไบรท์ตันฯ ตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจนเก็บได้คะแนนเดียว ส่งผลให้เมื่อเกมลีกเดินทางมาถึงนัดที่ 10 ลิเวอร์พูล ยังคงรั้งอันดับ 2 ของตาราง โดยมีคะแนนเท่ากับ สเปอร์ส แต่ลูกได้เสียน้อยกว่าถึง 7 ลูก

 

เดือนธันวาคม

เป็นเดือนที่มีเกมให้เล่นมากถึง 8 นัด และเป็นเดือนที่อันดับในตารางเริ่มสวิง หงส์แดงเอาชนะ วูลฟ์ฯ ไปถึง 4-0, เฉือน สเปอร์ส 2-1 และถล่ม คริสตัล พาเลซ ไปมโหฬาร ถึง 7-0 จนสามารถขึ้นนำจ่าฝูงได้สำเร็จ ก่อนที่ช่วง บ็อกซิ่ง เดย์ จะเก็บได้เพียงแค่ 2 จาก 6 แต้มเต็ม จนไม่สามารถฉีกแต้มหนีผู้ไล่ล่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ เมื่อจบปี ลิเวอร์พูล จึงเป็นจ่าฝูงของลีกด้วยผลต่างประตูได้เสียที่มากกว่าปีศาจแดงอยู่ +7 และมีคะแนนมากกว่าอันดับ 3 อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่แค่คะแนนเดียว ซึ่งในเดือนนี้ทีมต้องสูญเสีย โจเอล มาติป และ ดิโอโก้ โชต้า ที่ต้องพักยาวร่วม 3 เดือน นับว่าเป็นช่วงที่ทีมเริ่มวิกฤติมากขึ้น อีกทั้งยังประสบกับปัญหาวีเออาร์ชนิดที่ทำให้เสียประโยชน์ไปหลายต่อหลายเกมอีกด้วย



 

เดือนมกราคม

นับว่าเป็นเดือนที่ทีมหลุดวงโคจรของถ้วย เอฟเอ คัพ ไปอย่างเจ็บปวดจากการแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-3 ขณะที่ในลีกก็ชนะเพียงแค่ 2 จาก 5 นัด โดยเป็นการเสมอกับปีศาจแดงแบบโนสกอร์ 1 นัด ส่วนอีก 2 นัดแพ้ให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน และ เบิร์นลี่ย์ ไปด้วยสกอร์ 0-1 ทั้งคู่ ช่วงเวลานั้นทีมประสบปัญหาเรื่องการจบสกอร์ค่อนข้างเยอะ สื่อหลายแห่งรุมวิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นของ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ว่าขาดวิญญาณเพชฌฆาต และในส่วนของ ซาดิโอ มาเน่ กับ โม ซาล่าห์ ก็ฟอร์มหลุดและถูกวิจารณ์ไปไม่น้อยกว่ากัน อีกทั้งในเดือนนี้ นาบี เกอิต้า ก็มาได้รับอาการบาดเจ็บต้องพักถึง 6 สัปดาห์ อีกต่างหาก

ขณะที่ตลาดซื้อขายหน้าหนาวในรอบนี้ คล็อปป์ จำเป็นต้องลงตลาดเนื่องจากทีมเกิดวิกฤติในแนวรับชนิดที่ว่าไม่เหลือกองหลังตัวกลางไว้เลย มีเพียงแค่ดาวรุ่งอย่าง แน็ท ฟิลลิปส์ กับ รีห์ส วิลเลี่ยมส์ เท่านั้น ซึ่งมันไม่เพียงพอกับการลุ้นแชมป์ในช่วงฤดูกาลที่เหลือ จนสุดท้ายหงส์แดงตัดสินใจคว้าตัวของ เบน เดวี่ส์ มาจาก เปรสตันฯ และยืมตัว โอซาน คาบัค มาจาก ชาลเก้04 ในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาด ส่วนผลงานในลีก ลิเวอร์พูล จบอันดับ 3 ในตาราง และยังอยู่ในช่ายลุ้นแชมป์แม้ว่าจะมีแต้มตามหลังเรือใบสีฟ้าถึง 7 คะแนนก็ตาม

 

เดือนกุมภาพันธ์

นี่คือเดือนที่ถือเป็นหายนะของ ลิเวอร์พูล ในลีกอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาเอาชนะคู่แข่งได้เพียง 1 จาก 5 นัดเท่านั้น ซึ่งหงส์แดงแพ้ถึง 4 นัดติดในลีก ไล่ตั้งแต่แพ้ ไบรท์ตัน 0-1, แพ้ แมนฯ ซิตี้ 1-4, แพ้ เลสเตอร์ 1-3 และแพ้ เอฟเวอร์ตัน อีก 0-2 ส่งผลให้ทีมของ คล็อปป์ ร่วงลงไปไกลถึงอันดับ 7 ในตารางคะแนน มีแต้มห่างจากจ่าฝูงไกลสุดกู่ถึง 19 คะแนน แต่ยังพอมีลุ้นในพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะมีคะแนนตามหลังอันดับ 4 อยู่แค่ 2 คะแนน

ข่าวร้ายในเดือนนี้คือ โจเอล มาติป ปิดเทอมยาวทั้งฤดูกาล เช่นเดียวกับ ฟาบินโญ่ ที่เริ่มมีอาการบาดเจ็บรบกวนจนเล่นได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกทั้งฟอร์มของทีมในเดือนนี้ต้องยอมรับว่าเต็มไปด้วยความผิดพลาด ความมั่นใจที่หดหาย รวมไปถึงโชคยังไม่เข้าข้างจากหลายๆ เหตุการณ์มากมาย และในช่วงเดือนนี้เริ่มมีเสียงเรียกร้องเบาๆ จากแฟนบอลบางกลุ่มที่คิดว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ หมดไอเดียในการทำทีม บางส่วนยังเลยเถิดไปถึงการเรียกร้องให้เปลี่ยนผู้บริหารเลยทีเดียว เนื่องจากการลงตลาดซื้อขายในรอบนี้แฟนบอลมองว่าทีมไม่ทุ่มมากเท่าที่ควรอีกด้วยถ

 

เดือนมีนาคม

เปิดหัวเดือนด้วยฟอร์มร่อแร่ต่อเนื่องจากการแพ้ในบ้าน 2 นัดติดต่อ เชลซี กับ ฟูแล่ม ก่อนที่จะสามารถกู้หน้าได้ในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีกจากการเอาขนะ อาร์เบ ไลป์ซิก และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ จากจุดนี้ดูเหมือนว่าทีมจะมีแรงผลักดันพิเศษเพิ่มมากขึ้น หงส์แดงกลับมาเก็บรายละเอียดในเกมลีกได้มากขึ้นด้วยการเอาชนะ วูลฟ์ฯ กับ อาร์เซน่อล ถึงอย่างนั้นก็ตาม ลิเวอร์พูล ยังคงอยู่แค่อันดับ 7 ในตารางเช่นเดิม และการแข่งขันก็เหลืออีกเพียงแค่ 8 นัดสุดท้ายแล้วด้วย

 

เดือนเมษายน

ทีมกลับมากระท่อนกระแท่นอีกครั้ง ในถ้วยยุโรปก็ตกรอบจากการพ่ายให้ เรอัล มาดริด ด้วยสกอร์รวม 1-3 ขณะที่ในลีกแม้ว่าจะไม่แพ้ใครก็จริง แต่ก็สามารถเอาชนะได้แค่นัดเดียวนั่นคือเกมที่เฉือน วิลล่า ไป 2-1 ส่วนอีก 2 นัดทำได้เพียงแค่เสมอกับลีดส์ และ นิวคาสเซิ่ล ด้วยสกอร์ 1-1 ทั้งสองนัด

ความวุ่นวายของทีมเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนจากการที่ ลิเวอร์พูล ตอบตกลงเข้าร่วมในโปรเจคท์ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก จนส่งผลให้เหล่าแฟนบอลรวมตัวกันประท้วงอย่างสงบที่สโมสร ก่อนที่ จอห์น เฮนรี่ จะยอมถอนตัวจากโปรเจคท์และอัดคลิปขอโทษแฟนบอลทันทีหลังเหตุการณ์ความวุ่นวาย ถึงอย่างนั้นก็ดี ยังคงมีแฟนบอลบางส่วนไม่พอใจ โดยเฉพาะกลุ่ม SOS (Spirit of Shankley) ที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนบอร์ดบริหารเลยทีเดียว

ผลงานในสนาม เดอะ ค็อป เกินครึ่งล้วนทำใจยอมรับกันแล้วว่าอาจจะทำได้ดีที่สุดคือไปเล่นในยูโรปา ลีก ไม่ใช่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะทีมยังคงอยู่อันดับ 6 และมีคะแนนห่างจากพื้นที่ท็อปโฟร์อยู่ถึง 4 คะแนน อีกทั้งยังเหลือเกมการแข่งขันอีกเพียงแค่ 5 นัดสุดท้ายเท่านั้น แถม 2 จาก 5 นัดยังต้องเจอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกต่างหาก

ข่าวดีเพียงอย่างเดียวของทีมก็คือเหล่านักเตะที่บาดเจ็บกันไปในช่วงก่อนหน้านี้ทยอยคืนทีมกันเกือบครบแล้ว ทั้ง โชต้า, ติอาโก้, ฟาบินโญ่ ซึ่งการคืนสนามของ 3 คนนี้ถือว่ากลายเป็นอาวุธสำคัญในช่วงโค้งสุดท้ายเลยทีเดียว


เดือนพฤษภาคม

รถไฟเหาะตีลังกาของหงส์แดงเดินทางมาถึงจุดพีคที่สุดและเป็นจุดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะสามารถจบฤดูกาลได้ด้วยอันดับที่ 3 จากการเร่งเครื่องในช่วง 5 นัดสุดท้ายชนิดที่เหยียบมิดไมล์จนเบียดเข้าเส้นชัยเหนือ เชลซี ได้ปลายจมูก

หงส์แดงทุบนักบุญ 2-0 ก่อนที่จะไล่อัดปีศาจแดงในศึกแดงเดือดถึงโรงละครแห่งความฝันด้วยสกอร์ 4-2 อีกทั้งยังบุกไปอัด เวสต์บรอมฯ 2-1, บุกถล่ม เบิร์นลี่ย์ 3-0 ก่อนจะปิดฤดูกาลด้วยการเอาชนะ คริสตัล พาเลซ ไปสบายเกือก 2-0 พร้อมกับดีดตัวเองขึ้นมาคว้าพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังจบด้วยอันดับ 3 อีกต่างหาก


ลิเวอร์พูล ฟันฝ่าอุสรรคมากมายในฤดูกาลแห่งความผันผวนนี้ คล็อปป์คุมทีมด้วยการที่มีนักเตะตัวหลักได้รับบาดเจ็บรวมกันถึง 8 คน ไล่ตั้งแต่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค 33 นัด, โจ โกเมซ 31 นัด, โจเอล มาติป กับ นาบี เกอิต้า คนละ 28 นัด, ดิโอโก้ โชต้า 19 นัด, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 17 นัด, ติอาโก้ 14 นัด และ ฟาบินโญ่ อีก 8 นัด แม้ว่าในตอนจบทีมจะไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลมาครองได้เลยสักรายการก็จริง แต่การที่ยังคงรักษาสถานะไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้าได้ทั้งที่ทีมเจอวิกฤติมากมาย ถือว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเลยทีเดียว

หากฤดูกาลที่แล้วคือบทพิสูจน์​ความเป็นแชมเปี้ยนของลิเวอร์พูลแล้วล่ะก็ ผมคิดว่าฤดูกาลนี้มันคือบทพิสูจน์​ความเป็นนักสู้ทั้งในส่วนของนักเตะและในส่วนของแฟนบอลกลายๆ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะ 5 สุดท้ายในลีก มันคือภาพที่แฟนบอลอยากเห็นมาตลอด ทีมมีความมุ่งมั่น เล่นบอลได้ไหลลื่น การเพรสซิ่งที่ดุดันเริ่มกลับมา คู่เซนเตอร์ดาวรุ่งอย่าง รีห์ส วิลเลี่ยมส์ กับ แน็ท ฟิลลิปส์ พัฒนาฝีเท้าตัวเองขึ้นเยอะ อีกทั้งแนวรุกยังสลับกันลง สลับกันล่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ดิโอโก้ โชต้า ที่ผมว่าถ้าหากไม่เจ็บในช่วงกลางฤดูกาล ลิเวอร์พูลอาจเก็บแต้มที่หล่นไปได้มากกว่านี้ก็เป็นได้

"มันยิ่งใหญ่และไม่น่าเชื่อ" คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์กับ บีบีซี หลังจบเกม "ถ้ามีใครมาพูดกับผมเมื่อ 5-8 สัปดาห์ก่อนว่าทีมเราจะจบด้วยอันดับ 3 นั้น มันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากจริงๆ แต่สุดท้ายนักเตะของผมก็ทำมันได้ด้วยการสู้อย่างสุดหัวใจ ผมยกเครดิตให้ลูกทีมของผมทุกคน"

สุดท้ายแล้ว ลิเวอร์พูล ยังคงจบท็อปโฟร์ได้ทุกฤดูกาลนับตั้งแต่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมแบบเต็มฤดูกาล อีกทั้งยอดโค้ชชาวเยอรมันคนนี้ยังถ่ายทอดเลือดนักสู้ผู้ไม่เคยยอมแพ้ลงไปให้กับลูกทีมทุคนได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย

ฤดูกาลที่เป็นบทพิสูจน์หัวใจนักสู้จบลงไปแล้ว ลิเวอร์พูล ฤดูกาล 2021-22 จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างน่าจับตามองจริงๆ ทั้งในเรื่องของความเปลี่ยนแปลงในส่วนนักเตะใหม่ รวมไปถึงเราอาจได้เห็นการเติบโตทางด้าน Mentality ของนักเตะเก่าที่มากขึ้นจนอาจส่งตรงไปถึงผลลัพธ์ในสนามที่อาจกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ในอีกหลายๆ หลายการก็เป็นได้.



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด