แม้ว่าสกอร์ทั้งสามลูกจะต้องรอถึงครึ่งหลังกว่าจะได้มาแต่ต้องบอกว่ารูปเกมที่ออกมานั้นดูดีผิดแผกไปจากเดิมที่เราเข้าใจสำหรับทัพ "อัซซูรี่" ไปเลย

ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทัพอิตาลีที่ยิงถึง 3 ประตูได้เป็นครั้งแรกในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรอบสุดท้าย จากการลงสนาม 39 เกมที่ผ่านมา

  ผลจากความล้มเหลวในฟุตบอลโลกสามหนหลังทั้งในปี 2010 และ 2014 ที่จอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่ม และถึงขั้นตกรอบคัดเลือกในปี 2018 ทำให้ทีมมีการเปลี่ยนแปลงก โดยเฉพาะการดึง โรแบร์โต้ มันชินี่ เข้ามารับตำแหน่งกุนซือ

ทีมชุดปัจจุบันผสมผสานระหว่างแข้งประสบการณ์สูงที่อยู่ในเกมรับเป็นหลัก กับส่วนแดนกลางและแนวรุกแม้ไม่ได้อายุมากเหมือนแข้งเกมรับ แต่ก็ล้วนเป็นกำลังสำคัญในระดับสโมสร

โรแบร์โต้ มันชินี่ ปรับจูนทีมชุดนี้มาอย่างยอดเยี่ยม จนถึงวันนี้ผ่านไป 3 ปีทุกอย่างเห็นผลอย่างงดงาม ทีมคว้าชัยมา 9 เกมติดต่อกันแถมไม่เสียประตูเลย 9 นัดติดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990 แถมยังเจาะตาข่ายคู่แข่งมากถึง 28 ลูกอีกด้วย

นับรวมเกมล่าสุดเข้าไปด้วยเท่ากับว่าตอนนี้ อิตาลี ไม่แพ้ใครมายาวนาน 28 เกมติดต่อกันแล้ว โดยชนะ 23 เสมอ 5 กินเวลานานกว่า 2 ปีกับอีก 8 เดือนเข้าให้แล้ว

ถึงกระนั้นทีมยังถูกมองข้ามก่อนเริ่มทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ของยุโรปในการคว้าแชมป์เป็นรองพวกทีมเต็งอย่าง ฝรั่งเศส, อังกฤษ, เบลเยี่ยม, เยอรมัน และ โปรตุเกส

แต่เกมเปิดสนามกับ ตุรกี แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเองก็มีทีเด็ดสำหรับเล่นงานคู่แข่งเหมือนกัน

อย่างที่รู้ว่าทัพจากแดน "ไก่งวง" ชุดนี้ต้องบอกว่าชื่อชั้นนักเตะในทีมล้วนไม่ธรรมเลย แข้งเกินครึ่งทีมล้วนค้าแข้งอยู่กับสโมสรดังในยุโรป และในฤดูกาลที่ผ่านมาหลายคนประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมอย่าง บูรัค ยิลมาซ กองหน้าได้แชมป์ลีก เอิงกับ ลีลล์, ชากลาร์ โซยุนชู ได้แชมป์เอฟเอ คัพกับ เลสเตอร์ ซิตี้, ฮาคาน ชาลาโนลู ที่พา เอซี มิลาน กลับสู่เวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีกครั้ง

ดังนั้นขุมกำลังของทีมโดยเฉพาะ 11 คนแรกถือว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าการเจอกับ อิตาลี อาจจะเหนือบ่ากว่าแรงมากจนเกินไปสักหน่อย 

ทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ สลัดคราบ "อิตาลี" ในแบบที่เราเคยเห็นกันมาในอดีตที่เล่นแบบเน้นเกมรัดกุมเป็นหลัก กองหลังขอไม่เสียประตูไว้ก่อน ส่วนเกมรุกค่อยว่ากัน

แต่ทีมชุดนี้นอกจากเกมรับจะแข็งแกร่งไม่แพ้ในอดีต เกมรุกมีความวูบวาบและเข้าโจมตีได้อย่างอันตรายเลยทีเดียว

โดยเฉพาะการเล่นแบบบีบเกมคู่แข่งสูงตั้งแต่หน้าประตู ไม่ได้ถอยลงมาให้ตั้งเกมได้ เอาบอลมาเล่นให้เร็วที่สุดและโจมตีอย่างหนักหน่วง

และอีกอย่างที่ต้องยกนิ้วให้กับ โรแบร์โต้ มันชินี่ ก็คือเรื่องของความยืดหยุ่น พร้อมที่จะปรับรูปแบบการเล่นไปตามสถานการณ์

อย่างที่เห็นว่าครึ่งแรกทาง "อัซซูรี่" แทบจะหาโอกาสพังประตูได้อยู่ข้างเดียว ซึ่งทาง ตุรกี ก็เล่นเกมรับกันได้อย่างแข็งขัน ไม่เปิดโอกาสให้ได้เข้าทำง่ายๆ

ที่น่าชื่นชมคือเกมทางซ้ายที่ทั้ง เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า กับ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ สอดประสานกันได้อย่างลงตัว ปั่นป่วนเกมรับของ ตุรกี ได้เป็นอย่างดี

แต่เมื่อครึ่งแรกไม่มีประตู ทีมก็พร้อมที่จะผ่อนเกมลงไปบ้างในช่วงต้นครึ่งหลังเพื่อให้คู่แข่งครองบอลขึ้นมาเพื่อเปิดพื้นที่ว่างบ้างและมันก็นำมาซึ่งประตูขึ้นนำ โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ ทะลุเข้าเขตโทษด้านขวาก่อนเปิดเข้ากลาง ตรงนั้นไม่มีใครแต่จังหวะของ เมริห์ เดมิราล ที่ต้องบอกว่าโชคร้ายบอลพุ่งใส่ตัวไม่รู้ว่าต้องทำไงบอลก็พุ่งมาใส่ตัวเข้าประตูไปซะแล้ว

เมื่อเสียประตู ตุรกี ก็คงอยู่เฉยไม่ได้ พื้นที่ว่างก็มากขึ้น โอกาสก็มาขึ้นจนกระทั่งมาบวกประตูเพิ่มจากจังหวะยิงของ เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า ยิงติดเซฟ อูกูร์ชาน ชาคีร์ แต่มี ชิโร่ อิมโมบิเล่ ซ้ำดาบสองเข้าไป 

และเมื่อ อิมโมบิเล่ ทำประตูได้ก็แทบจะเข้าวินไปแล้วทั้งจากรูปเกมและจากสถิติที่ดาวยิงจาก ลาซิโอ ยิงประตูให้ทีมได้ 12 เกม อิตาลี เก็บชัยชนะได้ทุกนัดด้วย

จนมาถึงประตูที่สามที่ได้มาจากความผิดพลาดของ อูกูร์ชาน ชาคีร์ ที่ดันเตะเปิดเกมพลาดสุดท้ายโดน ลอเรนโซ่ อินซินเย่ ซัดปิดท้ายให้ทีมชนะสบาย 3-0

เป็นการเปิดสนามอย่างสวยหรูเรียกความมั่นใจได้เป็นอย่างดีสำหรับทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่เดินหน้ามาแบบไม่อยู่ในสปอร์ตไลท์ของสื่อที่หันไปหา อังกฤษ หรือ ฝรั่งเศส แทน

แบบนี้นี่แหละเล่นแบบไม่ต้องกดดัน แต่ทรงพลังอย่างมหาศาล

แม้จะเป็นแค่เกมแรก แต่เชื่อว่าตอนนี้แฟนบอล อิตาลี กล้าฝันไปไกลถึงสุดปลายทางกันแล้ว