:::     :::

เป้าหมายคือตัวจริง และความมุ่งมั่นโคตรจริงของว่าที่กัปตันAxel Tuanzebe

วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,259
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
คำแนะนำตั้งแต่วัยเด็กที่เป็นดั่งทองคำมาจนถึงทุกวันนี้ เส้นทางการต่อสู้และเป้าหมายของนักเตะว่าที่กัปตันทีมในอนาคตของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และสักวันนึงเขาต้องทำสำเร็จแน่นอน ผ่านเรื่องราวของเขาในบทความนี้

นักเตะอะคาเดมี่ของทีมรายนี้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยกับคอนเทนต์ My Story และรวมถึง UTD Unscripted ของเว็บไซต์official จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่เปิดเผยเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมาถึง Rochdale และจนมาถึงการมีโอกาสเป็นกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชุดใหญ่

นับตั้งแต่เข้ามาสู่สโมสรตั้งแต่อายุ8ขวบ ตวนเซเบ้ได้ดำรงตำแหน่งกัปตันทีมของสโมสรมาแล้วในทุกระดับการเล่น และเขาชี้ให้เห็นว่า คำแนะนำที่ทรงคุณค่าที่เขาได้รับสมัยยังเด็กนั้น คือกุญแจสำคัญต่ออาชีพนักฟุตบอลของเขา

"ถ้ามีคำแนะนำอะไรที่มันติดอยู่ในความทรงจำว่ามันเป็นสิ่งที่ดีมากๆที่ผมได้รับนั้น คงจะเป็นจาก Neil Harris"

"ผมคิดว่าเขายังเป็นโค้ชให้เด็กรุ่นเล็กๆที่นี่อยู่ ผมเจอเขาตอนชุดU-11s สิ่งที่แคริงตันเซ็ตเป็นกลุ่มๆขึ้นมาก็คือ สนามของชุด 11ปี 12ปี จากนั้นก็ไล่ไปเป็น 13ปี 14ปี 15ปี จากนั้นก็ชุด 16ปี แล้วเป็นชุดเยาวชน ชุดสำรอง และก็ชุดใหญ่"


"ถ้าคุณอยู่ในสนามของชุด 11ปี สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณเลยก็คือคุณจะมองเห็นสนามของทีมชุดใหญ่จากตรงนั้นเลย ซึ่งนีล แฮริส บอกว่า 'หนึ่งหรือสองคนในพวกนายก็จะได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ที่เหลือจะไม่ได้ไปถึงตรงนั้น' คำๆนี้มันติดอยู่ในหัวผมตลอดเวลา และผมจำมันเอาไว้ตลอดการเล่นในทุกๆกลุ่มอายุ มันคือคำแนะนำที่สำคัญมากๆ มันช่วยให้ผมเข้าใจว่า ผมจำเป็นจะต้องเล่นให้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด เพื่อที่จะขึ้นไปอยู่ในระดับท็อปให้ได้"

ตวนเซเบ้ชี้ว่าคำๆนั้นเหมือนเป็นสายโทรศัพท์ที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา และย้ำเตือนให้ระลึกตลอดว่าเขาต้องทำงานหนักและโฟกัสตั้งแต่ในตอนนั้นทันที โดยไม่เกี่ยวกับว่าเขาอยู่ในรุ่นอายุไหนๆ

"มันส่งผลอย่างมาก และผมก็เติบโตขึ้นเพื่อที่จะเรียนรู้มันมากยิ่งๆขึ้นไปอีก เพราะมันก็มีเพียงแค่สองคนจากกลุ่มรุ่นอายุของผมที่ยังคงเหลือรอดอยู่ตรงนี้จากรุ่น U-11s แบบที่เขาพูดจริงๆ ซึ่งมันก็คือผมเองนี่แหละ.."

"และอีกคนก็.. มาร์คัส แรชฟอร์ด"


"คุณไม่สามารถจะไปไล่ตามใครได้ทั้งนั้น ตัวคุณจะต้องไล่ตามอาชีพของคุณเอง และก็มีสมาธิอยู่กับมัน เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เหลือที่ว่างไม่มากนัก และคนมากมายที่ต้องออกจากเส้นทางนี้ไป ดังนั้นผมจำเป็นต้องโฟกัสกับมัน และมีเจตจำนงอันแข็งแกร่งเพื่อที่จะไล่ตามอาชีพของตนเองให้สำเร็จให้ได้"

ตวนเซเบ้เปิดใจกับหัวข้อที่น่าสนใจอื่นๆอีกมากมายหลายเรื่องในวงกว้างมาก ในการให้สัมภาษณ์ยาวของเขานั้นมีเรื่องที่รวมไปถึงการรับมือกับการโดนเหยียดผิวที่นักเตะผิวดำคนอื่นๆเจอบนโซเชียลมีเดียในในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา


นอกจากนี้ตวนเซเบ้ยังเล่าให้ฟังถึงความมุ่งมั่นในซีซั่นหน้าที่เขาต้องการจะทำให้ตัวเองเป็นกองหลังตัวจริงของทีมชุดใหญ่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดให้ได้

"ตอนนี้ผมอายุ23แล้ว และก็อยากลงสนามในทุกๆสัปดาห์"

"ผมเคยสัมผัสมันมาแล้วตอนที่ไปยืมตัวที่วิลล่า ผมสนุกกับมันมากๆ และนั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะทำมันอีกครั้งให้ได้กับที่นี่ ซึ่งผมไม่ได้ลงสนามมากสักเท่าไหร่อย่างที่หวังไว้ แต่ฤดูกาลต่อไป ผมจะต้องได้ลงเล่นฟุตบอลอย่างแน่นอน"


"ตอนที่ปล่อยยืมตัว ความกดดันที่มีมันต่างกันมากๆเลยนะ ซึ่งผมไม่ได้จะบอกว่าวิลล่าไม่ใช่สโมสรใหญ่ แต่คุณก็รู้ว่าแมนยูไนเต็ดเป็นสโมสรระดับแนวหน้าที่แฟนบอลมีความคาดหวังสูงมาก แม้กระทั่งตัวเราเองก็ตามทีนะ เรายังคาดหวังฟอร์มการเล่นที่ดีในทุกๆสัปดาห์, หวังว่าทีมเราจะต้องชนะให้ได้ในทุกๆสัปดาห์เช่นกัน ไม่ว่าจะต้องเจอกับคู่ต่อสู้รายไหนก็ตาม"

"คุณก็แค่ต้องเข้าใจและพยายามมันให้สำเร็จให้ได้" 

"มันมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่เกิดขึ้นในตอนเด็กๆ แมวมองมาบอกผมว่ายูไนเต็ดสนใจที่จะเซ็นสัญญากับผมตอนที่ยังเด็ก ผมก็ได้แต่ถามตัวเองว่า มันเกิดขึ้นจริงๆหรือ? ในทันทีทันใดนั้นสมองผมก็รวบรวมความคิดว่าเขาพูดอะไรกับผมกันแน่ เพราะในเกมที่แมวมองคนนั้นเพิ่งจะมาส่องฟอร์ม ผมก็ไม่ได้เล่นดีซะด้วยซ้ำ แล้วจู่ๆแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาสนใจจะดึงตัวผมไปเนี่ยนะ"

"หลังจากไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็ได้คำตอบ"

"โอเค มา ผมพร้อมเจอความท้าทายนี้ละ ลุยเลย"


"ดังนั้นผมเลยบอกแมวมองให้ไปคุยเรื่องนี้กับโค้ชของผม ให้พวกเขาหาคำตอบกันว่าจะเอายังไงต่อไปจากนั้น แล้วหลังจากนั้นผมก็ได้อยู่กับยูไนเต็ด และก็เล็งเป้าหมายที่จะได้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในอนาคต"

"ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดาวรุ่งทุกคนต้องการที่จะทำ โดยการค่อยๆไต่ไปทีละระดับและขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ได้ลงเล่นทุกๆสัปดาห์ คุณต้องเชื่อมั่นว่าคุณทำได้ ไม่งั้นคุณจะทำมันเพื่ออะไร แล้วมันจะมีประโยชน์ตรงไหนถ้าคุณไม่รู้สึกว่าคุณจะทำได้จริงๆ?"

"แน่นอนว่าเมื่อคุณเป็นเด็กๆอยู่ตอนนั้นคุณก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรทุกอย่างหรอก เพราะงั้นคุณก็ต้องเรียนรู้ไปด้วย และหลังจากที่ผมย้ายมาอยู่กับยูไนเต็ด ผมก็พยายามที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา"

"สำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มต้นนั้นคุณก็แค่ดูตัวอย่างจากนักเตะรุ่นพี่ที่เคยอยู่มาก่อน ผมคิดว่านักเตะยูไนเต็ดทุกคนควรจะรู้ประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมเยาวชน เพราะว่ามันทำให้คุณมีความหวังและความเชื่อมากขึ้นว่านักเตะทั้งหลายก็สามารถที่จะขึ้นทีมชุดใหญ่ได้ เมื่อคุณมองไปที่ Class of ’92 เป็นตัวอย่าง ใครจะไปคิดว่าจะมีนักเตะทีเดียว8-9คนที่อยู่ในรุ่นๆเดียวกันแล้วขึ้นชุดใหญ่ได้พร้อมๆกัน? มันน่าทึ่งมากนะ และนักเตะหลายๆคนในนั้นก็เป็นไอดอลของผมตอนยังเด็กๆ และถัดจากนั้นก็เป็นโรนัลโด้ และในตำแหน่งของผมเองนั้นผมชอบดูเฟอร์ดินานด์กับวิดิชเล่น ผมว่าพวกเขาเป็นคู่หูที่สุดยอดมาก พวกเขาคอยช่วยซ้อนให้กัน ทำงานด้วยกันอย่างดีเยี่ยม และเป็นผู้นำที่สุดยอดอีกด้วย"

"ความเป็นผู้นำเป็นอะไรที่ผมชื่นชมในตัวผู้เล่นต่างๆ ผมเคยพูดเมื่อก่อนว่าผมอยากจะเป็นกัปตันทีมยูไนเต็ดสักวันนึง และผมก็ยังคงยืนยันจะทำสิ่งนั้นให้ได้ ไม่ใช่ว่าผมกระหายจะเป็นผู้นำหรอก แต่ผมแค่อยากบอกว่าตัวผมเป็นยังไง ผมชอบที่จะดูแลทุกคนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของผม ผมดูแลครอบครัวเสมอ"

"เพื่อนร่วมทีมบางคนสมัยเด็กๆ หากว่าพวกเขามีปัญหาก็มักจะมาหาและขอคำแนะนำจากผม ซึ่งผมก็เก็บความลับได้นะและก็มักจะให้คำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผมคิดว่ามันเหมาะสมกับพวกเขาในเวลานั้นๆ บางทีผมอาจจะได้รับสิ่งนี้มาจากพ่อก็ได้ พ่อมักจะดูแลทุกๆคนอยู่เสมอ คอยดูแลผมและสิ่งต่างๆ และผมก็คิดว่านั้นเป็นสิ่งที่แสดงด้วยตัวมันเองอยู่แล้วมากกว่าที่จะพยายามออกหน้ามาทำสิ่งต่างๆให้มันดูเหมือนการอยากเป็นผู้นำ"

"ผมโชคดีที่ได้รับคำแนะนำต่างๆจากผู้คนมากมายตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่กับยูไนเต็ด ยกตัวอย่างเช่น คำแนะนำจากไมเคิล คาร์ริคเป็นต้น มันช่วยผมได้มาก เขาคือมือโปรตัวท็อปๆเลย เขาอยู่ที่นี่และทำสำเร็จ เพราะงั้นผมเลยสามารถตามรอยเท้าของเขาได้เลยและมันจะต้องดีแน่ ผมนับถือเขามากๆ"

"ผมเคยได้ลงเล่นภายใต้นิคกี้ บัตต์ด้วย ซึ่งก็เป็นนักเตะอีกคนนึงที่ชนะมาทุกอย่างแล้ว และก็เป็นการดีที่จะรับฟังคำแนะนำจากเขาเพราะว่าเขาสามารถเติมเต็มอะไรหลายๆอย่างให้การเล่นได้ รวมถึงมุมมองการใช้ชีวิตในการเป็นนักฟุตบอลด้วย"

"ผมมีเหล่าโค้ชที่มีอิทธิพลต่อตัวผมอย่างมากที่ยังคงมีผลกับเราอยู่ทุกวันนี้ ทุกๆคนที่ที่ผมเรียนรู้จากเขามานั่นแหละ ผมยังจำตอนช่วงเซสชั่นฝึกซ้อมได้สมัยอายุ11 มีช่วงนั้นที่นึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นตอนที่ทำให้พัฒนาตัวเองไปอย่างมาก นอกจากนั้นก็ตอนเล่นในชุดเยาวชน และปีแรกในชุดสำรอง ผมอยู่กับ Paul McGuinnessในชุดเยาวชน(youth team) และวิธีการเล่นของผมก็เปลี่ยนแปลงและแตกต่างจากตอนสมัยเด็กมาก มีความมั่นใจมากขึ้น ลุยไปกับบอลมากกว่าเดิมเป็นต้น"

"กับ Warren Joyce ในปีแรกกับชุดสำรองสิ่งที่ผมเรียนรู้คือความดุดัน คุณไม่ต้องสนใจทั้งนั้นว่ากำลังเล่นกับใครอยู่แม้กระทั่งตอนซ้อมก็ตาม เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่ว่าใคร เขาไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อจะเป็นเพื่อนกับคุณ แต่เขามาเพื่อที่จะแย่งตำแหน่งกับคุณ เขาไม่ได้มาอยู่นี่เพื่อจะช่วยเหลืออะไรคุณทั้งนั้น และเขาก็พยายามจะทำประตูคุณ"

"ดังนั้นจะไปใจดีใส่มันทำไมล่ะ?"


"ความคิดแบบนั้นอาจจะทำให้การเล่นของคุณน่ารังเกียจหน่อย แต่มันไม่ได้แปลว่าคุณจะออกไปข้างนอกแล้วจ้องจะทำร้ายให้คนอื่นๆบาดเจ็บซะที่ไหน คุณก็แค่จะรับประกันชัยชนะให้กับทีมเท่านั้น ซึ่งนั่นคือเรื่องสำคัญที่สุด ใช่ไหม?"

"การมีสมาธิอยู่บนการสร้างตัวเองให้เป็นนักเตะนั้นจะต้องโฟกัสกับการทำทุกๆวันให้มันดีที่สุดและไม่ต้องพะวงกับเพื่อนหรือใครทั้งสิ้น เพราะว่าคนพวกนั้นผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากคุณไม่ปล่อยวางแล้วมีสมาธิกับตัวเอง คุณอาจจะต้องเจอกับหนทางที่แย่ลง และสุดท้ายก็อาจจะต้องระเห็จออกไปก็เป็นได้"

"ผมพยายามเดินหน้าไปเรื่อยๆเพื่อขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ให้ได้ แล้ววันนึงก็ได้ซ้อมร่วมกับนักเตะซีเนียร์ และผมก็ยังจำครั้งแรกกับพวกเขาเหล่านั้นได้ ตอนนั้นผมอยู่ชุด U-18s และก็ตัวผม กับมาร์คัส แรชฟอร์ด และก็ เดวอนเต้ เรดมอนด์ ก็ได้ขึ้นไปดูทีมชุดใหญ่ซ้อมก่อนในเบื้องต้น จากนั้นเราก็ได้เล่น position game กับพวกเขา"

"มันเป็นหนึ่งในการซ้อมที่ยากที่สุดที่เคยเจอมาในชีวิตเลย"

"มันยากมาก และมันเร็วมาก เรื่องกายภาพที่เจอมันอยู่คนละระดับ และทีมชุดใหญ่เค้าก็ไม่ออมมือให้เราด้วย ไม่เลยแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเล่นยิ่งโหดขึ้นเรื่อยๆ"

"เราเข้าใจดีว่ามันเป็นฝึกฝนที่ดี และทำให้เราเข้าใจว่าเราต้องเจอกับอะไร และในโลกความจริงข้างหน้าเป็นยังไง เวลาที่ต้องออกไปลงเล่นในวันเสาร์ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด แล้วต้องเจอกับใครก็ตามที่ต้องการจะเอาชนะคุณให้ได้ ดังนั้นมันจึงเยี่ยมมากที่ได้ประสบการณ์ชีวิตแบบของจริงเช่นนี้"

"วันนั้นเราได้รับรู้ว่าเราจะต้องรับมือ มันช่วยให้เราได้ลิ้มรสมันแล้ว และเราก็ยิ่งต้องการมันมากยิ่งขึ้นไปอีก"


"นี่เป็นเรื่องเดียวกันสำหรับผมตอนที่ได้มีชื่อติดทีมชุดใหญ่ครั้งแรก เกมนั้นเสมอกับคริสตัล พาเลซ 0-0 และโชคไม่ดีที่ผมไม่ได้ลงสนาม แต่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากๆ ทุกๆอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเกมที่ผมได้เห็นทีมชุดใหญ่ทำสิ่งที่แตกต่างไป ซึ่งมันเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพมากๆ ทุกๆคนรับผิดชอบในหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำซึ่งมันสำคัญมากๆ ทุกๆคนพยายามช่วยเหลือกันเหมือนเป็นฟันเฟืองเครื่องจักรที่ร่วมกันทำงาน"

"มันช่วยผมได้มากในแง่ของการเตรียมตัวและวิธีการว่าเราควรจะทำยังไง มันช่วยเปิดหูเปิดตาให้ผมได้มาก ถ้าคุณไม่เคยทำมันมาก่อน มันก็จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆในการเป็นนักเตะระดับท็อป และนำทางคุณอย่างถูกต้องเพื่อบรรลุเป้าหมายในสิ่งนั้น"

"ตอนที่ได้ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในครึ่งหลังของฤดูกาล 2016/17 มันเป็นก้าวที่ใหญ่มาก ชีวิตในทีมชุดใหญ่นั้นยากลำบาก คุณจะต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมา หากว่าคุณไปพลาดล้มในพื้นที่ที่อาจจะทำให้เกมมันพลิกได้นั้น คุณจะต้องระมัดระวังรอบๆยิ่งกว่าปกติ คุณจะต้องรับบอลให้ชัวร์ๆ และอย่าปล่อยให้ตัวเองลื่นเด็ดขาด"

"มันมีความต้องการที่มากขึ้นต่อฟอร์มการเล่นของนักเตะอยู่เสมอ แต่ว่าผมรับมือกับมันได้ การได้ขึ้นมาทีมชุดใหญ่มันสำคัญกับผมและครอบครัวมากๆ ผมทำตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้ และมันก็ทำให้เราต้องเปลี่ยนมุมมองในเรื่องนี้ขึ้นไปอีกระดับนึง"

"เพราะเกิดขึ้นมาจริงๆแล้วในตอนนี้ ดังนั้นมันจึงยังมีงานหนักที่ต้องเริ่มต้นจริงๆจังๆอยู่อีก"

"ผมจำได้เสมอ ที่โจเซ่ มูรินโญ่มอบความรับผิดชอบพิเศษให้ผมกับทิม โฟซู-เมนซาห์ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล เราเล่นกับพาเลซที่โอลด์แทรฟฟอร์ดกับนักเตะอะคาเดมี่หลายคนในทีม และก่อนหน้านั้นผู้จัดการทีมก็บอกให้ผมช่วยดูแลนักเตะใหม่เหล่านี้ในสนาม"

"ผมเคยเป็นกัปตันทีมชุด U-18s มาเป็นปี เพราะงั้นนี้จึงเป็นเกมๆหนึ่งที่เป็นภาระหน้าที่ของผม ดังนั้นผมจึงพูดคุยกับพวกเขาเอาไว้ดังนี้ว่า : 'พวกเขาก็เหมือนคนทั่วไปนี่แหละ มีมือมีตีนไม่ต่างอะไรกว่าปกติ ไม่มีอะไรผิดแปลกกว่าทั่วๆไปเลย  เพราะงั้นก็ลงไปเล่นฟุตบอลอย่างที่เล่นเหมือนปกติ แล้วก็มีสมาธิกับตัวเองมากกว่าจะสนใจคู่ต่อสู้' "

"และพวกเราก็ชนะ 2-0"


"มันคือการกระตุ้นความมั่นใจให้เกิดขึ้น เมื่อหันกลับไปมองเกมเหล่านั้นคุณก็รู้สึกภูมิใจ และมันช่วยทำให้คุณเดินหน้าทำสิ่งอื่นที่ยิ่งใหญ่และดียิ่งขึ้นไปอีก"

"เป้าหมายของผมกับยูไนเต็ดนั้นก็คือการได้ลงสนามให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และใช้ทุกๆโอกาสที่ผู้จัดการทีมมอบให้อย่างสุดความสามารถ ผมชอบทำงานของตัวผมเองอย่างเงียบๆ และแสดงให้เห็นว่าผมเอาอยู่และทำให้ผู้จัดการรับรู้ว่าเขาสามารถเชื่อใจผมให้ลงสนามในเกมต่างๆได้"

"การถูกปล่อยยืมตัวไปกับแอสตัน วิลล่า มันเป็นช่วงเวลาในอาชีพของผมที่จะไม่มีทางลืม ผมมีประสบการณ์ที่น่าเหลือเชื่อและก็ยังคงเรียนรู้ต่อไป ซึ่งก็จบฤดูกาลด้วยถ้วยแชมป์และช่วยวิลล่าให้กลับมาพรีเมียร์ลีก มันส่งโมเมนตัมที่ดีให้ผมมากๆ ตอนนี้ผมต้องการโอกาสมากขึ้นที่จะแสดงให้เห็นว่าผมทำอะไรได้บ้างให้ยูไนเต็ด ผมอยากจะลงเล่นให้สโมสรนี้ไปยาวๆ และผมว่ามันเป็นไปได้"

"ผมคิดว่าผู้จัดการทีมเชื่อในตัวนักเตะอายุน้อยๆว่าจะสามารถนำยูไนเต็ดกลับมาสู่หนทางแห่งชัยชนะได้ การมีกลุ่มนักเตะที่สามารถฝังจิตวิญญาณแห่งชัยชนะกับสโมสรและก็ส่งต่อไปให้นักเตะรุ่นต่อๆไปได้ นั่นคือภารกิจที่สำคัญ ซึ่งอายุเฉลี่ยของทีมเราค่อนข้างน้อย แต่คติพจน์หนึ่งของพวกเราที่ติดอยู่บริเวณทางเดินที่นี่ก็คือ 'ถ้าคุณดีพอ คุณก็โตพอ' (‘If you’re good enough, you’re old enough’) และผมก็คิดว่าสิ่งนี้ถูกแสดงออกมาให้เห็นผ่านพวกเราทั้งทีม"

แอ็กเซล ตวนเซเบ้กล่าว

"มีการแย่งชิงตำแหน่งกันสูงซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันทำให้ทุกคนนั้นพร้อม แต่ละคนก็มีสิ่งที่ดีแตกต่างกัน และเราก็ต้องการทีมที่แข็งแกร่ง เราต้องการกลับมาเป็นผู้ท้าชิงอีกครั้งและก็คว้าแชมป์ให้ได้ และผมคิดว่าเรามีสภาพจิตใจที่ถูกต้องในการจะทำมันให้สำเร็จ มีเกมมากมายรออยู่และผมเชื่อว่าทุกคนจะได้รับโอกาส เป็นทีมที่มีสมาชิกดีๆซึ่งทุกคนก็ต้องการที่จะช่วยเหลือกัน และมันก็ไม่มีพลังงานด้านลบที่นี่เลย ทุกๆคนทำงานหนักและช่วยเหลือกันและกันเพื่อให้ไปถึงจุดที่เหมาะสมและต้องการได้"

"อย่างเช่นในส่วนของผมก็มีการมีตติ้งที่บ้านระหว่างผม ผู้จัดการทีม และก็สตาฟฟ์โค้ช โดยที่เราพิจารณาและตัดสินใจสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมเพื่อที่จะพัฒนาต่อไปที่นี่ มากกว่าที่จะปล่อยยืมออกไป"

"ผมอยากจะลงเล่นให้ยูไนเต็ดเสมอ และผมคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีที่จะอยู่สู้เพื่อตำแหน่ง เพราะผมคิดว่าสโมสรกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านและสร้างโครงสร้างที่แข็งแกร่งขึ้นมา"

"เขาสร้างความเชื่อมั่นให้ผมในช่วงฝึกซ้อมปรีซีซั่นและมันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผมที่จะคว้าไว้ มันสบายใจที่ได้รู้ว่าผมมีบทบาทหน้าที่กับที่นี่ ขึ้นอยู่กับว่าตัวผมเองจะแสดงออกมาว่าสู้ได้ถึงขนาดไหน"

"แมนเชสเตอร์คือบ้านของผม การได้เล่นที่โอลด์แทรฟฟอร์ดต่อหน้าครอบครัวและเพื่อนที่มาดู มันคือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตจะวาดฝันไว้ได้แล้ว และเพื่อที่จะทำสิ่งเหล่านั้นให้ได้ไปตลอด มันคือแชลเลนจ์ความท้าทายบทต่อไปของผม ผมฝึกฝนและซ้อมบอลมาทั้งชีวิตก็เพื่อสิ่งนี้ และผมก็พร้อมจะลุยมานานแล้ว"

"เพราะงั้นก็.. ฮ่าๆ ลุยเลย"

-ศาลาผี-


References

https://www.manutd.com/en/news/detail/axel-tuanzebe-my-story-the-most-important-piece-of-advice-in-my-man-utd-career

https://www.manutd.com/en/news/detail/axel-tuanzebe-utd-unscripted#?

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด