:::     :::

ทีมยอดเยี่ยมยูโรรอบแรก

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ผ่านกันไปแล้วสำหรับ ยูโร 2020 ในรอบแรก หรือรอบแบ่งกลุ่ม ที่ทำให้ได้ 16 ทีมผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์

ก่อนลงสนามรอบน็อกเอาต์ในวันเสาร์นี้ เราจะไปย้อนดูผลงานของนักเตะหลายคนในรอบแรกที่ผ่านมากันอีกหน่อยว่ามีใครโชว์ฟอร์มได้เตะตาโดนใจบ้าง

แน่นอนว่าหากแต่ละคนที่ไล่เรียงมานี้ ยังสามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาช่วยทีมได้ต่อเนื่อง โอกาสที่จะพาทีมไปถึงตำแหน่งแชมป์ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว 

ไปดูกันว่าหากจะจัดทีมยอดเยี่ยมในรอบแรกที่ผ่านมา จะมีใครคิดเข้ามาบ้าง

ผู้รักษาประตู : แดนนี่ วอร์ด (เวลส์)

ในรอบแรกที่ผ่านมามีผู้รักษาประตู 2 คนที่ไม่เสียประตูเลยตลอด 3 นัดแรกคือ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ของอิตาลีและ จอร์แดน พิคฟอร์ด ของอังกฤษ

ทว่าทั้ง ดอนนารุมม่า และ พิคฟอร์ด ก็ล้วนอยู่ในทีมใหญ่ที่ศักยภาพดีกว่าทีมร่วมกลุ่ม การเสียประตูน้อยหรือไม่เสียเลยไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่คนที่ทำผลงานได้โดดเด่นจริงๆ คือ แดนนี่ วอร์ด ผู้รักษาประตูทีมชาติเวลส์ที่มีส่วนอย่างมากในการพาทีมผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์

วอร์ด เสียไปเพียง 2 ประตูในกลุ่มที่มีทั้ง อิตาลี, ตุรกี และ สวิตเซอร์แลนด์ และเซฟไปทั้งหมด 14 ครั้ง เป็นรองเพียง อูกูร์ชาน ซาเคอร์ ของตุรกีคนเดียวเท่านั้น 


กองหลัง : เดนเซล ดรุมฟรีส์ (เนเธอร์แลนด์), เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ (อิตาลี), วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ (สวีเดน), เลโอนาร์โด้ สปินัซโซล่า

ตำแหน่งเป็นขวาเป็นใครอื่นไม่ได้จริงๆ นอกจาก เดนเซล ดรุมฟรีส์ แบ็กจอมบุกของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ฟอร์มโดดเด่นสุดๆ ทั้งเกมรุกและเกมรับ

ดรุมฟรีส์ ออกสตาร์ตตัวจริงให้ทัพกังหันตลอด 3 นัดแรกที่ทีมชนะรวด โดยที่เขาเป็นคนยิงประตูชัยในนัดแรกที่ชนะยูเครน 3-2 และยิงอีกนัดเอาชนะออสเตรีย 2-0 ซึ่งในสองนัดนี้ได้รางวัล สตาร์ ออฟ เดอะ แมตช์ หรือนักเตะยอดเยี่ยมอีกด้วย

แข้งวัย 25 ปีจาก พีเอสวี เติมเกมรุกขึ้นมาลุ้นยิงประตู 6 ครั้ง เข้ากรอบ 4 ครั้ง และเป็น 2 ประตู สถิติดีกว่ากองหน้าหลายๆ คนในทัวร์นาเมนต์นี้เลย


ส่วนแบ็กซ้ายและวิงแบ็กซ้ายก็มีหลายคนทำผลงานได้ดีในยูโรหนนี้ไม่ว่าจะเป็น โรบิน โกเซนส์ ของเยอรมัน, โยอาคิม เมห์เล่ ของเดนมาร์ก หรือกระทั่ง ลุค ชอว์ ของอังกฤษ

แต่คนที่เข้ามาติดทีมยอดเยี่ยมแบบหวุดหวิดคือ เลโอนาร์โด้ สปินัซโซล่า แบ็กตัวเก่งของทีมชาติอิตาลีที่เติมเกมได้อย่างเมามัน จนกลายเป็นอีกอาวุธสำคัญของทัพอัซซูรี่ในการล่าแชมป์ยุโรป 

แบ็กซ้ายจาก โรม่า เปิดตัวทัวร์นาเมนต์ได้อย่างสุดยอดด้วยการเล่นงานแนวรับตุรกีจนอ่วมทั้งเกมก่อนทำไป 1 แอสซิสต์พาทีมชนะ 3-0 พร้อมคว้าตำแหน่ง สตาร์ ออฟ เดอะ แมตช์ ได้อีกด้วย

เช่นเดียวกับนัดต่อมาที่ช่วยให้อิตาลีไล่อัดสวิตเซอร์แลนด์ 3-0 ปิดจ๊อบเข้ารอบ ทำให้ได้พักในนัดสุดท้ายเพื่อเตรียมความสดไว้รอคู่แข่งในยรอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างเต็มที่ 


ต่อกันที่ตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ ในขณะที่หลายคนต่างชื่นชมถึงการเล่นเกมรุกของอิตาลียุคใหม่ที่รวดเร็วและเดินหน้าตลอดทั้งเกม อีกจุดแข็งที่ต้องไม่ลืมและเป็นเอกลักษณ์มาตลอดคือเกมรับอันเหนียวแน่นแข็งแกร่ง

อิตาลี ไม่เสียประตูเลยตลอด 11 นัดจากทุกรายการที่ 3 นัดหลังสุดคือรอบแรกในยูโร และไม่แพ้ทีมใดมา 30 นัดเข้าให้แล้ว เป็นเวลาเกือบๆ 3 ปีเลยทีเดียว 

เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ คือหัวใจสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย แนวรับจอมเก๋าจาก ยูเวนตุส ยังคงสั่งการเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยม ปิดเกมรุกคู่แข่งได้หมดไม่ว่าจะเป็นตั้งโซนคุมพื้้นที่ หรือประกบตัวต่อตัวก็ไม่เป็นรอง

หลังผ่าน 2 นัดแรกที่เข้ารอบได้ โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือทัพอัซซูรี่เปลี่ยนทีม 8 ตำแหน่งในนัดสุดท้าย แต่ โบนุชชี่ เป็น 1 ใน 3 ผู้เล่นที่ได้ลงตัวจริงประคองเพื่อนร่วมทีมซึ่งเขาก็ช่วยให้ทีมเก็บคลีนชีตอีกนัด


จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ผู้รักษาประตูเพื่อนร่วมทีมได้เซฟเพียง 2 ครั้งในรอบแรก แน่นอนว่าการจัดการเกมรับที่มี โบนุชชี่ เป็นกำลังสำคัญคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้งานของ ดอนนารุมม่า ง่ายขึ้นอีกเยอะ 

ส่วนอีกคนที่ติดยอดเยี่ยมในตำแหน่งนี้คือ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ กองหลังทีมชาติสวีเดนที่ผลงานในยูโรหนนี้ ดีกว่าตอนเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชัดเจน

ลินเดอเลิฟ ช่วยทีมเก็บคลีนชีตตลอด 2 นัดแรกที่ทัพไวกิ้งยันเสมอสเปน 0-0 และเฉือนชนะสโลวาเกีย 1-0 โดยที่แนวรับผีแดงได้รางวัลสตาร์ ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมดวลทัพกระทิงอีกด้วย

นัดสุดท้ายสวีเดนอาจจะเสีย 2 ประตูให้กับ โปแลนด์ แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเขาเข้ารอบไปแล้วตั้งแต่ก่อนลงสนาม ทำให้คุณภาพและแรงจูงใจในการเล่นเทียบกับ 2 นัดแรกไม่ได้ 

 


กองกลาง - มานูเอล โลคาเตลลี่ (อิตาลี), จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม (เนเธอร์แลนด์), ปอล ป็อกบา (ฝรั่งเศส)

มานูเอล โลคาเตลลี่ ได้รับโอกาสเต็มๆ ใน 2 นัดแรกของอิตาลีเนื่องจาก มาร์โก แวร์รัตติ สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์นัก ซึ่งเจ้าตัวก็ทำผลงานได้น่าประทับใจสมกับที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ เชื่อมั่น

กองกลางจากซาสซูโอโล่กลายเป็นผึ้งงานคนสำคัญในแดนกลางทัพอัซซูรี่ที่ช่วยงาน จอร์จินโญ่ กับ นิโกโล่ บาเรลล่า ได้อย่างมาก ไม่มีอาการตื่นสนามแม้ประสบการณ์ระดับนานาชาติน้อยนิด 

นัดสองที่อิตาลีไล่อัดสวิตเซอร์แลนด์ 3-0 กองกลางวัย 23 ปีทำคนเดียว 2 ประตูพร้อมซิวรางวัล สตาร์ ออฟ เดอะ แมตช์ อย่างไม่ต้องสงสัย และจากนั้นก็ตามมาด้วยข่าว ยูเวนตุส เตรียมเดินหน้าคว้าตัวไปร่วมทีมให้ได้ในซัมเมอร์นี้


ขณะที่ จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม ก็โดดเด่นสมกับตำแหน่งกัปตันทัพกังหันผู้รับหน้าที่แทน เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เซนเตอร์ตัวเก่งที่เดี้ยงหนักจนพลาดทัวร์นาเมนต์นี้

กองกลางป้ายแดงของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทำผลงานได้สุดแกร่งตลอด 270 นาทีที่ลงสนาม  วิ่งขึ้น-ลงช่วยทีมทั้งเกมรุกและรับอย่างขยันขันแข็ง แทบจะอยู่ในทุกพื้นที่ของสนาม นอกจากนี้ยังซัดได้ถึง 3 ประตูและคว้ารางวัลแข้งยอดเยี่ยมในปิดท้ายรอบแรกที่ชนะ นอร์ธ มาซิโดเนีย 3-0 


ส่วนคนสุดท้ายที่ติดเข้ามาในลิสต์กองกลางยอดเยี่ยมคือ ปอล ป็อกบา แข้งคนดังของทีมชาติฝรั่งเศสที่ถูกคาดหมายตั้งแต่ก่อนทัวร์นาเมนต์แล้วว่าจะทำผลงานในทีมชาติได้ดีด้วยการที่ได้จับคู่กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้

ทัพตราไก่อาจมีเกมที่ดร็อปลงบ้างอย่างนัดไล่ตีเสมอฮังการี 1-1 แต่ฟอร์มโดยรวมของ ป็อกบา ยังทำได้ดี เล่นได้อย่างอิสระและมีจุดเด่นในการเปิดบอลที่สร้างโอกาสให้ทีมได้

นัดแรกที่ชนะเยอรมัน 1-0 ก็เป็นแข้ง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ตักบอลสุดสวยเข้าเขตโทษให้ ลูกัส แอร์กน็องเดซ ตบเข้ากลางบีบให้ มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ สกัดบอลเข้าประตูตัวเอง ขณะที่อีกเกมบิ๊กแมตช์ที่เสมอโปรตุเกสไปแบบสนุก 2-2 ก็เป็นคนจ่ายบอลได้อย่างคมกริบไปถึง คาริม เบนเซม่า หลุดไปซัดประตูนำ 2-1 

ป็อกบา เคยพาทีมเข้าถึงนัดชิงฯ ยูโร 2016 และฟุตบอลโลก 2018 หากตราไก่ได้ชิงฯ อีกครั้งเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ 3 ติดต่อกัน ฟอร์มของ ป็อกบา ที่มี ก็องเต้ เป็นลูกหาบคือปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง 



กองหน้า : คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (โปรตุเกส), โรเมลู ลูกากู (เบลเยียม), เมมฟิส เดอปาย (เนเธอร์แลนด์)

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นคนแรกที่ต้องติดอยู่ในแผงแนวรุกทีมยอดเยี่ยมรอบแรกหลังกระหน่ำไป 5 ประตูพาทัพฝอยทองเข้ารอบได้หวุดหวิดและนำดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์อีกด้วย

"ซีอาร์ 7" ทำสถิติมากมายทั้งลงเล่นยูโร 5 สมัยติดต่อกันและทำประตูได้ทุกครั้ง โดยที่ประตูล่าสุดที่ซัดตีเสมอฝรั่งเศส 2-2 ก็ส่งให้ขึ้นแท่นดาวซัลโวตลอดกาลของทีมชาติเทียบเท่าสถิติของ อาลี ดาอี ที่ 109 ประตู

แน่นอนว่าประตูต่อไปของดาวเตะวัย 36 ปี จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ลูกหนังโลกอีกครั้ง และอาจกลายเป็นประตูที่ทำให้โปรตุเกสยังอยู่บนเส้นทางลุ้นป้องกันแชมป์ยูโรต่อไป


รายที่สองที่ติดเข้ามาคือ โรเมลู ลูกากู หัวหอกตัวเก่งของเบลเยียมที่ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นอันดุดันมาถึงยูโร 2020 หลังเพิ่งนำต้นสังกัด อินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา สมัยแรกในรอบ 11 ปี หมาดๆ

ลูกากู เริ่มต้นด้วยกด 2 ประตูนัดชนะรัสเซีย 3-0 และปิดประตูปิดท้ายนัดชนะฟินแลนด์ 2-0 ส่วนนัด 2 ที่เบลเยียมเบียดชนะเดนมาร์ก 2-1 หัวหอกร่างใหญ่อาจไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่ทั้งสองประตูล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากเขาทั้งสิ้นหลังใช้ความถึกใหญ่ลุยเจาะด้านข้างก่อนสร้างโอกาสให้กับทีม

ถึงตอนนี้ ลูกากู มีสถิติในทีมชาติยอดเยี่ยมสุดๆ ทำไปแล้ว 63 ประตูจาก 96 นัด และด้วยวัย 28 ปีก็มีโอกาสเพิ่มสถิติได้อีกเพียบ และบางทีเขาอาจเป็นคนที่ท้าทายดาวซัลโวตลอดกาลของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็เป็นได้


ส่วนคนสุดท้ายคือ เมมฟิส เดอปาย ดาวยิงตัวความหวังของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่แม้รอบแรกจะทำไปเพียง 2 ประตู แต่ก็มีส่วนร่วมในเกมรุกของทีมเกือบทุกจังหวะ

การเล่นของ เดอปาย เหมือนเป็นทั้งเพลย์เมกเกอร์, ปีก และหน้าเป้าในคนเดียวเพราะจะขยับตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา รู้บทบาทหน้าที่ของตัวเองว่าเมื่ออยู่ในเขตโทษหรือนอกเขตโทษต้องทำอย่างไร การเล่นสไตล์นี้ทำให้ได้บอลอยู่ตลอดแม้จะมีจังหวะทำเสียของอยู่พอสมควรก็ตาม

ปีนี้ เดอปาย ยิงในทีมชาติได้ 7 ประตูจากการลงเล่น 8 นัด และสถิติรวมคือ 28 ประตูจาก 67 นัด ไม่ธรรมดาเลยสำหรับนักเตะที่ไม่ใช่หน้าเป้าอาชีพ



สำรอง : ลูคัส ฮราเด็ชกี้ (ฟินแลนด์), จอร์แดน พิคฟอร์ด (อังกฤษ), เอ็มเมอริค ลาปอร์กต์ (สเปน), มัทไธจ์ เดอลิกต์ (เนเธอร์แลนด์), โรบิน โกเซนส์ (เยอรมัน), จอร์จินโญ่ (อิตาลี), ปิแอร์-ฮอยเบียร์ก (เดนมาร์ก), เควิน เดอ บรอยน์ (เบลเยียม), พาทริค ชิค (สาธารณรัฐเช็ก) 

 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด