โดยเฉพาะรูปเกมที่พวกเขาไม่ได้เป็นรองสังกัดใหม่ของ ศศลักษณ์ ไหประโคน เลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าตลอด 90 นาที สามารถต่อกรได้แบบชนิดที่ว่า นี่หรือคือ 3 เดือนที่พวกเขาไม่มีเกมมาเลย

วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กันว่า เหตุที่ผลงานของพลพรรค "กว่างโซ้งมหาภัย" ยอดเยี่ยมแบบนี้ มาจากอะไรกันแน่!!

การแทบไม่เปลี่ยนแปลงทีม

หลังจบ เอเอฟซี แชมเปี้ยน์ลีก 2020 รอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งทีมไปเล่นกันที่ประเทศกาตาร์ พวกเขามีการเปลี่ยนแปลงทีมไม่มาก เริ่มจาก อี ยอง แร มิดฟิลด์สารพัดประโยชน์ที่ย้ายกลับไปเล่นบ้านเกิด

แต่เบอร์ 8 ก็ว่างได้ไม่นานนัก เพราะว่าทีมได้เลือก โช จี ฮยอน อดีตนักเตะทีมชาติเกาหลีใต้ดีกรีทีมชาติชุดเยาวชนของเกาหลีใต้ โดยเคยเล่นให้กับชุดอายุ U19 , U20 และชุดปรีโอลิมปิก แถมที่มีประสบการณ์โชกโชนใน เค ลีก มามากกว่า 100 นัดให้กับ ซูวอน ซัมซุง บลูวิงส์ , ซังจู ซังมู, กังวอน เอฟซี 

และเมื่อปิดฉากด้วยการเป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ 2020 พวกเขาก็เลือกจะปล่อย ชัยวัฒน์ บุราญ กลับไปสู่ สมุทรปราการซิตี้ การเสียแกนหลักไปเพียงแค่ 2 รายนี้เองที่ทำให้ไม่เสียระบบใดใดของทีมมากมายนัก

ตรงกันข้ามการที่ยังคงรักษานักเตะอย่าง พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, สุริยา สิงห์มุ้ย, วสันต์ ฮมแสน, เอกนิษฏ์ ปัญญา, โชติภัทร พุ่มแก้ว, ชินภัทร์ ลีเอาะ ฯลฯ เอาไว้ได้นี่แหละที่ทำให้ระบบของพวกเขายังคงแข็งแกร่งมากจริงๆ

ทีมชุดนี้เล่นด้วยกันมานาน

นับตั้งแต่ปี 2017 ที่มีการเริ่มซื้อตัวดาวดังเข้ามาสู่ทีม ถึงเวลานี้คนที่ยังเหลือกลายเป็นแกนหลักสำคัญ พร้อมกับเก็บประสบการณ์มากมาย เฉกเช่นเดียวกับโทรฟี่ที่ได้มาหมดแล้วในเมืองไทย

พวกเขาเติบโตขึ้นมา พร้อมกับจังหวะฟุตบอลที่มากกว่าเดิม และที่สำคัญการได้เรียรู้จากกุนซือหลายคน ไม่ว่าจะเป็น อเล็กซานเดร กามา, ไอล์ตัน, มาซามิ ทากิ จนมาถึง เอเมอร์สัน เปไรร่า ทำให้สกิลการพัฒนามีมากจริงๆ

การเจอกับ ชนบุค ฮุนได สิ่งที่เราได้เห็นจากนัดดังกล่าว ก็คือ ความเข้าขาที่ทำออกมาแบบมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น การต่อเกมรุกเข้าไปทำประตู หรือแม้การลงมาช่วยเล่นเกมรับ เข้าใจกันชนิดแค่มองตาก็รู้ใจ

นอกจากนี้ ตัวหลัก 2 ต่างชาติชาวบราซิล ทั้ง บิลล์ โรซิมาร์ ยังสามารถปั่นป่วนเกมรับของทีมดังจากเกาหลีใต้ได้ตลอด รวมไปถึง บรินเนอร์ เอ็นริเก้ ปราการหลังก็ยังคุมเกมรับของทีมได้อย่างมั่นคง ส่วน เฟลิเป้ อโมริม นั้นขอยกไว้ในฐานที่หลายๆ คนคงเข้าใจ

ประสบการณ์ที่มีมากขึ้น

ฤดูกาล 2020 จากการเกิดโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก นั่นทำให้ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2020 รอบแบ่งกลุ่ม ที่ผ่านไปแล้ว 2 เกม จำเป็นต้องไปเล่นอีก 4 เกมที่เหลือ ณ สนามกลางประเทศกาตาร์

โดยพวกเขาต้องเล่นถึง 4 เกม ภายใน 10 วัน ทำให้ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ได้เรียนรู้ในการโรเตชั่น และฟื้นฟูนักเตะสำหรับบอลทัวร์นาเม้นท์ แต่ผลงานกลับดีเลิศเกินคาด แม้ 2 เกมแรกจะแพ้มาก็ตาม

สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เริ่มต้นด้วยการถูก เอฟซี โซล ยิงแบบยับเยิน 5-0 แต่พวกเขาก็ไม่ได้ขวัญกระเจิง เพราะในเกมต่อมากลับเฉือนเอาชนะยอดทีมจาก เค ลีก ของเกาหลีใต้ไป 2-1 ชนิดหักปากกาเซียน

จากนั้นในเกมที่ 5 พบกับ เมลเบิร์น วิคตอรี่ ซึ่งเกมนี้สู้ได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนจะเสมอกันไป 2-2 ปิดท้ายในรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการเจ๊ากับ ปักกิ่ง กั๋วอัน ไป 1-1 เท่ากับว่าจบ 4 แมตช์ "กว่างโซ้ง"เก็บไป 5 คะแนน ถือว่าไม่เลวเลยกับการเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มถ้วยใหญ่เอเชียเป็นครั้งแรก

แม้จะไม่สามารถเข้ารอบต่อไปได้ แต่ถือว่าเป็นการเก็บประสบการณ์ที่ล้ำค่า เพื่อเอามาต่อยอดในการลุย เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2021 รอบแบ่งกลุ่ม และมันก็เป็นข้อเท็จจริงที่พวกเขาต่อกรกับ ชนบุค ฮุนได ได้แบบสูสีแทบไม่เป็นรองเลยก็ว่าได้

โอกาสเข้ารอบยังมี

อีก 5 เกมที่เหลืออยู่ของพวกเขา มี 2 นัดที่จะต้องเจอกับ แทมปิเนส โรเวอร์ส ของสิงคโปร์ ซึ่งวิเคราะห์กันอย่างตรงไปตรงมา ด้วยขุมกำลังของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ไม่น่าจะพลาดที่เก็บ 6 คะแนนเต็มๆ

ส่วนการเจอกับ กัมบะ โอซาก้า ยอดทีมแห่ง เจ ลีก ของญี่ปุ่น ที่เคยคว้าแชมป์เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว 1 สมัย เมื่อฤดูกาล 2008 ถือว่าเป็นงานยากไม่น้อย เพราะพวกเขามี 2 ดาวเตะทีมชาติญี่ปุ่น ทั้ง เกน โชจิ กับ ทากาชิ อูซามิ รวมทั้งอดีตกองหน้าคู่บุญของ ธีรศิลป์ แดงดา ที่เคยเล่นร่วมกัน ณ ซานเฟรซเช่ ฮิโรชิมา อย่าง แพทริค โอลิเวียร่า

และยังมีอีก 1 แมตช์กับ ชนบุค ฮุนได ซึ่งเราได้เห็นแบบชัดเจนแล้วว่า สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด สามารถต่อกรกับทีมระดับนี้ได้เป็นอย่างดี

รอบแบ่งกลุ่มที่เตะแบบ 3 วันหวด 1 เกม ก็มีโอกาสที่ "กว่างโซ้ง" จะพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบได้เช่นกัน เพราะมองๆแล้วถ้าเก็บได้ 9-10 คะแนน เส้นทางสดใสไม่น้อยทีเดียว