:::     :::

อีกสองก้าวของ อิตาลี

วันจันทร์ที่ 05 กรกฎาคม 2564 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,156
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อิตาลี แสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมเขี่ย เบลเยี่ยม ตกรอบยูโร 2020 เรียกเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม

         หลังจากที่ต้องสู้จนถึงต่อเวลาในเกมเอาชนะ ออสเตรีย ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ผ่านมา ลูกทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงอาการก่อนล้าเลยในการกดคู่แข่งให้อยู่หมัดด้วยรูปเกมที่เหนือกว่า

         ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากโชคที่ เควิน เดอ บรอยน์ ไม่ได้ฟิตเต็มที่แม้จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ในขณะที่ เอแด็น อาซาร์ ลงเล่นไม่ได้

         สองกำลังสำคัญในแนวรุกของ เบลเยี่ยม เมื่อมีปัญหาก็ส่งผลถึงเกมรุกของทีมไปมากพอสมควร ยิ่งมาเจอเกมรับอันแข็งแกร่งของทาง "อัซซูรี่" ด้วยแล้วยิ่งยากเข้าไปใหญ่


         หากไม่มีจุดโทษของ โรเมลู ลูกากู ที่จะมองว่าไม่ให้ก็ได้ เพราะจังหวะของ โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ ที่เบียด เฌเรมี่ โดกู แบบนี้เห็นกันบ่อยๆในเกมพรีเมียร์ลีก บางคนกระเด็นไปไกลกว่านี้ยังไม่ได้อะไรเลย

         แต่อย่างว่าเมื่อมันเป็นดุลยพินิจของผู้ตัดสิน แต่ละคนก็มองไม่เหมือนกัน อย่างน้อยสุดท้ายทีมก็ยังเอาชนะและผ่านเข้ารอบตัดเชือกสำเร็จโดยมี สเปน รออยู่ในรอบต่อไป

         ถึงตอนนี้อีกแค่สองก้าวทีมก็จะไปถึงตำแหน่งแชมป์ในแบบที่ไม่มีใครคิดก่อนที่จะเริ่มทัวร์นาเม้นต์แต่ตอนนี้ อิตาลี แสดงให้เห็นแล้วว่ามีดี และพวกเขาไม่ใช่ทีมประเภท "ตีหัวเข้าบ้าน" อีกต่อไป

         จากเกมคู่นี้มีประเด็นที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ฝั่ง อิตาลี เท่านั้น ทางด้านของ เบลเยี่ยม เองก็น่าสนใจเช่นกัน ไปดูว่ามีอะไรกันบ้าง

ยุคทองของ เบลเยี่ยม ที่ล้มเหลว (อีกครั้ง) 


         นับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมาทัพ เบลเยี่ยม ถูกคาดหมายว่าจะประสบความสำเร็จในรายการระดับเมเจอร์ได้ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลกหือฟุตบอลยูโรด้วยจุมกำลังที่แข็งแกร่งของทีม

         นักเตะเกือบทั้งทีมค้าแข้งอยู่กับบรรดาสโมสรใหญ่ของยุโรป ล้วนเป็นนักเตะมีชื่อเสียงและมีฝีเท้ายอดเยี่ยม ได้รับการยกย่องอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการลูกหนัง

         แต่ทว่าตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2014 เรื่อยมาจนถึงศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในครั้งนี้ทีมอันดับ 1 ของฟีฟ่ากลับไปไม่ถึงฝั่งฝันได้ ดีที่สุดคือรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 2018 ส่วนอีกที่เหลือจอดป้ายแค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้นเช่นเดียวกับในครั้งนี้ด้วย

         ความพ่ายแพ้ให้กับ อิตาลี ล่าสุดแสดงให้เห็นอีกครั้งว่านี่คือความล้มเหลวของทีมที่เต็มไปด้วยสตาร์ดัง โดยเฉพาะในแนวรุกที่เอ่ยชื่อชึ้นมาใครก็รู้จัก

         บางทีในฟุตบอลโลก 2022 ปีหน้าอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของทีมในเจเนเรชั่นนี้ประสบความสำเร็จได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงเป็นแบบเดียวกับ อังกฤษ ยุคทองต้นปี 2000 ที่ลงเอยด้วยความล้มเหลวไป

อิตาลี กับการเสีย เลโอนาร์โด้ สปินัซโซล่า


         หนึ่งในดาวเด่นของ อิตาลี และการแข่งขันยูโร 2020 ในครั้งนี้ต้องมีชื่อของ เลโอนาร์โด้ สปินัซโซล่า อย่างไม่ต้องสังสัย

         แข้งวัย 28 ปีเป็นส่วนสำคัญของทีม "อัซซูรี่" ทั้งในเกมรับและเกมรุกที่สอดประสานกับเพื่อนร่วมทีมได้อบ่างยอดเยี่ยม และทำได้ดีในเกมที่ทีมเอาชนะของแข็งอย่าง เบลเยี่ยม ในรอบก่อนรองชนะเลิศ

         แต่ทว่าการวิ่งขึ้น-ลงตลอดทั้งเกมส่งผลให้เจ้าตัวต้องบาดเจ็บเอ็นร้อยหวายและต้องโบกมือลาแคมป์ทีมชาติเพื่อเดินทางไปผ่าตัดรักษาอาการแล้ว โดยรายงานเบื้องต้นคาดว่าเจ้าตัวอาจจะต้องพักรักษาตัวนานถึง 4 เดือนเลย

         จาก 4 เกมที่ลงเล่นยูโรหนนี้เจ้าตัวได้รางวัลแมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ไปสองหนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่มีต่อทีมอย่างชัดเจน

         คาดว่า เอแมร์ซอน พัลมิเอรี่ ที่เล่นในตำแหน่งเดียวกันจะได้ลงทำหน้าที่ หรือมีอ็อปชั่นอย่าง อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ กับ โจวานี่ ดิ ลอเรนโซ่ ที่เป็นแบ็กขวาก็สามารถไปยืนทางซ้ายด้วยเหมือนกัน

         รอดูว่า โรแบร์โต้ มันชินี่ จะพลิกแพลงหรือเล่นไปตามตำแหน่งเหมือนอย่างในเกมกับ เวลส์ ในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม

การกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ของ อิตาลี


         ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าฟุตบอลอิตาลีเผชิญหน้ากับความผิดหวังเต็มๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟุตบอลโลก 2018 ที่ทีมถึงขั้นตกรอบคัดเลือกไปแบบช็อคแฟนบอลทั้งประเทศ

         การเดินทางสู่ยูโร 2020 ทำให้ไม่มีใครมองว่าพวกเขาเป็นทีมเต็งแชมป์เหมือนพวก อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, เบลเยี่ยม หรือแม้แต่ โปรตุเกส แต่ชัยชนะในรอบก่อนรองชนะเลิศทำให้ความหวังกลับมาเรืองรองอีกครั้ง

         อิตาลี คว้าชัยชนะ 10 เกมรวดในรอบคัดเลือก และในรอบแบ่งกลุ่มก็ชนะ 3 เกมรวดแบบไม่เสียประตู ซึ่งแม้จะมีผลงานน่าประทับใจแต่กระนั้นก็ยังมีเสียงวิจารณ์ว่าพวกเขาเจอกับทีมที่ไม่แกร่งอะไรมากมาย

         อย่างที่รู้ว่าชัยชนะเหนือ เบลเยี่ยม ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นกดดันทีมของ โรเบร์โต้ มาร์ตีเนซ อยู่หมัดต้องปรบมือดังๆให้กับ โรแบร์โต้ มินชินี่ จริงๆ

         ถึงตอนนี้สาวกอัซซูรี่ได้กลับมาดูบอลอย่างมีความสุขและหวังถึงแชมป์ได้อีกครั้ง ซึ่งหนสุดท้ายที่ทีมได้แชมป์รายการนี้ต้องย้อนไปถึงปี 1968 หรือต้องบอกว่านักเตะในทีมชุดนี้ยังไม่เกิดกันด้วยซ้ำ

เกมรับที่ถูกมองข้ามของ เบลเยี่ยม


         บรรดานักเตะในแนวรุกของ เบลเยี่ยม นั้นต้องบอกว่าเมื่อเอ่ยชื่อขึ้นมาแต่ละคนล้วนน่าตื่นตาตื่นใจด้วยกันทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ถูกมองข้ามไปคือเกมรับที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายนัก

         ยาน แฟร์ต็องเก้น, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ และ โธมัส แฟร์มาเล่น คือสามประสานที่ลงสนามในเกมกับ อิตาลี ซึ่งแต่ละคนอายุเลยเลข 3 ด้วยกันทั้งสิ้น

         กรุณาอย่าเอาไปเปรียบกับ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กับ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ที่อยู่มากกว่า แต่คู่นี้เล่นด้วยกันมาอย่างยาวนานเกินกว่า 10 ปีทั้งในสโมสรและทีมชาติ ความเข้าขารู้ใจกันย่อมมากกว่า

         ในรายของ แฟร์ต็องเก้น กับ อัลเดอร์ไวเรลด์ ไม่เท่าไรเพราะยังค่าแข้งในยุโรป แต่การใช้ แฟร์มาเล่น ที่ไปค้าแข้งไกลถึงญี่ปุ่นที่ต้องบอกว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานยุโรป

         แน่นอนว่ากองหลังที่มีประสบการณ์จำเป็นต่อเกมระดับนานาชาติ แต่เกมรับของ เบลเยี่ยม ดูจะไม่ได้เป็นอย่างที่แฟนบอลคาดหวัง

         ความประมาทของ ยาน แฟร์ต็องเก้น ทำให้ทีมเสียประตูแรก นั่นคือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อคุณประมาทคู่ต่อสู้อย่าง ลอเรนโซ่ อินซินเย่ ที่อยู่ในระดับท็อปของเซเรีย อานำมาซึ่งการจบสกอร์ของ นิโกโล่ บาเรลล่า 

         ไม่รู้ว่าเมื่อถึงฟุตบอลโลก 2022 ในปีหน้า จะเหลือใครอยู่ในทีม แต่เชื่อได้เลยว่า โธมัส แฟร์มาเล่น คงจะหมดโอกาสแน่

ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ ลอเรนโซ่ อินซินเย่


               ลอเรนโซ่ อินซินเย่ คือหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้สม่ำเสมอมากที่สุดในกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลีในช่วงหลังปีที่ผ่านมา แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้รับการยกย่องในฝีเท้ามากเท่าที่ควร

         แต่ในยูโรหนนี้เขาได้แสดงฝีเท้าให้โลกได้เห็นเต็มๆนับตั้งแต่เกมแรกมาจนถึงเกมล่าสุด จากประตูแรกในเกมกับ ตุรกี มาถึงประตูในเกมกับ เบลเยี่ยม โดยเฉพาะลูกล่าสุดที่เป็นเครื่องหมายการค้ากับการปั่นบอลเสียบตาข่ายสุดสวย

         นอกเหนือจากประตูที่ทำได้แล้ว ความขยันในการเล่นต้องบอกว่ายอดเยี่ยม ช่วยเพื่อนได้ทั้งเกมรุกและเกมรับ เล่นอย่างมีวินัยสุดๆ

         ไม่แปลกใจที่เกมนี้ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ จะได้รับการเลือกให้คว้ารางวัลแมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ไปครอง และหากทีมไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้ ไม่แน่ว่ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมอาจจะอยู่ไม่ไกลด้วย



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด