:::     :::

ช่วยกันเชียร์อิตาลี!

วันศุกร์ที่ 09 กรกฎาคม 2564 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,139
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หลังฟาดฟันกันมาร่วมหนึ่งเดือน ในที่สุดเราก็ได้คู่ชิงชนะเลิศของศึกยูโร 2020 เป็นที่เรียบร้อย เป็นการพบกันระหว่าง อิตาลี กับ อังกฤษ

         การเข้ามาถึงรอบนี้ของทัพ "อัซซูรี่" ถือว่าเป็นม้านอกสายตา ต่างจากฝั่ง "สิงโตคำราม" ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมเต็งที่จะคว้าแชมป์อยู่แล้ว

         แต่ก็ต้องยอมรับว่าเกมกับ สเปน ในรอบตัดเชือกนั้นทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เอาตัวรอดมาได้แบบหวุดหวิดเหมือนกันกว่าจะดวลจุดโทษเอาชนะมาได้

         อย่างที่รู้ว่าทีมจากแดนรองเท้าบู๊ตชุดนี้ได้รับการยกย่องว่าทำลาย "คาเตนัชโช่" ในอดีตของทีมรุ่นพี่ที่ผ่านมา แต่เมื่อพวกเขาจำเป็นที่จะต้องงัดกลยุทธนี้มาใช้ก็ถือว่าทำได้ดีเลย


         โดยเฉพาะการประสานงานของสองผู้เฒ่าอย่าง จอร์โจ้ คิเอลลินี่ และ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ที่สอดประสานกันได้อย่างดีเยี่ยม

         เกมในรอบรองชนะเลิศเป็นตัวอย่างชั้นดีเมื่อพวกเขาต้องเจอกับการกดดันจาก สเปน ที่ครองเกมบุกมากว่า ทีมก็ไม่ลนลานที่จะลงไปสกัดเกมรับ

         แม้คนมากมายอาจจะมองว่าฝั่งกระทิงดุขาดความเด็ดขาดในจังหวะสุดท้ายกันไปเอง สถิติหลังจบเกมทุกอย่างเป็นตัวบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าทีมของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ครองบอลมากกว่า 65 ต่อ 35 เปอร์เซ็นต์ โอกาสยิงมากกว่า 16 ต่อ 7 (เข้ากรอบ 4 เท่ากัน) ผ่านบอลมากกว่าเกือนเท่าตัวที่ 932 ครั้งต่อ 418 ครั้ง และเข้าเป้าที่ 832 ครั้งต่อ 319 ครั้ง

         ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า สเปน เหนือกว่าแทบทุกรูปกระบวน

        

         แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายต้องปรบมือให้กับ อิตาลี โดยเฉพาะในเกมรับที่ช่วยกันป้องกันไว้ได้

         เอาแบบไม่ต้องมองที่ผ่านมา นับเฉพาะแค่ในทัวร์นาเม้นต์นี้พวกเขาคือทีมที่มีความยืดหยุ่นที่จะบอกว่ามากกว่าใครก็ไม่น่าเกลียด

         ทีมพร้อมเปิดเกมบุกใส่คู่แข่งอย่างที่เห็นมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ในยามบุกเจาะไม่เข้าถอยมาเล่นเกมรับให้คู่แข่งบุกเพื่อเปิดช่องให้กับทีม หรือเมื่อต้องเล่นเกมรับก็ยังมีความเหนียวแน่น

         นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องมีเกมที่เหนือกว่าคู่แข่งอยู่ตลอดเวลาเสมอไป แต่ท้ายที่สุดแล้วสามารถคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการมาได้


         อย่างที่บอกว่าเกมกับ "กระทิงดุ" นั้นทางฝั่ง อิตาลี เป็นรองทุกกระบวนท่า โดยเฉพาะแดนกลางที่เป็นจุดเด่นทั้ง จอร์จินโญ่, มาร์โก แวร์รัตติ และ นิโกโล่ บาเรลล่า กลับเล่นออกมาเป็นรอง โกเก้, เปดรี้ และ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ โดยเฉพาะรายหลังพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสำคัญกับทีมมากขนาดไหน

         ถึงกระนั้นโอกาสที่มากมายของ สเปน ก็ไม่อาจจะเจาะแนวรับของ อิตาลี เข้าไปได้ ยกเว้นลูกทำชิ่งที่ อัลบาโร่ โมราต้า หลุดเข้าไปทำประตูตีเสมอ

         สองเซนเตอร์จอมเก๋าในนัดนี้เรียกได้ว่าไม่เสียทีที่ถูกเรียกว่า "เก๋า" แถมยังสู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ช่วยให้เกมรุกของทีมเวลามีโอกาสกล้าบุกมากขึ้น และก็นำมาซึ่งประตูขึ้นนำ

         แม้กระทั่งในช่วงต่อเวลาพิเศษเกมก็ยังเป็นรอง แต่สามารถยันเสมอไว้ได้นำไปสู่การตัดสินด้วยการดวลเป้า

        

         การออกสตาร์ทคนแรกด้วยการยิงพลาดของ มานูเอล โลคาเตลลี่ สร้างความวิตกเพียงแค่ครู่เดียวเมื่อ ดานี่ โอลโม่ คนแรกของทางฝั่ง สเปน เองก็พลาดเช่นกัน

         นั่นอาจจะนำมาซึ่งความมั่นใจที่ทำให้หลังจากนั้นอีก 4 คนทั้ง อันเดรีย เบล็อตติ, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, เฟเดริโก้ แบร์นาเดสคี่ และ จอร์จินโญ่ ไม่พลาดเลย ส่วนอีกฝั่ง อัลบาโร่ โมราต้า พลาดส่งให้ อิตาลี ชนะไป 4-2 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปได้ เขี่ย สเปน ตกรอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรกในการเล่นรายการเมเจอร์ทั้งฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโรด้วย

         ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ อิตาลี เข้าชิงถ้วยทัวร์นาเม้นต์ใหญ่เป็นครั้งที่ 10 (ยูโร 4 ครั้ง - ฟุตบอลโลก 6 ครั้ง) สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 รองแค่ เยอรมัน (14) ชิาติเดียวเท่านั้น โดยจาก 9 ครั้งแรกทีมได้แชมป์ 5 ครั้ง (ฟุตบอลโลก 4 - ยูโร 1)

         นอกจากนี้พวกเขายังมีนักเตะถึง 5 คนที่ยิงได้มากกว่า 2 ประตูในทัวร์นาเม้นต์นี้ทั้ง เฟเดริโก้ เคียซ่า, มัตเตโอ เปสซิน่า, ลอเรนโซ่ อินซินเย่, ชิโร่ อิมโมบิเล่ และ มานูเอล โลคาเตลลี่ ถือเป็นทีมที่สองในประวัติศาสตร์ของรายการนี้ต่อจาก ฝรั่งเศส เมื่อปี 2000 ที่ในปีนั้นก็เอาชนะพวกเขาไปคว้าแชมป์นี่แหละ

                

         หันไปดูที่ฝั่ง อังกฤษ กันหน่อยที่มีประเด็นร้อนแรงจากจุดโทษในช่วงต่อเวลาพิเศษที่นำมาซึ่งประตูชัยแม้ แฮร์รี่ เคน จะยิงจังหวะแรกไม่เข้าแต่ยังซ้ำดาบสองเข้าไป

         การได้มากของจุดโทษจังหวะที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ล้มลงในกรอบยังเป็นข้อถกเถียงในวงกว้างที่แม้แต่ มาร์ค แคล็ทเท่นเบิร์ก อดีตผู้ตัดสินมือหนึ่งยังมองว่าไม่ควรได้ แถมยังมีการยิงแสงเลเซอร์ใส่หน้าของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล อีกต่างหาก

         แน่นอนว่างานนี้สื่ออิตาลีทั้งหลายเองก็ไม่พลาดแซะว่า อังกฤษ ต้องพึ่งผู้ตัดสินถึงผ่านเข้ามารอบชิงชนะเลิศได้


         นั่นทำให้น่าจะเกิด "กองแช่ง" หรือพวกหมั่นไส้อยากให้ทัพ อังกฤษ แพ้ในเกมชิงชนะเลิศมากกว่า

         น่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับฝั่ง อิตาลี ที่คนหันมาเอาใจช่วย แม้จริงๆแล้วยังไงพวกเขาก็แรงใจแรงกายเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว และทาง อังกฤษ เองก็คงไม่ได้สนใจเพราะยังไงเล่นในเวมบลีย์บ้านตัวเอง แฟนบอลในประเทศและในสนามย่อมมีมากกว่า

         เพราะฉะนั้นแล้วเรามาเอาใจช่วย อิตาลี กันเถอะ!


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด