:::     :::

เกร็ดจากเกมชิงชนะเลิศยูโร 2020

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,180
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปประจำปีนี้เป็น อิตาลี ที่สมหวังคว้าแชมป์ไปครองหลังเอาชนะ อังกฤษ ในการดวลจุดโทษหลังจากที่เสมอกันในเวลา 120 นาที

         ทัพสิงโตคำรามเริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่ไก่โห่ แต่สุดท้ายนอกจากจะหาโอกาสทองบวกประตูเพิ่มไม่ได้ยังมาเสียประตูตีเสมอด้วย

         สกอร์ยื้อกันจนถึงช่วงต่อเวลาและจบลงด้วยการที่ต้องดวลเป้า แม้ทาง อันเดรีย เบล็อตติ จะยิงพลาดก่อนแต่ทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เจดอน ซานโช่ ก็มาพลาดกันหมด เช่นเดียวกับคนสุดท้ายของ "อัซซูรี่" อย่าง จอร์จินโญ่ จะพลาดให้ "สิงโตคำราม" มีโอกาสตีเสมอ ทว่า บูกาโย่ ซาก้า ก็ยังมาพลาดส่งให้ อิตาลี เป็นแชมป์

         มาดูบทสรุปจากเกมนี้ว่ามีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง

จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กัปตันทีมที่อายุมากที่สุดที่ออกสตาร์ทในเกมชิงยูโร


         แม้จะอายุถึง 36 ปีแล้ว แต้องยอมรับว่าการเล่นของ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ดูแข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยความสดราวกับว่าอยู่ในวัยยังไม่ถึงเลข 3 เลย

         ในเกมชิงชนะเลิศกับ อังกฤษ เขาจัดการแนวรับได้อย่างดีเยี่ยม บัญชาเกมได้แข็งแกร่งแม้ว่าจะเสียประตูแรกไปอย่างรวดเร็วให้กับ ลุค ชอว์

         ไม่ใช่แค่เกมรับเพียงอย่างเดียว เขายังเกือบทำประตูตีเสมอให้ทีมได้ด้วย ก่อนที่ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ คู่ขาในแดนหลังจะมาทำสำเร็จ

         การสวมปลอกแขนกัปตันในเกมนี้ทำให้เจ้าตัวเป็นกัปตันทีมที่อายุมากที่สุดที่ออกสตาร์ทในเกมยูโรในวัย 36 ปี 331 วัน ทำลายสถิติเดิมของเพื่อนร่วมชาติอย่าง จานลุยจิ บุฟฟ่อน ที่ทำไว้ 34 ปี 154 วัน ในเกมชิงชนะเลิศยูโร 2012 กับ สเปน

ลุค ชอว์ กับประตูเร็วที่สุดในเกมชิงชนะเลิศยูโร


         15 เกมกับการติดทีมชาติของ ลุค ชอว์ ก่อนลงเล่นเกมชิงชนะเลิศยูโรถือว่าไม่เยอะเลย และที่ผ่านมาเจ้าตัวก็ยังไม่เคยทำประตูได้เลยด้วย

         กระทั่งเกมที่ 16 แบ็กซ้ายจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จัดการสอยประตูแรกของตัวเองจังหวะที่ดันเกมสูงเข้าเขตโทษด้านซ้ายก่อนวอลเล่ย์ลูกเปิดจากอีกฝั่งของ คีแรน ทริปเปียร์ เข้าประตูไปหลังเกมผ่านไปไม่ถึง 2 นาที

         ประตูในนี้กลายเป็นประตูที่เร็วที่สุดในเกมชิงชนะเลิศของศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป โดยหากเอาตัวเลขเป๊ะๆก็คือ 1.57 นาทีของเกมนั่นเอง

เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ แข้งอายุเยอะสุดที่ทำประตูในเกมชิงยูโร

        

         กองหลังสักคนหนึ่งจะทำได้สักกี่ประตูในอาชีพค้าแข้งของตัวเอง โดยเฉพาะประตูสำคัญอย่างในเกมชิงชนะเลิศยูโรแบบนี้

         ก่อนหน้านี้กับการลงสนามในนามทีมชาติมากกว่า 100 เกม เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ทำได้เพียงแค่ 7 ประตูเท่านั้น กระทั่งในเกมชิงถ้วยกับ อังกฤษ นี่แหละที่มาทำประตูที่ 8 ของตัวเองในนามทีมชาติ

         และประตูนี้เองถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทีมก้าวไปคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 ของประเทศ โดยเป็นสมัยแรกของ โบนุชชี่ หลังจากที่เคยผิดหวังจากเกมชิงชนะเลิศเมื่อปี 2012 มาแล้ว

         สกอร์ในเกมนี้ทำให้ โบนุชชี่ จารึกชื่อเป็นนักเตะที่อายุมากที่สุดที่ทำประตูได้ในเกมชิงชนะเลิศยูโรในวัย 34 ปีกับ 71 วัน ทำลายสถิติของ แบร์นด์ โฮลเซนไบน์ กองหน้าทีมชาติเยอรมันตะวันตกที่ทำไว้ในยูโร 1976 ในวัย 30 ปี 103 วัน

บูกาโย่ ซาก้า แข้งอายุน้อยสุดอันดับ 4 เล่นเกมชิงยูโร


         แข้งดาวรุ่งจาก อาร์เซน่อล ถือว่ามีทัวร์นาเม้นต์ที่น่าประทับใจทีเดียวในการรับใช้ทีมชาติอังกฤษพร้อมกับได้รับคำชมอย่างมากเลย

         หลังถูกส่งลงสนามนาทีที่ 70 ของเกมแทนที่ คีแรน ทริปเปียร์ ในเกมชิงชนะเลิศกับ อิตาลี ทำให้ บูกาโย่ ซาก้า เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดเป็นอันดับ 4 ที่ลงเล่นในเกมชิงชนะเลิศยูโรในวัย 19 ปีกับอีก 309 วันเท่านั้น

         สำหรับสถิติเด็กที่สุดเป็นของ เรนาโต้ ซานเชส ที่ลงเล่นให้ โปรตุเกส ในเกมชิงชนะเลิศเมื่อปี 2016 ในวัย 18 ปีกับ 327 วัน ส่วนอันดับสองเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เมื่อปี 2004 และอันดับสาม อนาโตลี ไบดาชนี่ ย้อนไปเมื่อปี 1972

จานลุยจิ ดอนนารุมม่า มือกาวคนที่สองคว้าแข้งยอดเยี่ยม


         ไม่บ่อยนักที่ผู้รักษาประตูจะได้รับการจารึกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเม้นต์ไม่ว่าจะรายการไหนก็ตาม เพราะส่วนใหญ่รายวัลนี้จะตกเป็นของผู้เล่นในแนวรุกเท่านั้น

         แต่ในยูโร 2020 เป็น จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ที่ทำได้อย่างโดดเด่น เป็นนักเตะที่ลงเล่นมากที่สุด 719 นาที และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเซฟจุดโทษให้ทีมได้แชมป์ยูโรครั้งนี้ไปครอง

         นายทวารวัย 22 ปีได้รับเลือกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันปีนี้ โดยเป็นผู้รักษาประตูคนที่สองต่อจาก ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ที่เคยทำไว้สมัย "เทพนิยายเดน" เมื่อปี 1992

จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ไม่เคยแพ้ในการดวลจุดโทษ


         ถึงนาทีนี้ชื่อของ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า คงเป็นชื่อที่แฟนบอลไม่น้อยหันมาให้ความสนใจจากผลงานอันยอดเยี่ยมในยูโร 2020

         แม้จะอายุเพียง 22 ปีแต่เจ้าตัวผ่านการลงสนามกับ เอซี มิลาน ไปแล้วมากกว่า 250 เกม และลงเล่นในทีมชาติอิตาลีไปแล้วมากถึง 33 นัดด้วยกัน ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวกำลังจะเป็นสมาชิกใหม่ของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง

         มีการเปิดเผยสถิติออกมาว่า ดอนนารุมม่า ยังไม่เคยพ่ายแพ้เลยในการดวลเป้าไม่ว่าจะกับสโมสรและทีมชาติ โดยแบ่งเป็น 3 ครั้งกับ เอซี มิลาน และอีก 2 ครั้งกับ อิตาลี (ในยูโร 2020 ทั้งหมด)

         แบบนี้แล้วใครได้ตัวไปร่วมทีมนี่คงอุ่นใจได้บ้างหากต้องสู้กันจนถึงขั้นดวลเป้า

อังกฤษ แพ้ดวลเป้าในยูโรมากกว่าทุกชาติ


         ความพ่ายแพ้ในการดวลเป้าให้กับ อิตาลี ถือเป็นครั้งที่ 4 แล้วที่ อังกฤษ พ่ายแพ้ในการยิงจุดโทษในฟุตบอลยูโรซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเหนือชาติอื่น

         เริ่มจากยูโร 1996 อันโด่งดังที่แพ้ให้กับ เยอรมัน 5-6 ในรอบรองชนะเลิศ ตามด้วยในรอบ 8 ทีมสุดท้ายในยูโร 2004 ที่แพ้ โปรตุเกส 2-4 และแพ้ อิตาลี ในยูโร 2012 ในรอบเดียวกันด้วยสกอร์ 2-3 กระทั่งในเกมชิงชนะเลิศหนนี้ที่แพ้ "อัซซูรี่" อีกครั้งด้วยสกอร์เดียวกัน

         หนเดียวที่ชนะคือการเอาชัยเหนือ สเปน 4-2 ในรอบก่อนรองชนะเลิศยูโร 1996 ก่อนที่จะไปจบเส้นทางในรอบตัดเชือกกับ เยอรมัน 

         หากนับรวมกับรายการใหญ่อย่างฟุตบอลโลกด้วยแล้ว อังกฤษ ชนะการดวลเป้าเพียง 2 หน และแพ้ถึง 7 ครั้งด้วยกัน ถือว่าแย่ที่สุดหากนับทีมที่ต้องดวลเป้าไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งขึ้นไป

อิตาลี ขอเกมเดียวกับสถิติไม่แพ้ใครนานที่สุดในโลก


         ตลอดเส้นทางของยูโร 2020 อิตาลี รักษาสถิติไม่แพ้ใครจนก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ เท่ากับว่าพวกเขาไม่แพ้ใครมานานนับตั้งแต่ปี 2018 แล้ว หลังจากที่แพ้ โปรตุเกส 0-1 ในเกมเนชั่นส์ ลีก

         จนถึงตอนนี้ อิตาลี ไม่แพ้ใครมานาน 34 เกมรวมทุกรายการ โดบเก็บชัยนชนะได้ถึง 29 เกมด้วย (รวมต่อเวลาพิเศษและจุดโทษ) 

         สถิติไม่แพ้ใครยาวนานที่สุดปัจจุบันเป็นของ บราซิล และ สเปน ที่ครองร่วมกันที่ 35 เกม เท่ากับว่าตอนนี้ อิตาลี เหลืออีกนัดเดียวเท่านั้นก็จะทำสถิติเทียบเท่าแล้วและมีโอกาสทำลายด้วย

อิตาลี แชมป์เมเจอร์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของยุโรป


         ชัยชนะเหนือ อังกฤษ ถือเป็นการคว้าแชมป์ยุโรสมัยที่ 2 เท่านั้นของ อิตาลี หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยได้แชมป์มาครองเมื่อปี 1968

        สถิติน่าจะมากกว่านี้โดยทีมเคยเป็นรองแชมป์อีก 2 สมัยในปี 2000 และ 2012 และได้อันดับ 4 อีก 1 สมัยในปี 1980

        แชมป์ในครั้งนี้ทำให้ทีมคว้าแชมป์รายการใหญ่เป็นสมัยที่ 6 โดยบวกกับแชมป์โลกอีก 4 สมัย ทำให้พวกเขาเป็นรองแค่ เยอรมัน ทีมเดียวเพียงทีมเดียวเท่านั้น (7 แชมป์) โดยทัพอินทรีเหล็กได้แชมป์โลก 4 สมัยเท่ากัน แต่ได้แชมป์ยูโร 3 สมัย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด