กลายเป็นข่าวที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างหลัง 'เอล กอนฟีเดนซีอัล' ปล่อยคลิปเสียงของ ฟลอเรนตีโน่ เปเรซ ประธาน เรอัล มาดริด ที่กล่าวถึง ราอูล กอนซาเลซ กับ อีเกร์ กาซียาส สองตำนานของทัพ 'โลส บลังโกส' ว่าเป็นการ 'หลอกลวง' ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร

มีการอ้างว่าคลิปเสียงดังกล่าวถูกบันทึกไว้เมื่อปี 2006 ตอนที่ ฟลอเรนตีโน่ ก้าวลงจากตำแหน่งประธานสโมสรในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนที่ 'เอล กอนฟีเดนซีอัล' จะปล่อยคลิปดังกล่าวสู่สาธารณะ

ฟลอเรนตีโน่ ก้าวขึ้นมาเป็นประธาน เรอัล มาดริด สมัยแรกเมื่อปี 2000 หลังโค่น โลเรนโซ่ ซานซ์ ซึ่งนำทีมชุดขาวคว้าแชมป์ยุโรป 2 สมัย ในปี 1998 กับ 2000 หลังการเน้นย้ำถึงปัญหาทางการเงินของสโมสรและการจัดการที่ผิดพลาดของทีมบริหารชุดก่อนหน้านั้น 

เขาฉกตัว หลุยส์ ฟิโก้ ซูเปอร์สตาร์จากคู่ปรับสำคัญอย่าง บาร์เซโลน่า มาร่วมทีมตามคำมั่นสัญญาหลังก้าวขึ้นมาเป็นประธานสโมสรคนใหม่ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุค 'กาลาคติโกส' จากการเซ็นสัญญากับแข้งดาวดังตามมาอย่างต่อเนื่อง 

ปี 2001 เซ็นสัญญากับ ซีเนดีน ซีดาน จาก ยูเวนตุส, โรนัลโด้ นาซารีโอ ย้ายมาจาก อินเตอร์ มิลาน ในช่วงซัมเมอร์ปี 2002 ต่อด้วย เดวิด เบ็คแฮม จาก แมนฯยูไนเต็ด ปี 2003 และ ไมเคิ่ล โอเว่น ในปีถัดมา นั่นทำให้ ฟลอเรนตีโน่ ได้รับคะแนนโหวตอย่างท่วมท้นจากสมาชิกสโมสรให้ดำรงตำแหน่งประธานอีกสมัยในปี 2004 ถึง 94.2 เปอร์เซ็นต์ 

นโยบายของ ฟลอเรนตีโน่ ประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจาก 'กาลาคติโกส' ช่วยสร้างความสมดุลระหว่างเกมบุกและการป้องกัน ในช่วงปีแรกๆที่เขานั่งเก้าอี้ประธาสโมสร เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลีกเมืองกระทิง 2 ครั้งและแชมเปี้ยนส์ลีกสมัยที่ 9 พร้อมการกล่าวอ้างว่าเขาช่วยเคลียร์ปัญหาหนี้สินของสโมสร แต่มันขัดแย้งกับความเห็นของ ราม่อน กัลเดร่อน 

จุดตกต่ำของ เรอัล มาดริด เริ่มต้นหลังจบฤดูกาล 2002-2003 หลัง ฟลอเรนตีโน่ ตัดสินใจแยกทางกับเทรนเนอร์ บีเซนเต้ เดล บอสเก้ รวมถึงการปล่อย โคล้ด มาเกเล่ ย้ายไปค้าแข้งกับ เชลซี ที่ เฟร์นานโด เอียร์โร่ อดีตกัปตันทีมชุดขาวระบุว่า 'การสูญเสีย มาเกเลเล่ เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของ โลส กาลาคติโกส คุณจะเห็นได้ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นรุ่งอรุณใหม่ของ เชลซี ด้วยเช่นกัน'

แม้ว่านโยบายของ ฟลอเรนตีโน่ จะส่งผลให้สโมสรประสบความสำเร็จทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการใช้ประโยชน์จากศักยภาพทางการตลาดระดับสูงของสโมสรทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย 

แต่ในทางกลับกันความสำเร็จดังกล่าวอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันสำหรับการมุ่งเน้นเรื่องการตลาดของแบรนด์ เรอัล มาดริด มากกว่าการเน้นความสำคัญเรื่องฟุตบอล 

จากความกดดันที่ถาโถมเข้ามารอบด้าน นั่นทำให้ ฟลอเรนตีโน่ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2006 พร้อมยอมรับว่าทีมและสโมสรต้องการแนวทางใหม่ 

ทว่าเบื้องหลังการลาออกจากตำแหน่งเมื่อ 15 ปีก่อนของ ฟลอเรนตีโน่ มีอะไรมากกว่านั้น หลังมีการปล่อยคลิปเสียงว่าการลงจากตำแหน่งครั้งแรกของเขา ส่วนหนึ่งมาจาก ราอูล และ กาซียาส

ฟลอเรนตีโน่ หวนกลับมานั่งเก้าอี้ประธาน เรอัล มาดริด อีกครั้งในปี 2009 พร้อมการสร้าง กาลาคติโกส เวอร์ชั่น 2 ด้วยการเซ็นสัญญากับ ริคาร์โด้ กาก้า จาก เอซี มิลาน, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จาก แมนฯยูไนเต็ด, ชาเบียร์ อลอนโซ่ จาก ลิเวอร์พูล และ คาริม เบนเซม่า จาก ลียง ต่อด้วย เมซุต โอซิล และ อังเคล ดิ มาเรีย ในปีถัดมา

แต่ทั้ง ราอูล กอนซาเลซ กับ อีเกร์ กาซียาส ถูกเขี่ยพ้นสโมสรหลังการกลับมาของ ฟลอเรนตีโน่ 

ราอูล ที่เติบโตมาจากทีมเยาวชนและก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 1994 ก่อนสิ้นสุดฐานะนักเตะชุดขาวในช่วงซัมเมอร์ปี 2010 หลังย้ายซบ ชาลเก้ ส่วน กาซียาส ย้ายมาเฝ้าเสาให้ เอฟซี ปอร์โต้ ในช่วงหน้าร้อนปี 2015 

ก่อนทั้งคู่จะยุติอาชีพค้าแข้งและกลับมาทำงานกับสโมสรอีกครั้ง โดย ราอูล ทำงานฐานะเทรนเนอร์ทีมเยาวชนก่อนเลื่อนขึ้นมากุมบังเหียน เรอัล มาดริด กาสตีย่า ในปัจจุบัน ส่วน กาซียาส กลับมาทำงานร่วมกับมูลนิธิ เรอัล มาดริด 

'เขาไม่ดีพอที่จะเป็นผู้รักษาประตูให้ เรอัล มาดริด คุณต้องการจะพูดอะไร?' ฟลอเรนตีโน่ พูดถึง กาซียาส ที่ลงเฝ้าเสาครั้งแรกให้กับทีมชุดขาวในปี 1999 ในคลิปเสียง 'เขาไม่ใช่ และเขาไม่เคยเป็น' 

'มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เราทำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ (เสียงแตก) พวกเขารักเขา พวกเขาต้องการคุยกับเขา ผมไม่รู้ พวกเขาปกป้องเขามาก แต่เขาเป็นหนึ่งในการหลอกลวงครั้งใหญ่ของมาดริด อีกคนคือ ราอูล สองการหลอกลวงครั้งใหญ่สุดที่ มาดริด เป็น ราอูล ตามมาด้วย กาซียาส'

'(ซีเนดีน) ซีดาน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม และ (เดวิด) เบ็คแฮม และ โรนัลโด้ (นาซารีโอ) แต่มีคนอื่นที่คิดแบบนั้น เรามาดูกัน ราอูล เป็นคนแย่มาก'

'เขาคิดว่า มาดริด เป็นของเขา และเขาใช้ทุกอย่างที่มีในมาดริด พัฒนาทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเขาเอง เขาและตัวแทนของเขา พวกเขาโทษมาดริดว่าทำผลงานไม่ดี'

'ฟังนะ ผมจากไปด้วยหลากหลายเหตุผล ส่วนหนึ่งเพราะเขา เพราะเขาคิดว่าเวลาของเขากำลังจะหมดลงแล้ว เขาพูดว่า 'ก่อนที่ผมจะไป ผมจะจบมาดริด' เขาเป็นคนแง่ลบ เขากำลังทำลาย มาดริด และขวัญกำลังใจของนักเตะ ดังนั้นผู้คนจึงพูดว่า 'มันเป็นเพราะมาดริดแย่ ไม่ใช่ ราอูล' มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับชายคนนี้'

อย่างไรก็ตาม เรอัล มาดริด ออกแถลงการณ์ในนามของประธานสโมสร ฟลอเรนตีโน่ เปเรซ กล่าวถึงคลิปเสียงที่หลุดออกมานั้นเนื่องจากเขามีส่วนผลักดันโปรเจ็กต์ 'ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก' ที่ล้มเหลวไปเมื่อไม่นานมานี้ 

'จากเรื่องราวใน 'เอล กอนฟีเดนซีอัล' ซึ่งเป็นคอมเมนต์ที่มาจากผม ผมคิดว่ามันจำเป็นที่ต้องชี้แจง'

'ความคิดเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพูดคุยกับ โฆเซ่ อันโตนิโอ (อาเบยาน) ซึ่งพยายามขายพวกเขามาหลายปีแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ มันน่าประหลาดใจที่เมื่อเวลาผ่านไป มันได้ปรากฎว่าในหนังสือพิมพ์  'เอล กอนฟีเดนซีอัล' วันนี้'

'ความคิดเห็นถูกนำออกจากบริบทที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาทำซ้ำหลังจากผ่านมาหลายปี ผมเชื่อว่าเป็นเพราะบทบาทของผมในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุนของ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก'

'ผมปล่อยปัญหานี้ไว้ในมือทนายความที่กำลังหาช่องทางดำเนินการทางกฎหมายที่เป็นไปได้' แถลงการณ์ของทีมชุดขาวระบุ

การออกแถลงการณ์ของ เรอัล มาดริด เป็นการยอมรับว่าคลิปดังกล่าวเป็นการแสดงความคิดเห็นจริงจาก ฟลอเรนตีโน่ ที่กล่าวโจมตี ราอูล กอนซาเลซ กับ อีเกร์ กาซียาส ว่าเป็นจอมลวงโลก ทั้งที่สองตำนานทีมชุดขาวยังทำงานกับสโมสรในปัจจุบัน 

ราอูล ออกจาก เรอัล มาดริด ในปี 2010 หลังอยู่กับสโมสรมาอย่างยาวนานถึง 18 ปี ก่อนจะไปเล่นกับ ชาลเก้, อัล ซาดด์ และ นิวยอร์ค คอสมอส ก่อนจะกลับมาทำงานฐานะโค้ชกับสโมสรในปี 2018 และก้าวขึ้นมาเป็นเทรนเนอร์ของ เรอัล มาดริด กาสตีย่า ในปีถัดมา

เขาเคยเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดของสโมสรจากการยิงรวมกัน 323 ประตู จนกระทั่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำลายสถิติดังกล่าวจากการทำ 450 ประตูระหว่าง 11 ปีที่ค้าแข้งกับทีมชุดขาว อย่างไรก็ตาม ราอูล ยังคงเป็นเจ้าของสถิติลงเล่นกับสโมสรมากสุด 741 เกม

ส่วน กาซียาส ลงเล่นกับ เรอัล มาดริด มากสุดอันดับ 2 รองจาก ราอูล หลังการลงเล่น 725 เกม หลังเข้าร่วมทีมเยาวชนตั้งแต่ปี 1990 ก่อนอำลาสโมสรในอีก 25 ปีถัดมาและเขาประกาศรีไทร์เมื่อปี 2020 เนื่องจากมีปัญหาเรื่องหัวใจ

ดังนั้นมันจึงน่าสนใจว่าเรื่องราวนี้จะลงเอยอย่างไรแม้ ฟลอเรนตีโน่ จะโบ้ยว่าเป็นผลมาจากการผลักดันโปรเจ็กต์ 'ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก' ก็ตาม