:::     :::

สถิติน่าสนใจจากศึกยูโร 2020

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,412
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ยังคงมีควันหลงออกมาให้ติดตามกันอยู่เรื่อย โดยเฉพาะจากคู่ชิงชนะเลิศที่บรรดาผู้เล่นทีมชาติอังกฤษที่พลาดจุดโทษโดนถล่มยับเยิน

         นัยยะสำคัญยังรวมถึงการที่สามแข้งทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจดอน ซานโช่ และ บูกาโย่ ซาก้า ล้วนเป็นแข้งผิวสียิ่งเป็นเป้าให้เล่นงานอีก

         ถึงกระนั้นกระแสก็ตีกลับ แฟนบอลรวมตัวกันออกมาปกป้องนักเตะทั้งสามคน และมีแนวโน้มว่าพวกที่เหยียดผิวทางโซเชี่ยล มีเดียคงจะโดนกฎหมายลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่างซะบ้าง

         ส่วนทีมที่ทำผลงานได้ดีก็ได้รับการต้อนรับกลับมาเยี่ยงฮีโร่ บางทีมก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ประดับ ขอแค่ได้เข้าร่วมแฟนๆก็แฮปปี้แล้ว

         ศึกครั้งนี้ถือเป็นฟุตยอลยูโรที่มีประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 142 ลูก, แชมป์อย่าง อิตาลี ได้แชมป์เป็นสมัยที่สอง ห่างจากครั้งแรก 53 ปี เป็นช่องว่างที่มากที่สุดเลย

         ยังมีอีกหลายสถิติที่น่าสนใจให้ได้รู้เผื่อเอาไปคุยเป็นหัวข้อสนทนากับเพื่อนที่เป็นแฟนลูกหนังได้เหมือนกัน

ครั้งแรกที่ประตูแรกของทัวร์นาเม้นต์คือการทำเข้าประตูตัวเอง


         ในเกมเปิดสนามยูโร 2020 ในกลุ่มเอ อิตาลี พบกับ ตุรกี ซึ่งฝ่ายหลังถูกมองว่าน่าจะมีโอกาสสร้างเซอร์ไพรส์ได้ในทัวร์นาเม้นต์นี้ด้วยศักยภาพของนักเตะในทีม

         แต่กลายเป็นว่านัดแรกพวกเขาก็พ่ายเละนักเตะอย่าง เมริห์ เดมิรัล ยังเจอสถิติที่ไม่อยากจดจำด้วยการทำเข้าประตูตัวเองให้คู่แข่งออกนำก่อนลงเอยพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 0-3 กลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำเข้าประตูตัวเองในเกมเปิดสนามฟุตบอลยูโร

         แถมสุดท้ายแล้ว ตุรกี ยังลงเอยด้วยการแพ้ 3 เกมรวด เป็นทีมที่มีสถิติแย่ที่สุดในทัวร์นาเม้นต์โดยทำได้แค่ลูกเดียวเสียไป 8 ประตู แย่กว่า นอร์ธ มาซิโดเนีย ที่แพ้รวดเช่นกัน เสีย 8 ประตูเท่านั้นแต่ยังยิงได้ 2 ลูก

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คนแรกที่ยิงในยูโร 5 สมัยติดต่อกัน


         คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้าสู่ทัวร์นาเม้นต์ยูโร 2020 ด้วยการเป็นนักเตะคนแรกที่มีโอกาสลงสนามในเกมชิงแชมป์แห่งชาติยุโร 5 สมัยติดต่อกัน นับตั้งแต่ลงเล่นครั้งแรกเมื่อปี 2004

         ในการลงเล่น 5 ครั้งกินเวลายาวยานถึง 20 ปี และไม่ใช่แค่ลงเล่นเท่านั้น ยังพกสถิติที่ยอดเยี่ยมยิงประตูมาตลอดทุกปีของการแข่งขันอีกด้วย

         และครั้งนี้ก็เช่นกันแถมไม่ใช่แค่สอยตาข่ายได้ แต่ยังกดถึง 5 ลูก คว้ารางวัลดาวซัลโวไปครองอีกด้วย แม้ว่า โปรตุเกส จะจอดป้ายแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น

         เท่ากับว่าตอนนี้ โรนัลโด้ ซัดแล้ว 14 ลูกในยูโรรอบสุดท้าย เป็นเจ้าของสถิติยิงมากที่สุดอีกตำแหน่งด้วย

'เฟเดริโก้ - เอ็นรีโก้ เคียซ่า' พ่อ-ลูกคู่แรกที่ยิงในยูโรรอบสุดท้าย 

        

         เฟเดริโก้ เคียซ่า หนึ่งในสตาร์เด่นของ อิตาลี ในการคว้าแชมป์ยูโร 2020 โดยมีส่วนร่วมกับทั้ง 7 เกมของทีมในการแข่งขันนี้ด้วย

         กองหน้าวัย 23 ปีทำประตูแรกของตัวเองในทัวร์นาเม้นต์ในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่เจอกับ ออสเตรีย ก่อนจะมีประตูเพิ่มอีกลูกในเกมสำคัญคือนัดรองชิงชนะเลิศกับ อังกฤษ

         ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีที่แล้วในยูโรปี 1996 เอ็นรีโก้ เคียซ่า ผู้เป็นบิดาเป็นหนึ่งในขุนพลทัพ "อัซซูรี่" โดยทำประตูได้ในเกมที่ทีมพ่าย เช็ก 1-2 ซึ่งในครั้งนั้นทีมตกรอบแบ่งกลุ่มไป

         นั่นทำให้พ่อ-ลูกตระกูล "เคียซ่า" เป็นคู่แรกที่ทำประตูได้ในเกมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปด้วย

ทำเข้าประตูตัวเองมากกว่าการแข่งขันก่อนหน้ารวมกัน


จากการที่มีคนทำเข้าประตูตั้งแต่เกมเปิดสนาม กลายเป็นว่าในการแข่งขันครั้งนี้มีนักเตะที่ทำเข้าประตูตัวเองเพียบถึง 11 คนเลย

เริ่มจาก เมริห์ เดมิรัล, มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, รูเบน ดิอาส, ราฟาเอล เกร์เรยโร่, วอยเชี๊ยค เชสนี่0 ลูคัส ฮราเดชกี้, มาร์ติน ดูบราฟก้า, ยูราย คุชก้า และ เปดรี้ 10 คนแรกทำลายสถิติการทำเข้าประตูของยูโรที่ผ่านมาซึ่งมีแค่ 9 ลูกเท่านั้น

ประตูสุดท้ายเป็นของ ซีม่อน เคียร์ ที่ทำเข้าประตูตัวเองในเกมรอบตัดเชือกกับ อังกฤษ เป็นประตูที่ 11 ถือว่ามากจริงๆ

อังกฤษ ทีมแรกที่เก็บคลีนชีตใน 5 นัดแรกที่ลงสนาม


         ความแข็งแกร่งในเกมรับ บางครั้งก็ต้องแลกมาด้วยอะไรหลายอย่างๆ โดยเฉพาะในรอบแบ่งกลุ่มที่ อังกฤษ โดนวิจารณ์อย่างหนักถึงเรื่องของการเล่น

         แกเร็ธ เซาธ์เกต เรียนรู้ที่่จะทำฟุตบอลให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่กระบุกเป็นบ้าเพื่อเอาใจแฟนบอลแล้วตกรอบ แต่เป็นการเน้นความเหนียวแน่นเพื่อให้ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ

         5 เกมแรกของทัพ "สิงโตคำราม" ในทัวร์นาเม้นต์ยูโร 2020 ทีมไม่เสียประตูโดยชนะ โครเอเชีย 1-0, เสมอ สกอตแลนด์ 0-0, ชนะ เช็ก 1-0, ชนะ เยอรมัน 2-0 และชนะ ยูเครน 4-0 จนมาถึงในรอบตัดเชือกที่เสียประจูให้ เดนมาร์ก แต่ชนะ 2-1 ในการต่อเวลาพิเศษ และเสียอีกลูกในเกมชิงชนะเลิศกับ อิตาลี ก่อนแพ้จุดโทษ

         สถิตินี้เทียบเท่ากับ สเปน ในยูโร 2012 ที่ไม่เสียประตู 5 เกมเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่ 5 เกมแรกเหมือนทีมผู้ดี เพียงแต่ครั้งนี้ "กระทิงดุ" จบลงด้วยการคว้าแชมป์ไปครอง

อิตาลี กับสถิติชนะติดต่อกันนานที่สุดในยูโรนับตั้งแต่รอบคัดเลือก


         ทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เดินเข้าลงสู่รอบสุดท้ายทัวร์นาเม้นต์ยูโร 2020 ด้วยผลงานสุดยอดในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการคว้าชัยชนะมา 11 เกมรวด

         หลังจากนั้นทีมยังเดินหน้าเก็บชัยชนะจนกรุยทางไปถึงรอบชิงชนะเลิศและคว้าแชมป์ได้สำเร็จโดยรวมกับ 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่มและอีก 2 เกมในรอบ 16 ทีมและ 8 ทีมสุดท้าย เท่ากับว่าทีมเก็บชัยชนะมา 15 เกมรวด

         การชนะ เบลเยี่ยม ทำให้พวกเขาทำสถิติชนะเกมที่ 15 ในขณะที่ เบลเยี่ยม หยุดสถิติไว้ที่ 14 เกม เรียกได้ว่าเป็นเกมวัดกันเลยว่าทีมไหนจะเป็นฝ่ายที่ทำสถิติ

         กระทั่งในรอบตัดเชือกที่ทีมหยุดสถิติชนะหลังเสมอ สเปน ก่อนไปชนะในการดวลจุดโทษเช่นเดียวกับในรอบชิงชนะเลิศ

มิคเคล ดามส์การ์ด ทำประตูจากฟรีคิกแรก (และครั้งเดียว) ในยูโร 2020


         เป็นการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นสุดๆสำหรับแฟนบอล เดนมาร์ก ที่เกือบจะได้เห็น "เทพนิยายเดนส์" อีกครั้งเหมือนเมื่อปี 1992

         ความพ่ายแพ้สองเกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มใครก็มองว่าทีมคงไม่รอดแน่ แต่ชัยชนะในเกมสุดท้ายกลับต่อลมหายใจให้กับทัพ "โคนม" จนเดินทางมาจนถึงรอบตัดเชือกกับ อังกฤษ

         แถมในเกมรอบตัดเชือกยังทำเซอร์ไพรส์ด้วยการยิงประตูออกนำก่อนจากฟรีคิกสุดสวยของ มิคเคล ดามส์การ์ด ถือเป็นฟรีคิกแรก (และเป็นหนเดียว) ในยูโรหนนี้

         น่าเสียดายที่สุดท้ายทีมตกรอบไปด้วยการแพ้ อังกฤษ 1-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษท่ามกลางความกังขาในจังหวะจุดโทษที่นำมาซึ่งประตูชัยของ "สิงโตคำราม" ด้วย

อิตาลี ทีมแรกที่ยิงจุดโทษชนะมากกว่าหนึ่งครั้งในทัวร์นาเม้นต์เดียว


         การเดินทางของ อิตาลี จากเริ่มต้นไปจนถึงคว้าแชมป์ พวกเขาถูกมองว่าเป็นรองคู่แข่งมาตลอด ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นทีมเต็งที่จะได้แชมป์ไปครองในบั้นปลาย

         จากนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มกระทั่งรอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเขาเอาชนะคู่แข่งได้ตลอด อย่างน้อยก็ใน 120 นาทีในเกมกับ ออสเตรีย กระทั้งรอบตัดเชือกับ สเปน ที่ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษหลังเสมอในเวลา 1-1 โดยเอาชนะไปได้ 4-2

        และในรอบชิงชนะเลิศก็เป็นอีกเกมที่เสมอใน 120 นาทีและต้องดวลจุดโทษตัดสิน ซึ่งอย่างที่รู้ว่าทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 3-2

         นั่นเท่ากับว่าพวกเขาดวลจุดโทษชนะคู่แข่งได้ 2 หนในการแข่งขันรายการเมเจอร์ทัวร์นาเม้นต์เดียว มากที่สุดเท่ากับ โครเอเชีย เมื่อครั้งฟุตบอลโลก 2018 และ อาร์เจนติน่า ในฟุตบอลโลกเมื่อปี 1990 เลย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด