"สามราชาแห่งโลกปีศาจ" ตำนานเล่าขานของ United Trinity
ย้อนกลับไปในช่วง1960s ยุคนั้นแทบจะไม่มีรายการทีวีที่เกี่ยวกับฟุตบอลเลย ถ้าคุณไม่ได้เดินทางไปดูยูไนเต็ดด้วยตัวเองในวันเสาร์ การมีโอกาสได้ดูไฮไลต์สัก20นาทีของการแข่งขันในแต่ละเดือนของพวกเขาก็ถือว่าเก่งแล้ว
แต่ถึงมันจะหาดูยากเพียงใด คนในยุคนั้นทุกๆคนก็รู้จัก The United Trinity กันเป็นอย่างดี
เบสต์, ลอว์, ชาร์ลตัน
หนังสือพิมพ์เล่าเรื่องราวความยอดเยี่ยมของพวกเขา การพาดหัวข่าวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพวกเขา ภาษาที่ใช้ในการพูดถึง เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้คุณจะบอกได้ทันทีว่าพวกเขาพิเศษมากๆ ผมเป็นนักฟุตบอลที่เริ่มต้นช้า เทิร์นโปรเมื่ออายุ20 และเคยเล่นแค่สามปีกับมิลวอลล์ และอีกสี่เดือนที่เชลซี ก่อนจะย้ายมาอยู่กับยูไนเต็ด ดังนั้นผมเลยไม่เคยมีประสบการณ์ในการเจอพวกเขาเลย ก่อนที่จะเซ็นสัญญาเข้ามา
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมได้เจอพวกเขาแค่2-3ครั้งในช่วงสัปดาห์แรกที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ผมไปแมนเชสเตอร์กับแม็ตต์ บัสบี้ และ จิมมี่ เมอร์ฟี่ในวันอังคาร จากนั้นวันพุธ ผมได้นั่งอยู่บนสแตนด์ร่วมกับเดนิส ลอว์ และชมเกมที่พวกเขาแพ้แบล็คพูลในลีกคัพ ส่วนวันพฤหัสจะเป็นวันพักของนักเตะส่วนใหญ่ จากนั้นวันศุกร์ก็ซ้อมเบาๆ เพราะวีคนั้นมีแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ ซึ่งมันจะเป็นเกมเดบิวต์ของผมในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง
วันนั้นพวกเราเก็บคลีนชีทได้ และเดนิสก็ยิงประตูโทนของเกมด้วยการยิงลูกโอเวอร์เฮดคิก สิ่งแบบนี้แหละเป็นบรรยากาศของการได้ลงเล่นที่นี่ เพราะทุกครั้งที่เราลงสนามทุกๆสัปดาห์ คุณจะรู้ได้เลยว่า ในอีก90นาทีข้างหน้า จะมีหนึ่งคนหรืออาจจะมากกว่านั้น จากสามตัวเก่งของเรา จะต้องพาทีมให้ชนะได้อย่างแน่นอน
จริงๆแล้วทีมก็ไม่ได้มีเพียงแค่Trinityของเรานะ แน่นอนว่า น็อบบี้ สไตล์ ก็เพ่ิงคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติอังกฤษมา, เดวิด เฮิร์ด คือจอมถล่มประตูอันยอดเยี่ยม, โทนี่ ดันน์, แพดดี้ ครีแรนด์.. ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่พวกตัวทีมชาติทั้งนั้น และนั่นคือครอบครัวที่แมตต์สร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่มีใครได้รับอภิสิทธิ์เป็นพิเศษ พวกเราเท่าเทียมกันหมด บางทีแมตต์อาจจะรู้นะว่า พวกเขาสามคนคือข้อยกเว้นที่ไม่ธรรมดา
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรออกมา แต่เราทุกคนรู้กันเองอยู่แล้วว่า สามคนนั้นแตกต่างออกไปจริงๆ
หลายปีต่อมา ผมเห็นสิ่งเหล่านี้บ่อยจนเริ่มชินแล้ว การฝึกซ้อมก็แตกต่างออกไป ด้วยการที่รับรู้กันว่า เรามีเทรนเนอร์แค่คนเดียว ดังนั้นเราทุกๆคนจึงซ้อมแบบเดียวเป็นระยะเวลานาน แต่มีเพียงแค่ช่วงท้ายเซสชั่นการซ้อม เมื่อนักเตะต่างๆต้องฝึกซ้อมลูกยิง ผมเลยได้เผชิญหน้ากับพวกเขาในสนามซ้อมโดยตรง
จุดนี้มันคือความท้าทายที่เกิดขึ้น
เวลาเจอลูกยิงของบ็อบบี้ยิงใส่ รับรองว่ามีเจ็บแน่ๆ, จะได้เห็นการจบสกอร์อันคล่องแคล่วของจอร์จ และสุดท้าย คุณจะต้องเข้าถึงบอลให้ได้ก่อนเดนิส ไม่งั้นโดนเขายิงแน่นอน
บ็อบบี้น่าจะยิงผมได้เยอะสุดตอนซ้อม เพราะความเหี้ยมเกรียมที่เขายิงได้ทั้งสองเท้า การยิงคือความพิเศษในตัวเขา เพราะงั้นเขาเลยยิงได้ตามสิ่งที่เขาถนัด ส่วนจอร์จนั้นจะชอบหลอกให้คุณหลงไปอีกทาง เดนิสมีปฏิกิริยาในกรอบเขตโทษดีมาก แต่บ็อบบี้นี่แหละที่จะยิงประตูใส่คุณได้จากทุกมุมจริงๆ
พวกเขาเป็นตัวรุกกันหมดทุกคนก็จริง แต่สไตล์การเล่นนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เดนิสเป็นกองหน้าตัวกลางที่น่าเหลือเชื่อโดยเฉพาะรอบๆจุดโทษและกรอบหกหลา ผมไม่เคยเห็นใครเข้าถึงบอลได้เก่งกว่าเขาเลย ถ้าบอลจ่ายไปถึงเดนิสในกรอบเขตโทษได้ บอกเลยว่าไม่เหลือแน่นอน บอลจะเข้าไปตุงตาข่ายก่อนที่ใครจะทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เขาคือสายฟ้าฟาด กองหลังจัดการเขาไม่ได้เลยเพราะกลัวจะเข้าพลาดขึ้นมา
เรารู้กันอยู่แล้วว่าบ็อบบี้ ชาร์ลตันเป็นยังไง จากสถิติการยิงประตูต่างๆ และสิ่งที่เขาพาสโมสรและทีมชาติคว้าแชมป์มาได้ แต่จริงๆแล้วเขายังสร้างสรรค์เกมให้เพื่อนคนอื่นๆเยอะมากอีกด้วย เขาสามารถลงต่ำมาผ่านบอลให้เพื่อนจากพื้นที่มิดฟิลด์ได้ ในขณะที่ยิงประตูจากระยะ25หลาได้เช่นกัน เขาคือนักเตะที่เล่นสองเท้าอย่างสมบูรณ์แบบด้วยซึ่งคุณไม่เห็นนักเตะแบบนี้ได้บ่อยๆนัก แต่โดยพื้นฐานแล้วเขาคือตัวขับเคลื่อนทีมที่จะกระตุ้นเพื่อนทุกคนและยกระดับมาตรฐานการเล่นให้ทีม
เขาคือผู้ชนะอย่างแท้จริง
ส่วนจอร์จนั้น ไม่ว่าอะไรที่เขาทำมันเหลือเชื่อมากๆ เล่นสองเท้าเช่นกัน โดดเด่นเรื่องลูกกลางอากาศ บอลอยู่กับเท้าเมื่อไหร่หาตัวจับยากเมื่อนั้น เขาเป็นนักเตะพรสวรรค์ และได้รับอนุญาตให้เล่นโชว์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นคือจุดแข็งของแม็ตต์ บัสบี้ในเรื่องที่ว่า เขาเป็นคนซื้อนักเตะเข้ามา และเลือกคนที่มีความสามารถพิเศษเข้ามา จากนั้นปล่อยให้พวกเขาได้เฉิดฉายอย่างเต็มที่ ซึ่งกับจอร์จนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่แม็ตต์ทำก็คือ การปลดปล่อยอิสระให้เขาลงเล่นได้อย่างตามใจชอบ
เป็นประสบการณ์ที่โคตรพิเศษสุดมากๆที่ได้รับจากการทำงานร่วมกับนักเตะเหล่านั้น และนั่นคือสิ่งสำคัญสำหรับผมมากๆ ผมได้เรียนรู้อย่างมากมายจากการทำงานร่วมกัน และมันช่วยให้ผมรักษาตำแหน่งในทีมไว้ได้ด้วย การที่รู้ว่าเดี๋ยวบ็อบบี้จะซัดประตูใส่คุณด้วยทั้งสองเท้านั้นมันทำให้ผมต้องตื่นตัวและพร้อมอยู่ตลอดเวลา
เดนิสไม่เหมือนกองหน้าตัวกลางทั่วไปคนอื่นๆ เพราะตัวของเขาสูงไม่ถึง6ฟุต ตัวไม่ได้ใหญ่และแข็งแกร่งอะไรมาก แต่เขาคล่องแคล่ว และโผล่มาเล่นงานได้จากทุกจุด จุดแข็งของเขาคือการเอาชนะคุณในการเข้าถึงบอลได้อยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อเจอแบบนี้มันทำให้ผมต้องรวดเร็วขึ้นให้มากกว่าเดิม
ส่วนจอร์จก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัวของเขาที่ไม่มีใครเหมือน เขาจะทำสิ่งที่เกินความคาดหมายของคุณอยู่เสมอ มันทำให้ผมต้องมีสติอยู่เสมอ และนอกเหนือจากเขา มันก็จะมีคนอื่นๆที่พยายามลอกท่าของเขาไปใช้ ดังนั้นมันเลยทำให้ผมคุ้นเคยและพร้อมรับมือท่าก็อปปี้เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
ในฐานะนักเตะ พวกเขามีความแตกต่างกันอย่างมาก และบุคลิกนอกสนามของพวกเขาก็ต่างกันออกไปเช่นเดียวกัน
เดนิสนั้นพลังงานเยอะและคาดเดาไม่ได้ เขาทำอะไรรวดเร็วมาก เขาจะชิงไหวชิงพริบกับคนอื่นๆตลอดเวลา แล้วก็ชอบมาทดลองภูมิของคุณเกี่ยวกับเรื่องต่างๆด้วย มันอาจจะฟังดูงี่เง่า แต่มันทำให้เขาเดินหน้าต่อไปได้ เขามักจะถามคุณเกี่ยวกับสิ่งต่างๆเช่นเรื่องภูมิศาสตร์เป็นต้น เพราะว่าในหัวเขาจะมีอะไรอยู่ตลอดเวลา เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วนั้น สิ่งนี้สามารถพรรณนาตัวเขาในฐานะนักเตะได้เป็นอย่างดีเลย ประมาณว่า ฉันเหนือกว่านายนะ นายไม่มีทางรู้หรอกว่าฉันจะทำอะไร, เขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และพยายามหาจังหวะเข้าทำเสมอ
บ็อบบี้เป็นสุภาพบุรุษที่มีความซับซ้อนอยู่ในตัว เขาไม่เคยหยุดตะลุย ไม่เคยหยุดเดินหน้าเลย เขาคือผู้ชนะที่ไม่เคยหยุดยั้ง สิ่งที่เขาเผชิญมาจากที่มิวนิคและเรื่องราวหลังจากนั้นมันไม่อาจหยั่งถึงได้เลย แต่เขายังคงเป็นเพชร เป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริงและให้เกียรติในทุกๆสิ่ง เขาให้เกียรติเพื่อนนักเตะทุกคนที่ร่วมเล่นด้วยกันกับเขาอย่างดี
ส่วนจอร์จ.. อืม จอร์จก็คือจอร์จอ่ะ เขาแค่ชอบออกไปวาดลวดลายแค่นั้นเอง
ในมุมมองเกี่ยวกับผู้เล่นและความแตกต่างของพวกเขานั้น คุณจำเป็นต้องสังเกตวิธีการเตรียมตัวก่อนการแข่งขันของพวกเขาที่ทำอยู่เป็นประจำ โดยปกติแล้วถ้าเราได้เล่นที่โอลด์แทรฟฟอร์ด พวกเรามักจะชอบไป Davyhulme Golf Club ช่วงมื้อก่อนแข่ง เราจะได้รู้จักทีมจากจุดนั้น เพราะว่ารายชื่อทีมชีทจะมีขึ้นในห้องแต่งตัววันก่อนแข่ง และทุกคนก็จะมีวิธีการเล็กๆน้อยๆในการเตรียมตัวของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น ผมอาจจะเตรียมตัวให้พร้อมในครึ่งชั่วโมงก่อนเกม ดังนั้นผมจึงรู้ว่าตรงเวลาคิกออฟแน่ๆยามได้ยินเสียงระฆังตีห้าครั้งเพื่อเริ่มการแข่งขัน
เดนิสจะไปที่ห้องแต่งตัวหนึ่งชั่วโมงก่อนเตะ ครึ่งนึงเตรียมตัวให้พร้อมลงเล่น อีกครึ่งนึงใช้กับการแต่งตัว จากนั้นก็เอนลงบนม้านั่ง แล้วงีบสักสิบนาที ส่วนบ็อบบี้นั้นอาจจะมาช้ากว่านั้น เตรียมตัวให้พร้อม และเขาจะพูดคุยกับทุกๆคนในการจะชนะให้ได้ในวันนั้น เขามักจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการคว้าชัยชนะและการทำประตูอยู่เสมอ ซึ่งไม่เพียงแค่เขา แต่นักเตะคนอื่นๆด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นก็จะพร้อมลงสนาม
หลังบ่าย2.45นาที จอร์จจะเข้ามาในตอนที่ทุกๆคนพร้อมแล้ว ทั้งเชือกรองเท้าที่ผูกอย่างประณีต เสื้อที่ใส่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างดูจะพร้อมหมด จอร์จก็จะเข้ามาทีหลัง ใส่ชุด ผูกรองเท้า แล้วก็ออกไป นั่นคือสิ่งที่เขาเป็น ไม่เคยมีความกดดันอะไรเกิดขึ้นกับตัวจอร์จเลย เป็นเพราะว่าตัวเขาไม่ต้องการไปกดดันกับมันเช่นนั้น
จะยกตัวอย่างให้ฟังว่าจอร์จมีมุมมองที่แตกต่างออกไปยังไง มีอยู่วันศุกร์นึงหลังจากซ้อมเสร็จ ก่อนที่เราจะไปลงเตะกับลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ในปี1967 จอร์จเดินมาหาแพดดี้กับผม แล้วบอกว่า "ไปกับผมหน่อย ผมอยากลองอะไรบางอย่าง"
คือในช่วงนั้น ลิเวอร์พูลมีสถิติลูกได้เสียที่มหัศจรรย์มากๆที่แอนฟิลด์ เพราะว่าบิล แชงคลีย์มีแผงแบ็คโฟร์ที่เล่นด้วยการดันสูงในสนาม ดังนั้นพวกเขาจึงอาจจะตัดบอลได้ทันทีในแดนบนของพวกเขา รวมถึงเช็คล้ำหน้าพวกคุณได้ด้วยในเวลาเดียวกัน มันจะทำให้คุณเล่นไม่ได้เลย ดังนั้นจอร์จเลยมาหาผมกับแพดดี้ แล้วพาเราไปสนาม จากนั้นอธิบายสิ่งที่เขาคิด
เขาให้แพดดี้ได้บอลที่ตำแหน่งฮาล์ฟขวา (นับเป็นปัจจุบัน น่าจะเทียบได้กับวิงแบ็คที่ดันสูงขึ้นกลางสนาม ในformationโบราณอย่าง 2-3-2-3) แล้วจอร์จก็ให้ผมไปยืนเป็นโกล แล้วจากนั้นให้แพดดี้เปิดบอลทแยงไปหาเขามุมบน ส่วนผมให้เล่นเป็นโกลเหมือนที่เล่นในสนามตามปกติ
จอร์จจะเริ่มวิ่งจากจุดเส้นกลางสนาม เพราะงั้นเขาจะไม่ล้ำหน้า และให้แพดดี้วางบอลระยะ20หลาไปที่ตำแหน่งปีกซ้าย ดังนั้นแพดดี้จึงเปิดบอลไปยังจุดที่เขาต้องการ จอร์จสาวเท้าพุ่งเข้ามาหาผมด้วยความเร็ว บอลตกใกล้กับเท้าของเขาห่างไม่เกินหกนิ้ว ผมไม่สามารถเคลื่อนออกไปตัดบอลได้เพราะเข้าไปอยู่ในระยะของเขาก่อน ดังนั้นผมจึงต้องล้มตัวต่ำพุ่งเข้าหาเท้าของเขาเพื่อเข้าไปหาบอลก่อนให้ได้ พอผมล้มตัวลงไป เขาก็จิ้มด้วยหัวเกือกอย่างใจเย็นผ่านหน้าแข้งผมไป แล้วก็กลับไปเอาบอลแตะเข้าประตูโล่งๆไป
"นึกไม่ถึงใช่มั้ย อัล?"
"ไม่เลย จอร์จ"
เพราะงั้นเขาเลยลองมันแค่ครั้งเดียว แล้ววันนั้นเราก็พอแค่นั้น
ที่แอนฟิลด์ในวันต่อมา ผมรับลูกเปิดจากเตะมุมได้ในครึ่งแรก แพดดี้จะเรียกบอลจากผมอยู่เสมอไม่ว่าสถานการณ์เป็นยังไง เขาจะตะโกนเรียกบอลทันที ซึ่งเขาไม่ใช่นักเตะที่รวดเร็ว แต่ว่าก็เคลื่อนหาที่ว่างอย่างชาญฉลาดตลอดเวลา ในจังหวะนี้ผมขว้างบอลไปให้เขา เขาพลิกบอลจากนั้นก็วางข้ามยาวไปให้กับเบสตี้ จอร์จยืนอยู่ระหว่าง ทอมมี่ สมิธ กับ คริส ลอว์เลอร์ ส่วนเอมลิน ฮิวจ์ส พยายามจะเข้ามาขวาง แต่ทำอะไรไม่ได้
จากนั้นทอมมี่ ลอเรนซ์ ก็ออกมาจากโกลแบบเดียวกับที่ผมทำเมื่อวันก่อนเป๊ะเลย แล้วก็ล้มตัวลงเพื่อคว้าบอลที่เท้าของจอร์จ และเป็นไปตามคาด เขาแตะบอลลอดผ่านแข้งของทอมมี่ จากนั้นก็หลุดไปยิงโล่งๆ
จอร์จยืนนิ่งๆ ชูมือแล้วหัวเราะร่าออกมา
นั่นแหละ จอร์จ
สำหรับผมแล้วมันแสดงให้เห็นว่าเขาเล่นบอลยังไงบ้าง เขามักจะทำสิ่งที่ผู้คนมากมายชื่นชอบด้วยการทำให้กองหลังคาดไม่ถึงอยู่เสมอ ซึ่งมันเป็นความบันเทิงส่วนตัวของตัวเค้าเองด้วย และแน่นอน มันก็เพื่อชัยชนะของพวกเราด้วยเช่นกัน สุดท้ายเราชนะลิเวอร์พูลสองหนึ่ง และเขายิงคนเดียวทั้งสองลูกเลย
ถ้าจะให้บอกว่าใครคือคนที่ผมรู้สึกโชคดีที่สุดที่ได้ลงเล่นเคียงข้างด้วย มันเป็นเรื่องยากที่จะพูดนะ แต่ถ้าจำเป็นต้องตอบจริงๆ ผมก็มักจะตอบว่าจอร์จคือเดอะเบสต์เท่าที่ผมเคยเล่นด้วยจริงๆ
เสียดายมากที่ภาพการลงเล่นต่างๆมันน้อยเหลือเกินสำหรับเขา รวมถึงเดนิสกับบ็อบบี้ด้วย ที่คุณเห็นก็จะมีเพียงแค่คลิปเดิมๆดูซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น
เพราะงั้นแล้ว ถ้าคุณโชคดีมากพอที่เคยได้เห็นพวกเขาเล่น คุณจะต้องพยายามจดจำให้ภาพมันชัดที่สุดไปตลอดอย่างแน่นอน
และผมก็จะทำแบบนั้นเสมอไป
-Alex Stepney-
References
https://www.manutd.com/en/news/detail/utd-unscripted-alex-stepney-shares-his-tales-of-the-trinity
https://www.sportskeeda.com/football/george-best-remembering-manchester-united-legend
https://www.lfchistory.net/SeasonArchive/Game/421
http://www.goaldentimes.org/bobby-charlton-manchester-united-legend-photographs/