ถ้าโค้ชไทยหายาก ก็ใช้โค้ชฝรั่งที่รู้จักบอลไทย
มีชื่อเฮดโค้ชไม่ต่ำกว่า 10 ราย ถูกหยิบมาเชื่อมโยงจากสื่อ ยังไม่นับรวมที่หยิบจับมาทำคอนเทนต์เสนอ ตามแต่จะสรรหาอะไรมาลงได้ ในช่วงสถานการณ์โควิด
มีทั้ง “น่าสนใจ” มีทั้ง “เป็นไปไม่ได้” ปนกันไป
กับผู้เขียนที่วุ่นกับภารกิจข่าวการเมืองเกือบเต็มสัปดาห์ พอมีเวลาให้มากระแทกแป้นพิมพ์เรื่องกีฬาบ้าง ก็ขออนุญาต “เจิม” ชื่อโค้ชใหม่เหมือนพี่ ๆ น้อง ๆ สื่อกีฬาท่านอื่นบ้าง
ซึ่งน่าสนใจว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แฟนบอลส่วนใหญ่หันมาโหยหาโค้ช “สัญชาติไทย” กันมากขึ้น
ในมุมผู้เขียนเอง “เห็นด้วย” เพราะนอกจากแท็คติกแล้ว “การสื่อสาร” ในสิ่งที่ล่ามแปลได้ไม่หมด และความเข้าใจในตัวนักเตะคือสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
คำถามคือชั่วโมงนี้จะมีโค้ชไทยคนไหนกล้ามานั่งบนหลังช้างศึก ?
นอกจากฝีมือ มันสมองที่ดีแล้ว ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันสูง รวมถึงสภาพจิตใจที่ต้องรับมือกับแฟนบอล “คีย์บอร์ดไลเซ่นส์” ที่พร้อมบั่นทอนจิตใจคุณตลอดเวลา (สมัย นิชิโนะ ลุงแกไม่มีปัญหาเพราะอ่านภาษาไทยไม่ออก)
เหลียวไปดูมือดี ๆ ส่วนใหญ่ในไทยต่าง “ไม่ว่าง” มีสโมสรคุมทั้งสิ้น
แต่หากไม่ใช่โค้ชคนไทย แต่เคยทำงานที่ไทยล่ะ
อย่างเช่น “มาโน โพลกิง”
เฮดโค้ชลูกครึ่งบราซิล-เยอรมัน เวลานี้ทำงานเป็นกุนซือให้ โฮจิมินห์ ซิตี้ ในวีลีก เวียดนาม ทว่าเวลานี้ลีกถูกสกัดให้หยุดโดยโควิด-19 และมีแววว่าจะส่อค้าถูก “ตัดจบ”
กอปรกับสัญญา มาโน สิ้นสุดเพียงเดือน ตุลาคมนี้ นั่นหมายความว่า หากสมาคมฟุตบอลเวียดนามตัดจบ เขาเองก็พร้อมรับข้อเสนองานใหม่ได้ทันที
แล้วเหตุใดถึงต้องเป็น มาโน โพลกิง ?
มาโน คือฝรั่งหัวทองที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกฟุตบอลไทยมากว่า 8 ปี ตี้งแต่เข้ามามาเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชาติไทยให้ วินฟรีด เชเฟอร์ ปี 2012 จนมีโอกาสได้เริ่มจับงานเฮดโค้ชทีมชาติไทย ต่อยอดมามีโอกาสได้จับงานคุมทัพทีมชาติไทยรุ่น ยู-22 ชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก ที่ สปป.ลาว แม้ผลงานจะบู่หล่นรอบคัดเลือก แต่เขาก็ได้รับข้อเสนอจาก อาร์มี่ ยูไนเต็ด
มาโน พาสุภาพบุรุษวงจักร จบอันดับที่ 6 ของตารางได้ ก่อนถูก ทรู แบงค็อกฯ ดึงมาคุมทัพ และอยู่ยาวมากว่า 6 ปี
สิ่งที่เราเห็นจาก มาโน คือ แพสชั่นการทำทีมที่เต็มร้อยทุกจังหวะ การแก้เกม เล่นเกมบุกชวนเร้าใจ สื่อสารกับทีมได้อย่างดีเยี่ยม ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทีม เข้าใจวัฒนธรรมฟุตบอลไทย รู้จักเด็กไทยเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ การใช้ชีวิตเปื้อนฝุ่นลูกหนังในเมืองไทย ทำให้เขาแทบไม่ต่างจากโค้ชไทยรายอื่นเลย แต่สิ่งเดียวที่เขายังไม่สามารถ “ซื้อใจ” แฟนบอลบางส่วนได้คือ “ความสำเร็จ”
ใช่ … 8 ปี มาโน ไม่เคยหยิบจับความสำเร็จเป็นชิ้นอันได้สักครั้ง เขาทำได้เพียง “เฉียด” ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นอาจเป็นรอยด่างพร้อยลูกหนังไม่กี่อย่างในชีวิตเขา สำหรับการมารับงานในไทย
แต่นั่นคือเรื่องของอดีต
โค้ชฟุตบอลหลายคนต่างเคยหกล้ม พุ่งชนอุบัติเหตุลูกหนังกันทั้งนั้น
อย่างที่เกริ่นไปข้างบน หากเสียงส่วนใหญ่ตะโกนหาโค้ชไทย ผู้เขียนเชื่อว่าชื่อของ มาโน่ อาจมีดีไม่แพ้กุนซือไทยคนไหน ๆ
เพราะหมอนี่คือโค้ชต่างชาติ ที่รู้จักฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี
แต่นี่เป็นเพียงความคิดเห็นเพียว ๆ ของผู้เขียน ว่าโมงยามนี้โค้ชไทยคือชอยส์ที่ตอบโจทย์กว่าต่างชาติ
ซึ่งสมาคมฟุตบอลฯ ฝ่ายพัฒนาเทคนิค อาจมองต่างมุม หรือคนละขั้วกับเราก็ได้
** Photo : IG hcmcfootballclub