อาจจะมีช่วงเวลาอึดอัดในครึ่งแรกที่แทบจะไม่มีโอกาสเข้าทำแบบจะแจ้ง รวมไปถึงจังหวะโดนตีเสมอในต้นครึ่งหลังที่ทำให้สาวกปิศาจแดงสั่นเล็กน้อย กระนั้นการมาของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้พิสูจน์แล้วว่าทีมนิ่งขึ้นและพร้อมพลิกสถานการณ์เพียงชั่วขณะ

ลองจินตนาการย้อนกลับไปดูสัก 1-2 ซีซั่นก่อน หากนักเตะผีแดงเจอกับสถานการณ์เหมือนตอนโดนตีเสมอในนัดที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่นักเตะออกอาการเป๋ไปโดยไม่ทราบสาเหตุ มีหลายครั้งที่เกมอาจจะหยุดไปดื้อๆ และมีหลายครั้งที่ทีมจะเจอกับงานหนักและพลาด 3 คะแนน

แต่ก็อย่างที่เห็น 'รอนนี่' จัดการสังหารประตูที่สองให้ทีมออกนำหลังจากโดนตีเสมอไปเพียง 6 นาที แม้ว่าหลังจากนั้นทีมต้องเจอกับงานหนักในการรับมือจังหวะสวนกลับและความเร็วของแนวรุก สาลิกาดง แต่บรรดาแนวรับก็สามารถจัดการได้ก่อนที่แนวรุกจะมาสอยอีกสองประตูให้ทีมชนะไปอย่างงดงาม

จะว่าไปแล้วทุกเสียงชมต่างพุ่งตรงไปยัง 'ซีอาร์7' และทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ผลงานของกองหน้าทีมชาติโปรตุเกส ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะมันคือการกลับมาลงสนามในฐานะนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้งในรอบ 12 ปี แถมการทำคนเดียวสองประตูในนัดที่ผ่านมาก็เรียกความสนใจจากแฟนบอลทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

หลายคนคงจะได้อ่านบทสัมภาษณ์ สถิติ หรือข้อมูลต่างๆ ที่ โรนัลโด้ ทำไว้ในนัดที่ผ่านมากันอย่างจุใจ ซึ่งส่วนตัวคงไม่เขียนถึงเพราะความสนใจพุ่งตรงไปที่ 'ลุค ชอว์'

ฟูลแบ็กหมายเลข 23 ของทัพอสูรแดงยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง บางครั้งอาจจะไม่หวือหวาแต่เต็มไปด้วยความมั่นคง คุณภาพ และผลงานที่ถูกตีออกมาเป็นตัวเลข

นัดที่ผ่านมามีจังหวะแอสซิสต์สวยๆ ให้ โรนัลโด้ ทำประตูที่สอง ซึ่งน่าจะเป็นการเล่นที่แฟนบอลเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดจากแบ็กรายนี้ หรือจังหวะปะทะ มิเกล อัลมีร่อน จะกระเด็นลงนอนไปตีซี้กับหญ้าใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ช่วงต้นครึ่งแรก

กระนั้นหากมองไปตลอด 90 นาทีที่ ชอว์ อยู่บนสนาม แข้งทีมชาติอังกฤษถือว่ามีส่วนสำคัญทั้งการเติมเกมรุกและทำหน้าที่เกมป้องกันได้อย่างยอดเยี่ยม

เลี้ยงบอลสำเร็จ 100%

เอาชนะการดวล 100%

ผ่านบอลเข้าเป้า 92%

ผ่านบอลเข้าในกรอบเขตโทษคู่แข่ง 8 ครั้ง

ผ่านบอลในพื้นที่สุดท้าย 4 ครั้ง

แย่งบอลกลับมา 2 ครั้ง

สร้างโอกาสสำคัญ 2 ครั้ง

สกัดบอล 1 ครั้ง

บล็อก 1 ครั้ง

แอสซิสต์ 1 ครั้ง

นั่นคือสถิติของ ลุค ชอว์ ที่เก็บโดย สแตตแมน เดฟ คนข่าวของ MUTV ซึ่งชี้ให้เห็นถึงผลงานของนักเตะในเกมที่ผ่านมา

ตัวเลขที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นจำนวนที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้เล่นในตำแหน่งฟูลแบ็ก นอกจากนั้นเรายังได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของ ลุค ชอว์ จากนักเตะที่เหมือนจะหมดอนาคตเพราะอาการบาดเจ็บที่รุนแรง แต่มาวันนี้เขากลายมาเป็นแบ็กซ้ายเบอร์ 1 ของสโมสรและในนามทีมชาติ

โดยเฉพาะการเติมเกมขึ้นมาแต่ละครั้งที่สามารถช่วยบรรแนวรุกของทีมได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อบอล การเปิดพื้นที่ หรือการตัดแนวรับฝ่ายตรงข้ามเพื่อเพิ่มความสับสนในประกบตัว

หลายครั้งที่เราจะเห็นว่าอยู่ดีๆ ชอว์ ไปโผล่ในกรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้ามแบบโล่งๆ หลายครั้งที่เขาสร้างโอกาสครอสหรือผ่านบอลไปหน้าปากประตูของคู่แข่ง ซึ่งเหลือรายละเอียดเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นที่จะทำให้แข้งรายนี้อันตรายมากกว่าเดิม

แต่ทุกอยางที่เกิดขึ้นกับเขามาจนถึงตอนนี้มันคือการพลิกกลับของสถานการณ์และความเป็นไปที่ตอนนั้นใครหลายๆ คนอาจจะยอมแพ้ในตัว ลุค ชอว์ แต่สำหรับแข้งวัย 26 ปีมันคือกำแพงที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้ มันคืออุปสรรคขวากหนามที่ต้องแหวกผ่านไปแม้จะมีบาดแผลแต่มันทำให้เขาเติบโตขึ้น

ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ บวกกับความมุ่งมั่นเกิน 100 เปอร์เซนต์ ทำให้ ลุค ชอว์ สร้างผลงานที่ดีและกลายมาเป็นนักเตะอย่างที่เห็นทุกวันนี้

แน่นอนว่า ชอว์ ยังคงไม่พอใจกับผลงานของตนเอง เพราะเขารู้ดีว่ายังมีส่วนที่ต้องพัฒนาให้ดีกว่านี้ ที่สำคัญคือการยกระดับให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านๆ มา เพราะการแข่งขันในปัจจุบันคุณไม่สามารถผ่อนคันเร่งหรือผ่อนคลายอารมณ์ได้เลย

แต่ด้วยสัญญาณที่ถูกส่งออกมาในแต่ละนัด เราจึงได้เห็น ชอว์ ที่มีแต่จะพัฒนาขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง มากบ้างน้อยบ้างไม่เป็นไรเพราะอย่างน้อยพวกเราในฐานะแฟนบอลก็ได้เห็นสิ่งที่ดีขึ้นจากแข้งหมายเลข 23 รายนี้