ฟุตซอลไทย : เสียดายแต่ไม่เสียใจ
ทัพโต๊ะเล็กไทย ทำได้ดีใน “ระดับหนึ่ง” แต่มันไม่เพียงพอให้พวกเขาได้ 1 หรือ 3 คะแนน
การพบ โปรตุเกส ทีมอันดับ 6 ของโลก ทั้ง “โค้ชหมี” รักษ์พล สายเนตรงาม และนักเตะต่างรู้อยู่แก่ใจว่า พวกเขาจะไม่มีทางได้เดินชิล ยิ้มได้ เหมือนตอนเตะในอาเซียนแน่
แม้ไลน์อัพผู้เล่น 5 คนแรกจะเป็น 5 คนเดียวกับที่เล่นเปิดสนามฟุตซอลโลกครั้งก่อน นำมาโดย คฑาวุธ หาญคำภา, กฤษดา วงษ์แก้ว, จิรวัฒน์ สอนวิเชียร, อภิวัฒน์ แจ่มเจริญ และ ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง
แต่โค้ชวันนี้ไม่ใช่ ปูลปิส แล้ว รวมถึงรายละเอียดเกม แท็คติก ที่เปลี่ยนไปจากเดิมเช่นกัน
ไทย เริ่มเกมด้วยความรัดกุม ซื้อเกมรับ ใช้วินัยและความอดทนรับมือกับพลพรรคฝอยทอง ที่เราต่างรู้ว่าพวกเขาเหนือกว่าทั้งดีกรี ความสามารถ
แต่ความดื้อของทีมชาติไทยในการทำตัวเกะกะ ไม่ให้โปรตุเกสเล่นเกมรุกได้ตามถนัด ทำยอดทีมจากยุโรปหัวเสียเช่นกัน ที่สำคัญทีมไทยไม่ได้รับจน “หลังพิงฝา” แต่ยังหาจังหวะเถียงตอบโต้คู่แข่งได้ด้วย
ริคาร์ดินโญ แข้งโต๊ะเล็กที่ถูกชูว่าคือนักเตะหมายเลข 1 ของโลก หลังหมดยุคสมัย ฟัลเกา ทำได้เพียงประคองจังหวะเกม ถ่ายบอลไปมา หากแต่ในรายละเอียดเกมรุกเขาแทบไม่ได้สร้างความต่าง หรือเอาชนะการดวลกับนักเตะไทยได้เลย
แม้จะเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการซัดไกลบ้าง หลังเจาะไม่เข้า แต่ คฑาวุธ วันนี้บินดี จนสามารถปฏิเสธประตูจากคู่แข่งไปได้ 5-6 ครั้ง
จุดเปลี่ยนมาจากลูกเซตเพลย์ที่เขาถูก จิรวัฒน์ ซัดขึ้นนำ ในช่วง 4 นาทีสุดท้ายก่อนจบครึ่งแรก
ฮอร์เก บราซ กุนซือมากประสบการณ์ขอเวลานอกทันที
เขาเปลี่ยนรูปแบบการเล่นโดยการส่ง ซิคกี ดาวยิงร่างใหญ่แต่คล่องตัวฉิบหาย มายืนค้ำแดนหน้าชนกับแนวรับไทย ซึ่ง “โค้ชหมี” เองก็มองไพ่ในมือคู่แข่งออก ตัดสินใจแก้เกมโดยการส่ง รณชัย จูงวงษ์สุข ที่สรีระพอฟัดพอเหวี่ยงมาสู้
ทีมชาติไทยยื้อไว้ได้หลายครั้ง จนมาเสียฟาล์วหน้ากรอบเขตโทษ จากการไปทำฟาล์ว ซิคกี และถูกลูกสูตรปลิดฉีดไปในนาทีสุดท้าย
จบครึ่งแรก 1-1 ในแบบที่เรามองว่า “ยังมีหวัง” ในการเก็บคะแนน
แต่ไพ่บนมือของ ฮอร์เก บราซ ไม่ได้มีแค่นี้
ในมุมของโปรตุเกส เขาเห็นแล้วว่าแนวรับไทยที่ต้องชนกับ ซิคกี นั้นน่วมและยวบไปทั้งตัวแล้ว นั่นจึงไม่แปลกที่เขายังยื้อใช้รูปแบบเดิมอีกครั้ง
ซิคกี ยังคงป่วนหลังบ้านไทยได้เช่นเดิม หาช่องยิงไม่ได้ก็ดื้อจนเรียกฟาล์วได้
ที่หนักกว่าคือพวกเขาไม่ได้มีแค่ ซิคกี เพียงคนเดียว แต่ยังสลับ เอริค ที่ยืนต่ำในครึ่งแรกขึ้นมาค้ำ ซึ่งความแกร่งและคล่องตัวของแข้งวัย 26 สร้างความปวดหัวให้แนวรับไทยอย่างหนัก
จนพวกเขามาได้ประตูแซงนำ 2-1 จากจังหวะสวนกลับไว หลังแย่งบอลจาก ศุภวุฒิ ได้ เป็น เอริค ที่หลุดไปดวล 1-1 กับ กฤษดา ก่อนหลอกดื้อ ๆ และล่อเป้าเข้าไป
โมเมนตั้มเกมเปลี่ยนทันที
ฮอร์เก บราซ ส่ง ซิคกี ลงมาป่วนอีกครั้ง จนไทยเสียฟาล์วไปถึง 3 ครั้งใน 10 นาทีแรกครึ่งหลัง รวมถึงเรี่ยวแรงที่ชน ฟัดกับแนวรุกคู่แข่งมาจนยวบ ทำให้ ซิคกี กดด้วยซ้ายหนีเป็น 3-1 ก่อนที่จะมาเป็น ปานี ที่มาตอกฝาโลงใส่ไทย
3 ประตูที่ไทยเสียในครึ่งหลัง มาจากการโดนความสามารถเฉพาะตัวเล่นงานทั้งหมด
นั่นคือสิ่งที่เราต้อง “ยอมรับ” ว่าเขาดีกว่า
เป็นเกมที่สนุกครบทุกรส แต่จบแบบไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่
อย่างไรก็ตามนี่แค่เพียงศึกแรก ทีมไทยยังมีโปรแกรมลงเล่นในเกมที่ 2 พบกับ โมร็อกโก ในวันที่ 16 ก.ย. ซึ่งน่าจะเป็นเกมชี้ชะตาเข้ารอบของไทยด้วย
แพ้แล้วแพ้ไป เงยหน้าสู้กันใหม่ในเกมที่เหลือ
วันนี้เชื่อว่าไม่มีใครตำหนินักฟุตบอล เพราะพวกเขาทำได้ดีแล้ว แม้จะยังดีไม่พอ
ถึงจะเสียดาย แต่ไม่เสียใจเลยสักนิด