"ไม่ว่าจะ100นัดหรือ16นัด แฟนแมนยูจะจดจำเราเสมอ" Giuseppe Rossi
จากบทสัมภาษณ์กับทาง UTD Podcast ของจูเซปเป้ รอสซี่ อดีตกองหน้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ย้อนความให้ฟังเมื่อยามที่เขาเดินทางมาอยู่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นครั้งแรกตั้งแต่อายุ 17 ในปี 2004
ซึ่งถึงแม้ว่าจะต้องมีการย้ายจากทีมระดับเยาวชนของปาร์ม่าในอิตาลีซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อคุณแม่ แต่รอสซี่ก็มีความสุขกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสนามบอลของเขา ณ ถิ่นตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ เมื่อ 17 ปีที่แล้ว
เด็กน้อยผู้เกิดมาบนผืนแผ่นดินอเมริกาย้ายเข้ามาอยู่กับทีมสำรองของยูไนเต็ด และกลายเป็นที่จับตามองในทันทีหลังจากที่คว้ารางวัล Jimmy Murphy Player of the Year (ดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี) และรางวัล Denzil Haroun Researve Team Player of the Year (นักเตะทีมสำรองยอดเยี่ยมแห่งปี) ภายในระยะเวลา 2 ซีซั่นแรกที่มาอยู่กับสโมสร
คือพูดง่ายๆว่ามาปีแรกก็ได้รางวัลดาวรุ่งเลย(2004/05) พอขึ้นมาทีมสำรองก็ได้นักเตะทีมสำรองอีก(2005/06)
อดีตนักเตะผู้เคยติดทีมชาติอิตาลีรายนี้ได้ลงเดบิวต์การเป็นนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปี 2004 ในเกมลีกคัพที่เจอกับ คริสตัล พาเลซ แม้ว่าการลงเล่นฟุตบอลบนเกาะอังกฤษจะเป็นไปได้สวย แต่ก็ยังมีบางอย่างที่รอสซี่ในวัยเยาว์นั้นจำเป็นต้องปรับตัวในช่วงแรกๆ
จูเซปเป้ รอสซี่ วัย 34 ปีในขณะนี้อธิบายหลายๆเรื่องในepisodeนี้ของ UTD Podcast ซึ่งได้ปล่อยออกมาให้ฟังผ่านทาง Official App และช่องทางอื่นๆ เขาเปิดเผยเรื่องราวดังนี้
"มันเข้มข้นมากเป็นสิบเท่า"
"มันเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคยมาก่อนเลย ผมคิดว่าผมไม่เคยเจอทีมชาติอังกฤษชุดเล็กเลยในรุ่นเยาวชน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน แม้แต่กับระดับทีมชาติก็ตาม"
"ผมเก็บเกี่ยวอะไรได้มากมาย ผมรู้ดีว่าถ้าผมไม่เล่นให้มันเข้มพอๆกับพวกเขา อย่างแรกเลยผมจะต้องเจ็บตัวแน่ๆ และอย่างที่สองคือเค้าก็จะไม่ให้ค่าผมด้วย เพราะงั้นผมเลยต้องทำอะไรสักอย่างขึ้นมาให้ได้"
สามดาวรุ่ง คีแรน ริชาร์ดสัน, ซิลแวง อีแบงค์ส-เบลค และ จูเซปเป้ รอสซี่
"ตอนที่ผมกลับไปติดทีมชาติ U-21s หลังจากอยู่กับแมนยูมาสักประมาณหลายเดือนผมก็คุ้นเคยกับการใส่รองเท้าสตั๊ดแบบมีปุ่ม ซึ่งที่อิตาลีนั้นเค้าไม่สตั๊ดปุ่มกัน ส่วนใหญ่จะไม่ใส่ เพราะงั้นหลายๆครั้งช่วงตอนซ้อมที่ผมใส่สตั๊ด แล้วผมพลาดไปเหยียบพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมก็จะโดนด่า"
"ด่าประมาณว่า เฮ้ย นายทำบ้าอะไรเนี่ย อยากใส่สตั๊ดสไตล์อังกฤษ ก็ออกไปอยู่อังกฤษเลยไป"
"ผมก็ได้แต่บอกว่า เฮ้ โบร๋.. ผมจำต้องเป็นแบบนี้เพราะว่าผมต้องปรับตัวเข้ากับทีมให้ได้ มันเป็นการที่ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมการเล่นครั้งใหญ่มากๆ แต่ผมชอบมันนะ"
นักเตะคนนึงที่รอสซี่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในทีมชาติบ่อยมากๆตอนอยู่ในชุดเยาวชนรุ่นอายุน้อยๆนั้น ก็คือนักเตะยูเวนตุสผู้ซึ่งเป็นกองหลังทีมชาติอิตาลีชื่อกระฉ่อน
เขาคือ จอร์จิโอ้ คิเอลลินี่
รอสซี่เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาที่เซ็นเตอร์แบ็คแชมป์ยูโร 2020 รายนี้สังเกตเห็นในตัวเขาเมื่อหลายปีก่อนในยุคนั้น ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่รอสซี่ย้ายมาอยู่กับยูไนเต็ดแล้ว
"ผมไต่ระดับชั้นขึ้นมาพร้อมกับคิเอลลินี่ ช่วงอยู่ในทีมชุดU-21s ผมเล่นด้วยการพุ่งเข้าเสียบแบบกะเอาให้แหยงเลย ซึ่งไม่มีใครทำอะไรแบบนั้น แล้วคิเอลลินี่ก็เดินมาคุยกะผมประมาณว่า อังกฤษเปลี่ยนแปลงนายว่ะเพื่อน ข้าโคตรชอบเลย"
ในวันที่จูเซปเป้ รอสซี่ ได้ลงสนามเดบิวต์ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเกมเจอกับคริสตัล พาเลซ เดือนพฤศจิกายน ปี 2004 นั้น มันเป็นปีเดียวกันกับที่เขาเพิ่งย้ายมาเข้าสู่ทีมเลยทันที และได้ลงสนามทั้งหมด 14 นัด จากจุดเริ่มต้นแรกสุดจากการใช้เวลาในการเก็บประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลอังกฤษกับทีมเยาวชน
ช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดส่วนใหญ่ในเส้นทางค้าแข้งของเขานั้น ไปเกิดและเฉิดฉายอยู่กับ "บียาร์เรอัล" ภายใต้ยูนิฟอร์มสีเหลืองทั้งชุด อย่างที่แฟนผีเคยเห็นรอสซี่ย้ายไปใส่ชุดนั้นแล้วฟอร์มดี ด้วยการระเบิดตาข่ายไป 82 ประตู จาก 192 เกมให้กับสโมสรจากลาลีกาสเปนทีมนี้ ในระยะเวลา6ปีอันน่าจดจำที่สนาม Estadio de la Cerámica
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม อดีตดาวเตะทีมชาติอิตาลีรายนี้ก็ยังคงคิดถึงช่วงเวลาดีๆที่เคยอยู่กับปีศาจแดงอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในซีนที่เด่นที่สุดก็คือการได้เปิดตัวในการลงสนามเกมเปิดตัวกับพาเลซในลีกคัพรอบ4 ฤดูกาล 2004/05 ซึ่งรอสซี่เล่าเรื่องในวันนั้นให้เราฟังดังนี้
"ผมจำได้เลยว่า ผมเป็นตัวสำรองได้ลงสนามในนาที 70-75 ตอนที่ยังอายุแค่17เองช่วงนั้น มันเป็นอะไรที่สุดมาก" รอสซี่เล่าให้ฟังในการให้สัมภาษณ์exclusiveกับpodcastในครั้งนี้
"การได้บอลครั้งแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นตอนที่ผมยืนอยู่ตรงเส้น 18หลานะ บอลลอยมากลางอากาศ แล้วผมจำได้ว่าผมกะจะยิงใส่มุมบน ซึ่งง้างมาเต็มที่เลยล่ะ สุดท้ายหวดว่าวเต็มๆ โคตรอายเลยครับ"
"แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็เป็น 15นาทีที่มหัศจรรย์มากๆที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย"
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี โมเมนต์ในฝันอีกครั้งหนึ่งของจูเซปเป้ก็มาถึง เมื่อเขาระเบิดประตูแรกในชีวิตการค้าแข้งได้ในเกมพรีเมียร์ลีก ที่ทีมเอาชนะซันเดอร์แลนด์ไป 3-1 คาสนาม Stadium of Light
"ประตูแรกในชีวิตของผม ผมเป็นสำรองลงมาในตอนที่ทีมนำอยู่ 2-0 ผมเปลี่ยนลงมาแทนฟานนิสเตอรอย แล้วพอลงมาปุ๊บ ทีมก็โดนยิงไล่มาเป็น 2-1 เฉยเลย"
"แต่หลังจากนั้นรูนีย์จ่ายบอลก็เป็นคนผ่านบอลมาให้ผม แล้วผมก็ยิง จากนั้นก็ฉลองกันอย่างบ้าคลั่งเลยล่ะ"
มันคือคอมโบจาก อลัน สมิธ ที่เติมมาตัดบอลให้ เวย์น รูนีย์ ซึ่งจ่ายจังหวะเดียวให้รอสซี่เลี้ยงหามุมยิงแล้วซัดเข้าไปอย่างเฉียบคม
"เมื่อสองสามเดือนก่อนมีคนโพสต์รูปที่ ริโอ และทุกๆคนกระโดดมารุมผม และผมจำได้ว่าแค่ว่าหายใจไม่ออก นอกจากนั้นก็เบลอไปหมดแล้ว ผมลืมความรู้สึกตอนนั้นไปแล้ว แต่พอได้เห็นภาพที่มีมือปิดหน้าผมอยู่ภาพนั้นนี่ ยังกะเกิดจลาจลในสนามเลย มันเจ๋งมากๆที่ได้เห็นภาพนั้น"
รอสซี่ยังเล่าเรื่องต่างๆอีกมากมายโดยเฉพาะความรักที่เขายังมีกับสโมสรเราอยู่ สถานที่ที่เขาย้ายมาร่วมทีมตั้งแต่ตอนอายุ 17 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกกับ "แฟนแมนยู"
"พวกเขายอดเยี่ยมมาก"
"พวกเขาให้กำลังใจสนับสนุนผมอยู่ตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ ผมได้เล่นให้แมนยูแค่ 16 เกมเองนะ แต่แฟนแมนยูแสดงความรักให้ผมสัมผัสได้อย่างมากจนกระทั่งถึงทุกวันนี้"
"มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นรักสโมสรขนาดไหน ผมมั่นใจว่าเดวิด(เมย์)จะแฟนๆเรียกตลอดเวลาแน่ๆ พวกเขาจดจำนักเตะของเราได้เสมอ ไม่ว่าจะลงเล่นเป็นร้อยๆนัดเหมือนเดวิด หรือว่าลงเล่นแค่ 16 เกมเหมือนกับผม"
"ผมกลับมาฝึกซ้อมที่นี่อีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว ปีครึ่งที่ผ่านมา แล้วคนก็ทักว่า ว้าวว จูเซปเป้เว้ย ผมก็ตอบไปว่า พวกคุณยังจำผมได้อีกเหรอเนี่ย? ว้าว เยี่ยมไปเลย สงสัยผมต้องแจกลายเซ็นแล้วล่ะมั้งเนี่ย"
จูเซปเป้ รอสซี่ ที่กลับมาร่วมฝึกซ้อมกับทีมในปี 2019
นอกจากนี้แล้ว ยังมีเรื่องราวของเนมันย่า วิดิช ที่ทำให้รอบชิงเกมบอลถ้วยของรอสซี่ กลายเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลืม
ดาวเตะอิตาเลียนในตอนเป็นดาวรุ่งนั้นไม่ได้ลงสนามมีส่วนร่วมกับทีมในเกมขยี้วีแกน 4-0 ในลีกคัพรอบชิงปี 2006 ที่มิลเลนเนียมสเตเดี้ยม ตามการรายงานของ MEN ซึ่งจริงๆแล้ว รอสซี่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในสามเกมแรกให้แมนยูไนเต็ดก่อนจะพาทีมมาถึงรอบชิงที่คาร์ดิฟฟ์ แต่ไม่มีที่ว่างของเขาบนโพเดี้ยม
อย่างไรก็ตาม รอสซี่ในขณะนั้นที่อายุ19ปี การมีส่วนร่วมในการพาทีมเข้ามาถึงแชมป์ได้นั้นไม่ได้ถูกมองข้ามหรือลืมเลือนไปเลย และนักเตะใหม่ในตอนนั้นอย่าง "เนมันย่า วิดิช" ก็ทำเซอไพรส์ให้กับเขาหลังจากจบเกมถล่มวีแกน 4-0 นั้นไป โดยที่วิดิชพาเขาออกมา แล้วยกเหรียญแชมป์ให้กับรอสซี่
"เนมันย่าบอกผมว่า ผมสมควรได้รับมันมากกว่าตัวเขา ผมช็อคเลยนะเพราะผมไม่ได้คาดคิดมาก่อน แต่นั่นคืออีกเรื่องนึงที่ผมจะไม่มีวันลืมได้เลย จากวันคืนที่เคยอยู่กับยูไนเต็ดที่นี่"
สังเกตกันให้ดีๆ ไม่มีเหรียญบนคอของเนมันย่า วิดิช
จิ๋วจี๊ดรายนี้มาอยู่กับแมนยู 18เดือนก่อนหน้าช่วงเวลานั้นในวัย 16ปีแบบเด็กๆใสซื่อบริสุทธิ์ที่มาเห็นโลกกว้าง ใส่เสื้อยืด Ralph Lauren กับกางเกงยีนส์ตัวโคร่งๆของเขามาที่นี่
จากนั้นรอสซี่ก็เซ็นสัญญาที่แคริงตันเดือนกรกฎาคม ซึ่งครอบครัวของรอสซี่ทั้งบ้านก็มาอยู่ร่วมเป็นสักขีพยานด้วยเพื่อพบเจอกัอเฟอร์กูสัน โดยมีเฟอร์นานโด้ พ่อของเขา คุณแม่คลีโอทีล์เด้ น้องสาว ทีน่า
แม้ได้ลงรับใช้กุนซือชาวสก็อตเพียงแค่ 14 เกม แต่ว่าเขามีแต่ความทรงจำดีๆกับบอสรายนี้
"เขาคือมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่มากๆ"
"ผมชอบดูแง่มุมนอกสนามของป๋าอยู่บ่อยๆ และเขาแสดงให้เห็นถึงความเคารพที่มีต่อคนอื่นๆ ไม่ว่าจะนักเตะของเขา และทุกๆคนที่ทำงานที่แคริงตัน ตั้งแต่คนดูแลสนาม คนทำงานโรงอาหาร โค้ชชุดเล็ก เป็นต้น"
"นั่นคือสิ่งที่เด่นชัดที่สุด เพราะว่ายิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่มาก โปรไฟล์สูงมากเท่าไหร่ มันยิ่งง่ายมากๆที่คนเหล่านั้นจะละเลยหรือมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆไป"
"แต่ว่าไม่ใช่กับเซอร์อเล็กซ์คนนึงแน่นอน เพราะงั้นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเคารพและชื่นชมเขาอย่างมาก"
และนี่คือเรื่องราวบางส่วนของอดีตกองหน้าดาวรุ่งร่างจิ๋วที่เคยเป็นความหวังใหม่ของเราแฟนผีในยุคนั้น ในฐานะกองหน้าเซนส์สูงที่มีการยิงที่คมกริบ จนบางครั้งเราพูดกันว่านี่จะเป็นตัวแทนกองหน้าต่อจากรุด ฟาน นิสเตอรอย ให้กับเราเลยในตอนนั้น
ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ย้ายออกจากทีมไป และได้ไปเกิดกับ Yellow Submarine แทนในที่สุดอย่างที่เราทราบกัน ซึ่งผู้เขียนก็เชื่อว่า แฟนผีเองก็น่าจะ "ดีใจ" กับรอสซี่ด้วยอย่างมาก ที่ในที่สุดน้องก็ได้ย้ายไปแล้วได้ไปเกิดกับทีมที่ใช่
ซึ่งนั่นแปลว่า รอสซี่ก็เป็น "ของจริง" อีกคนเช่นกัน
หมายความว่าเรามีทรัพยากรนักเตะที่ล้ำค่าอยู่ในมือ เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถสอดแทรกนักเตะระดับตำนานของสโมสรขึ้นมาไหว ในยามที่ทีมมีรูนีย์ โรนัลโด้ อยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ล้มเหลวอะไรเลย กลับดีเสียอีกที่เขาได้เจอทีมที่คลิกกับสไตล์การเล่นพอดีอย่างบียาร์เรอัลในสเปน
แม้ว่าตลอดเส้นทางการค้าแข้งของเขา ปัญหาหลักๆจะมาจากสภาพร่างกายที่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังอยู่บ่อยๆ แต่ในยามที่ฟิตสมบูรณ์ ที่คือกองหน้าตัวจี๊ดที่คมมากคนนึง ทุกๆครั้งที่เห็นเขาลงกองหน้าในสนาม
แม้จะเป็นดาบเล่มเล็กๆ แต่ใบมีดของเขามันคมกริบที่สุดเล่มนึงจริงๆ
Giuseppe Rossi
-ศาลาผี-
https://www.irishmirror.ie/sport/soccer/soccer-news/former-man-united-striker-reveals-11132729