เหตุผลที่ The Godfather "ราล์ฟ รังนิค" ไม่น่าได้มาแมนยูไนเต็ด
ราล์ฟ รังนิคนั้นได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งฟุตบอลเยอรมันเลยก็ว่าได้ อย่างที่หลายๆคนทราบกันว่าเขาคือผู้คิดค้น "เกเก้นเพรสซิ่ง" ขึ้นมา และเป็นผู้ที่เป็นเหมือนพิมพ์เขียว ต้นแบบ และอาจารย์ของผู้จัดการทีมสายบอลระบบหลายๆคน โดยเฉพาะชาวเยอรมัน ซึ่งรังนิคเป็นไอดอลของ เจอร์เก้น คล็อปป์, ยูเลียน นาเกลส์มันน์ รวมถึง โธมัส ทูเคิล ด้วย
แต่อะไรทำให้เขาเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ?
บุรุษวัย 63 ปีรายนี้คือบุคคลระดับพรสวรรค์ และได้รับการยกย่องเป็น "เทพแห่งแทคติก" ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของสไตล์เกเก้นเพรสซิ่งที่เจอร์เก้น คล็อปป์ ใช้
ประวัติคร่าวๆของรังนิคเท่าที่จะอธิบายได้ก็คือ ยามที่เป็นนักเตะเขาก็ไม่ได้โด่งดังอะไรมาก และเริ่มจับงานโค้ชครั้งแรกในช่วงยุค90 ตั้งแต่สมัยที่เยอรมันครองโลก (รังนิคแขวนสตั๊ดปี88) ช่วงนั้นเยอรมันในทรง 3-5-2 ก็ได้แชมป์ฟุตบอลโลกปี 1990 รวมถึงแชมป์ยูโร 96 ด้วย
คำจำกัดความง่ายๆของราล์ฟ รังนิคก็คือ เป็นคนโคตรเก่งที่ทำหลายหน้าที่มากๆในวงการฟุตบอล ตั้งแต่วางระบบ โครงสร้าง รากฐานวิธีการ รวมถึงรายละเอียดในเชิงฟุตบอลที่เป็นโครงสร้างทั้งระบบ แถมยังเป็นคนที่มีความคิดนอกกรอบ เปิดรับสิ่งใหม่ๆ พัฒนาตัวเองไปตามยุคสมัยตลอดเวลา
ต้องบอกว่า ไอดอลของรังนิคคือ อาริโก ซาคคี ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมของเอซี มิลาน และทีมชาติอิตาลี อยู่ในระดับปรมาจารย์เช่นกัน และรังนิคเป็นผู้คิดค้นแทคติกสมัยใหม่ๆขึ้นมา จากยุคที่เยอรมันครองโลกด้วยลิเบอโร่ เล่นด้วย 3-5-2 ไล่มาจนกระทั่งเขาเองได้พบที่ปรึกษาอย่าง เฮลมุส กรอส ที่เป็นคนแรกๆในเยอรมันที่เลิกใช้ลิเบอโร่ ทำให้บอลของรังนิคนั้นไม่ได้เป็นแบบยุคเก่า แต่สร้างอะไรใหม่ๆที่มันเป็นเหมือนพิมพ์นิยมในยุคปัจจุบันนี้ เช่นการใช้กองหลัง4คน มิดฟิลด์สองคน ปีกสองคน ตัวเล่นหลังกองหน้า และก็กองหน้าตัวstriker
(ฟังไปฟังมามันก็คือ 4-4-2 แบบปีกดันสูง+มีกองหน้าตัวต่ำ หรือไม่ก็ 4-2-3-1 ในยุคนี้ดีๆนี่เอง)
รังนิคอธิบายเรื่องเกเก้นเพรสซิ่งในปี1998 ขณะที่เป็นบอสของ Ulm 1846
ส่วนเรื่องของเกเก้นเพรสซิ่งนั้น หลักๆก็คือ ถือกำเนิดขึ้นมาจากคำอธิบายแทคติกของรังนิคในปี 1998 ที่จะเน้นการ "ดันพื้นที่การเล่น" ขึ้นมาสูงใส่คู่แข่ง เล่นบอลเร็ว บีบใส่คู่แข่ง เล่นสวนกลับไว และในทันทีที่เสียบอลก็จะวิ่งเข้าบีบสวนกลับเลยเช่นกัน และมันก็คือCounter-pressing นั่นเอง
เกียรติประวัติของรังนิคต้องบอกว่ามีหลายอย่าง หลากหลายที่เพราะว่าผ่านการคุมทีมมาเยอะมาก หลายๆทีมในเยอรมันเช่น ชาลเก้04 ฮอฟเฟ่นไฮม์ สตุ๊ทการ์ด ฮันโนเวอร์96 รวมถึง ไลป์ซิกด้วย งานเด่นๆก็เช่น การพาชาลเก้เข้าถึงรอบรอง UCL ในปี 2011 จากนั้นปีต่อมา เขาก็ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการฟุตบอลให้กับทีม Red Bull Salzburg รวมถึง RB Leipzig ด้วย
ทำงานเฉพาะเป็นdirectorอยู่สามปีก่อนที่จะมาเป็นเฮดโค้ชคุมไลป์ซิกในซีซั่น 2015/16 และ 2018/19 สองซีซั่น และปัจจุบัน ปี 2021 ก็มาเซ็นสัญญาสามปี เป็นผู้จัดการฝ่ายฟุตบอลและการพัฒนาของสโมสรโลโคโมทีฟ มอสโคว
รังนิคนั้นได้รับการเชื่อมโยงข่าวว่าอาจจะมาเป็นตัวแทนของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ ซึ่งแฟนหลายๆส่วนก็ตื่นเต้นกับการที่เขาอาจจะย้ายมาคุมทีมเรา
แต่เขาคือตัวเลือกที่ใช่จริงๆหรือไม่ บทความนี้มีข้อสังเกตอยู่หลายประการ
1.อธิบายแทคติกของรังนิค
ตลอดการคุมทีมของเขา รังนิคเล่นในระบบ 4-4-2 ที่สามารถเปลี่ยนเป็น "4-2-2-2" ได้ และดูเหมือนว่าเขาจะชอบใช้กองหน้าคู่ตัวบนสุดสองคน พิจารณาจากการที่เขามีใช้แผนการเล่น 3-5-2 บ่อยครั้งที่ RB Leipzig ด้วย
รังนิคเล่น 4-3-3 ที่ฮอฟเฟ่นไฮม์ แต่ไม่เยอะเท่าแผนอื่นๆที่กล่าวมา
ทีมของเขาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะเล่นเกมบุกเป็นหลัก และอาศัยการดักบอลคู่แข่งได้อย่างชาญฉลาดเวลาที่เล่นพลาดเอง (จากการโดนเพรส นี่คือปรัชญาหลักๆเลย ดังนั้นจะเห็นว่า แมนยูแพ้ทางสิ่งนี้อย่างมาก โดนบีบแล้วพลาด ถือเป็นคีย์สำคัญของทีมที่เล่นเพรสซิ่ง นำมาใช้อัดใส่ปีศาจแดงเน้นๆ)
ปรัชญาการยืน และควบคุมพื้นที่ ชัดซะยิ่งกว่าชัดที่ดึงเอาแบทเทิลแอเรีย มาอยู่ในแดนคู่แข่ง ถ้าคู่แข่งพลาด มีโอกาสโดนทันทีจากการเพรสสำเร็จ
พวกเขาจะไม่เน้นการครอบครองบอลเป็นอาวุธหลัก และจะไม่พยายามที่จะลงไปเล่นตั้งรับลึกเพื่อที่จะรอคู่แข่งพลาดเอง
"เพรสซิ่ง" คือปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของทุกๆทีมที่รังนิคคุม และไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลยที่รังนิคจะขึ้นชื่อว่าชอบการทำงานกับนักเตะอายุน้อยๆ ไล่ตั้งแต่นักเตะตำแหน่งกองหลังยันตัวรุก และก็พวกกองกลาง ทุกๆคนมีหน้าที่ และเปลี่ยนการเล่นอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้คู่แข่ง
2.รังนิคเข้ามาจะสร้างผลกระทบอย่างไรต่อยูไนเต็ดบ้าง?
ตอนนี้แมนยูไนเต็ดมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เอดินสัน คาวานี่ เป็นตัวเลือกในตำแหน่งกองหน้า แต่ว่าคาวานี่เองก็จะหมดสัญญาในซัมเมอร์ที่จะถึงนี้ ส่วนโรนัลโด้จะอยู่อีกซีซั่น แต่ขณะนี้ทีมยังไม่มีตัวเลือกของกองหน้าถาวรระยะยาวเข้ามาในทีม จึงมีเท่าที่เห็นนี้ที่ใช้งานได้จริงๆ
(ส่วนเมสัน กรีนวู้ด ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก แต่ก็ยังไม่ใช่ striker แท้อยู่ดี เพราะน้องยังคงเล่นเป็น Centre-Forward มากกว่าจะเป็นหน้าเป้าในปัจจุบันนี้)
พูดถึงพี่โด้กันก่อน ดาวเตะโปรตุกีส ตำนานที่ยังคงโลดแล่นอยู่นั้น การเพรสซิ่งคือสิ่งที่ไม่ใช่จุดเด่นของเขาเลย ทีมที่มีโรนัลโด้อยู่จะต้องเล่นโดยการใช้งานเขาให้เต็มที่ ซึ่งหลักการมันค้านกันโดยตรงกับการทำทีมของรังนิคอย่างเห็นได้ชัด
หากราล์ฟเข้ามาคุมทีมในตอนนี้เลยนั้น เขาก็ไม่สามารถดึงนักเตะที่เขาต้องการใช้งานเข้ามาได้ และถ้าจำเป็นต้องเล่นด้วยตัวนักเตะเท่าที่มีอยู่ในมือนั้น ก็ลองจินตนาการถึงความหนักหน่วงที่นักเตะวัย 30+ ทั้งสองคนจะต้องรับมือด้วย ซึ่งมันไม่ไหว
รังนิคเข้ามาอาจจะส่งผลต่อโอกาสการได้ลงสนามของปีกในทีม อย่างเช่นมาร์คัส แรชฟอร์ด และ เจดอน ซานโช่ ที่ซื้อเข้ามาในราคา 75 ล้านปอนด์ด้วย
มิดฟิลด์ตัวรับที่มีฝีเท้าความเร็วที่ดีนั้น ก็จำเป็นอย่างมากต่อการเซ็ตระบบของรังนิคให้ผลิดอกออกผลด้วย
ดูจากการที่เน้นหนักเรื่องการเพรสซิ่งแล้วนั้น ให้สังเกตว่านักเตะแมนยูไนเต็ดขาดความเร็วอยู่หลายๆตัว และมักจะลงไม่ค่อยทัน (track back) อยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น แฮรี่ แมกไกวร์นั้นช้ามาก ช้าเกินไปในแนวหลัง และจนทุกวันนี้ทีมก็ยังทดสอบหามิดฟิลด์ชุดที่ลงตัวไม่ได้อยู่เลย
บางทีระบบดังกล่าวอาจจะเหมาะสมและเข้ากับ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ + เฟร็ด + "กลางรับที่เหมาะสม" อีกหนึ่งตัว (นึกถึงกลางของลิเวอร์พูลก็ได้ครับ เน้นพลัง วินัย ความแน่นอน)
แต่ก็นั่นแหละครับอย่างที่ทราบกันว่า เนมันย่า มาติชนั้น ขาดความเร็วอีกนั่นแหละในการที่จะสร้างประโยชน์ในแผนการเล่นของรังนิคได้ ซึ่งมันก็คือความเร็วอีกแล้ว
นักเตะเราขาดความเร็วหลายตัวพอสมควรถ้าสังเกตดีๆ ปอล ป็อกบาก็ใช่
ตัวรังนิคเองนั้นไม่มีทางที่จะเปลี่ยนสไตล์ของตัวเขาเองเพื่อสโมสรอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นแปลว่า หากรังนิคเข้ามา การเซ็ตระบบก็มีโอกาสที่จะเป็นไปไม่ได้ และมาสร้างระบบที่นี่ไม่ได้ เหมือนอย่างที่หลายๆคนคาดหวังว่า จะให้รังนิคเข้ามาเซ็ตระบบ แล้วรอคนใหม่มาคุมทีมต่อ เช่น เทน ฮาก เป็นต้น
แค่คิดจะเริ่ม ก็มองเห็นความเป็นไปไม่ได้แล้ว
3.ปัจจัยภายนอกที่อาจทำให้การดึงตัวรังนิคมานั้นเป็นไปไม่ได้
ในยามที่บอร์ดบริหารของสโมสรนั้นมักจะทำการตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างที่ไม่ค่อยดีทั้งในและนอกสนามอยู่เสมอ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ตัวแทนของโอเล่นั้นจะเข้ามาแล้วเวิร์คได้ยังไง ถ้าบอร์ดเบื้องบนยังเป็นแบบนั้นอยู่
เกร็ดเล็กๆเรื่องรังนิคที่หลายคนอาจจะรู้แล้วนั่นก็คือ เขาเกือบจะได้ไปคุมเอซี มิลานแล้วในปี 2020 (หลังจากคุมไลป์ซิกคำรบสอง) แต่ว่าตัวเขาต้องการเป็นคนควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างของสโมสร
ผลก็คือ ดีลรังนิคคุมมิลานก็ล่มไปอย่างที่เห็นกัน
ซึ่งพวกตระกูลเกลเซอร์ นั้นก็ไม่ใช่คณะที่จะไปต่อรองอะไรด้วยได้เลย ดังจะเห็นได้จาก เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล และ โจเซ่ มูรินโญ่
ก็ค่อนข้างชัดว่ารังนิคที่ต้องการอำนาจเบ็ดเสร็จนั้น คงไม่สามารถจะมาอยู่ที่นี่ได้แน่ๆ เพราะเกลเซอร์ยังคงคุมทุกอย่างอยู่ และพวกเขาชอบผู้จัดการทีมที่ว่านอนสอนง่าย และไม่ใช่คนที่จะมาแล้วงัดใส่บอร์ดอย่างเช่นตัวอย่างของการไม่เอาคอนเต้เป็นต้น เคสของรังนิคก็เหตุผลเดียวกันเป๊ะๆ
รังนิคเองก็ไม่ได้คุมทีมมาเป็นปีๆแล้ว ซึ่งครั้งสุดท้ายคือการคุมสโมสร RB Leipzig แล้วก็แยกทางมาในปี 2020 ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นเฮดของฝ่ายกีฬาและพัฒนาของโลโคโมทีฟ มอสโควอยู่ ซึ่งไม่ได้เป็นตำแหน่งที่คุมทีม
ดังนั้นมันก็อาจจะยังเป็นไปได้อยู่ที่เขาจะสนใจที่จะรีเทิร์นกลับมาคุมทีมก็เป็นไปได้ ข้อนี้ถือว่ารังนิคเป็นต่อตัวเลือกอื่นๆ เนื่องจากว่าคนอื่นอย่าง พอช รอดเจอร์ส เทน ฮาก พวกนี้คือมีสโมสรคุมทีมอยู่แล้วทั้งหมดเลย รังนิค จึงถือเป็นตัวเลือกที่มีข่าวเชื่อมโยงน่าสนใจมา เพราะว่าความavailableที่อาจจะดึงตัวเขามาได้ ถ้าเจ้าตัวสนใจจะกลับมาทำงานโค้ชอีกครั้ง
แต่เมื่อดูปัจจัยหลายๆอย่างแล้ว ราล์ฟ รังนิค กับแมนยูไนเต็ด ดูจะเป็นไปได้ยากจริงๆ
อยู่กับโอเล่ต่อไปอีกระยะนึงแน่นอน..
-ศาลาผี-
References
https://totalfootballanalysis.com/analysis/ralf-rangnick-tactical-analysis-tactics