"โรมัน อับราโมวิช" เจ้าของทีมที่ดีสุดในประวัติศาสตร์เชลซี
เชลซี ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบชิงชนะเลิศ 1-0 และต่อยอดผลงานที่ยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ ด้วยการยึดตำแหน่งจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีก โดยไม่มีท่าทีว่าจะฟอร์มตกลงไปเลย
นอกจากผู้จัดการทีม, สตาฟ และนักเตะแล้ว ฟันเฟืองที่สำคัญมาก ในการนำเชลซี พุ่งชนประสบความสำเร็จ คือชายที่ชื่อว่า “เสี่ยหมี” โรมัน อับราโมวิช คนที่หลายคนยกย่องให้ว่า คือเจ้าของทีมที่ดีสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ช่วงนี้ เราลองไปย้อนความทรงจำกันหน่อยว่า อบราโมวิช เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรในทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ไม่ว่าจะเป็นความทุ่มเท, การอัดเม็ดเงินมหาศาล และความสำเร็จที่นำมาให้ ชนิดพลิกโฉมหน้าของสโมสรไปอย่างสิ้นเชิง
ย้อนเวลากลับไป อับราโมวิช ตัดสินใจเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรเชลซี ในช่วงปี 2003 โดยการเข้ามาบริหารทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ครั้งนั้น เขาต้องทุ่มเงินกว่า 140 ล้านปอนด์ ยังไม่รวมในส่วนของหนี้สิ้น 75 ล้านปอนด์ จนวันนี้ สโมสรถูกประเมินราคาเอาไว้มากถึงหลัก 2 พันล้านปอนด์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม อับราโมวิช บอกว่า การที่เขาเข้ามาซื้อสโมสร ไม่ใช่เพียงเหตุผลด้านการต่อยอดในเชิงธุรกิจเท่านั้น แต่เขามองว่า เชลซี คือทีมที่ประกอบไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เขาต้องการสร้างเชลซี ให้กลายเป็นยอดทีม พร้อมกับมองว่านี่คือสโมสรแห่งชุมชนด้วย
อับราโมวิช กล่าวเสริมต่อว่า เขาไม่เพียงให้ความสำคัญกับทีมฟุตบอลชายเท่านั้น ทีมระดับเยาวชน และทีมหญิง เขาก็ไม่มองข้ามเช่นเดียวกัน โดยเขาหว่านเงินลงไป เพื่อช่วยพัฒนาทีมในทุกระดับ และพัฒนาบุคลากรในทุกระดับชั้น นอกจากนี้ เขายังคอยพัฒนาสนามซ้อม สิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้ทีมลงเล่นฟุตบอลด้วยความเป็นมืออาชีพมากที่สุด
อาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่การเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร ในช่วงปี 2003 อับราโมวิช กระหน่ำใช้เงินซื้อนักเตะอย่างบ้าคลั่ง เขาแทบจะไม่รู้จักคำว่าประหยัด ในการสร้างเชลซี ให้กลายเป็นสโมสรระดับโลก ที่ประกอบด้วยซูเปอร์สตาร์ และนักเตะฝีเท้าดี
สถิติบอกว่า อับราโมวิช ทุบสถิติซื้อตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรเป็นว่าเล่น ก่อนการเข้ามาของเขา นักเตะที่แพงสุดของเชลซี คือจิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ ที่ย้ายจากแอตเลติโก้ มาดริด มาด้วยราคาราว 22 ล้านยูโร ในฤดูกาล 2000-01
ปัจจุบัน อบราโมวิช ทุ่มเงินจนมีนักเตะกว่า 38 คน ที่มีค่าตัวแพงกว่าฮัสเซลเบงค์ หากเราเจาะลึกไปมากกว่านั้น มีนักเตะเชลซี จำนวนมากกว่า 9 คน ทีอับราโมวิช ทุ่มเงินมากกว่าหลัก 50 ล้านยูโร ในการดึงตัวมาร่วมทีม ซึ่งคนที่แพงสุดในเวลานี้คือโรเมลู ลูกากู ที่จำนวน 115 ล้านยูโร
สถิติหนึ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ ตลอดการเป็นเจ้าของทีมเชลซี 18 ปีของอับราโมวิช สโมสรสามารถคว้าแชมป์มาครองได้มากถึง 19 โทรฟี่ หรือตามค่าเฉลี่ยแล้ว เชลซี จะมีแชมป์ติดไม่ติดมือทุกปี นี่คือช่วงเวลาที่ทีมแทบไม่เคยร้างจากความสำเร็จเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายแบบจริงจังนั่นเอง
สำหรับแชมป์ของ “สิงโตน้ำเงินึคราม” ภายใต้การเป็นเจ้าของของ “เสี่ยหมี” ประกอบด้วย พรีเมียร์ลีก 5, เอฟเอ คัพ 5, ลีก คัพ 3, คอมมูนิตี้ ชิลด์ 2, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 และยูโรป้า ลีก 2 สมัย
แน่นอนว่า การได้แชมป์ติดมือแทบทุกปี ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการกล้าตัดสินใจของอับราโมวิช โดยเฉพาะเรื่องของผู้จัดการทีม อาจกล่าวได้ว่า หากใครทำผลงานไม่ตามเป้า “เสี่ยหมี” ก็พร้อมปลด พร้อมกับหาคนที่เหมาะสมเข้ามาทำงานต่อทันที เพราะสำหรับเขา บางครั้งความสำเร็จมันก็รอเวลาไม่ได้
นับตั้งแต่เข้ามาบริหารทีมในปี 2003 อับราโมวิช เขาผ่านการใช้งานกุนซือมาแล้วมากกว่า 15 ราย (รวมกุนซือรักษาการด้วย) หรือเฉลี่ยแล้ว เขาจะเปลี่ยนกุนซือทุกๆฤดูกาลเศษเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ไม่เคยมีกุนซือคนไหน คุมทีมมากกว่า 200 เกมในยุคการเป็นเจ้าของทีมของเขาเลย ซึ่งกุนซือที่คุมเชลซี ด้วยจำนวนนัดมากที่สุด ภายใต้การเป็นเจ้าของของอับราโมวิช คือ “โชเซ่ มูรินโญ่” (ในการคุมทีมช่วงแรก ระหว่างปี 2004-2007) โดยคุมทีมไป 185 เกมด้วยกัน
ท้ายที่สุดแล้ว อับราโมวิช ไม่ค่อยเหมือนกับเจ้าของทีมต่างชาติทั่วไป ที่เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมในพรีเมียร์ลีก และปล่อยให้ฟุตบอลทำหน้าที่ของมัน โดยมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย รายนี้ มักไปเชียร์ทีมแบบติดขอบสนามอยู่เสมอ แทบไม่เคยพลาดเลย กระทั่งมีปัญหาเรื่องวีซ่า และไม่อาจเดินทางเข้าอังกฤษ ได้
จึงไม่น่าแปลกใจว่า อับราโมวิช จะเดินลงสู่สนาม เพื่อฉลองความสำเร็จกับเชลซี ที่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา แน่นอนว่า เขาพร้อมที่จะทุ่มเงินอย่างมหาศาล เพื่อต่อยอดให้ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอน ทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นไป