:::     :::

"คนที่หนึ่งกับคนที่สอง" ว่าที่ลูกเรือลุงรังระดับ "อดีตบอส"

วันอังคารที่ 07 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
4,192
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
วิเคราะห์Candidate คนที่มีโอกาสจะเข้ามาเป็นทีมสตาฟฟ์ของรังนิค แบบละเอียดยิบเรียงตัว และโปรไฟล์แต่ละคนที่จะเข้ามาเป็น "ลูกเรือลุงรัง" นั้น เข้าขั้นระดับ "อดีตบอส" แทบทั้งสิ้น!!! ใครเป็นใครบ้าง ไปดูกัน

ในขณะที่แฟนผีกำลังเฮฮาและปลื้มปริ่มกับฟอร์มของ "เฟร็ดร่างทอง" นั้น หลังจากที่ประเดิมคุมนัดแรกของ "Ralf Rangnick" ด้วยชัยชนะเหนือคริสตัลพาเลซได้อย่างสวยงาม และเป็นเฮดโค้ชชาวเยอรมันคนแรกที่คว้าชัยได้ตั้งแต่การคุมทีมนัดแรก กับรูปเกมที่พัฒนาขึ้นมากในทรงบอลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ทั้งการเริ่มที่จะปรับเปลี่ยนมาเล่น High Pressing และการเข้าทำเร็ว ที่นำบอลขึ้นแดนหน้า และจ่ายบอลเข้าสู่ Final Third ได้ตลอดทั้งเกม การคุมทีมเกมแรกของรังนิค ได้ใจแฟนบอลอย่างรวดเร็ว ด้วยความเชื่อมั่นในระบบ และ process การพัฒนาทีมที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในภาคการเล่น

และจะค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งทุกอย่างต้องอาศัยเวลาอีกพอสมควร แต่ก็เห็นทิศทางที่ดีมากๆแล้ว

ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม สิ่งที่เรายังต้องการอยู่ก็คือ "ทีมงาน" ส่วนตัวของราล์ฟ รังนิค อีกจำนวนหลายคนมากๆที่จำเป็นต้องนำเข้ามาเสริมทีม เพราะถ้าสังเกตดีๆ ระหว่างที่เราดูคู่แมนยู-พาเลซ จะเห็นว่า มีเพียง คีแรน แมคเคนน่า ที่นั่งพูดคุยและปรึกษากับ "ป๋าราล์ฟ" บ่อยๆ

ส่วนดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ที่เป็นระดับ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของสโมสร ก็ลงมาช่วยงานด้วยการตะโกนสั่งข้างสนาม ในฐานะบุคลากรอีกคนหนึ่งที่สามารถสื่อสารกับนักเตะในทีมได้อย่างดี จากความสัมพันธ์กับน้องๆนักเตะวัยรุ่นในทีม รวมถึงการเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมของคริสเตียโน่ โรนัลโด้

แต่มีเพียงเท่านี้ มันไม่เพียงพอต่อการคุมทีมและปั้นระบบการเล่นให้ squad ของเราในปัจจุบันแน่นอน เพราะถ้าจะให้ราล์ฟ รังนิค ทำการสอนงาน และอธิบายให้แก่เหล่าสตาฟฟ์โค้ชเก่า ที่ยังคงอยู่กับสโมสรให้เข้าใจนั้น ยังไงมันก็ต้องใช้เวลานานมากกว่าที่จะทำให้general coaches ของทีมชุดใหญ่ ได้เข้าใจปรัชญาอย่างถ่องแท้

คนสนิทที่รู้งาน รู้มือกันอยู่แล้วต่างหาก ที่สำคัญมากๆ

ดังนั้น การนำเข้าทีมงานของราล์ฟ รังนิค จึงเป็นอีกส่วนสำคัญมากๆในการเข้ามาคุมแมนยูไนเต็ด ว่าจะสามารถสอนนักเตะ และ "อัดระบบการเล่น" ด้วยปรัชญาของเขา ให้เด็กๆเราซึมซับเข้าใจ และปฏิบัติตามระบบได้มากน้อยแค่ไหน

ซึ่งหลังจากที่ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตนี้ขึ้นมา เอาไว้ในไลฟ์หลังเกมเมื่อวานเรื่องสตาฟฟ์โค้ชของป๋าราล์ฟ ที่จำเป็นต้องนำเข้ามาโดยด่วน เพราะตอนนี้ไม่มีทีมงานแกเลย มีชื่อของ "Chris Armas" (ขอเรียกแกว่า เฮียคริสมาสต์แล้วกัน)

คริส อาร์มาส โค้ชมือดีในวัย 49 ปี กำลังจะเข้ามาร่วมทีมโค้ชของ Ralf Rangnick ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดแล้วตามรายงานยืนยันจาก The Athletics และจาก Taylor Twellman ของ ESPN ว่า โค้ชอเมริกันรายนี้ขอwork permitได้แล้วเป็นที่เรียบร้อยแล้วกำลังจะเดินทางมายังประเทศอังกฤษในไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อที่จะเริ่มงานที่แมนเชสเตอร์ทันที

คริส อาร์มาส กับรังนิค เคยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดสมัยที่ทั้งสองคนเคยเป็นผู้ช่วยมือขวา กับ เฮดโค้ช ตามลำดับตอนที่คุมทีม New York Red Bulls และประเด็นนี้ก็ถือเป็นข่าวใหญ่สำหรับวงการฟุตบอลของอเมริกาเพราะว่า ตัวคริส อาร์มาส จะได้มารับงานที่ถือว่าใหญ่พอสมควร แม้ว่าเขาจะเพิ่งถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมของ Toronto FC เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

แต่ประเด็นที่โดน sacked มาจากโตรอนโต้เอฟซีนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงอะไรเลยว่าเขาจะไม่เก่งจริง เพราะการที่สโมสรเรา และราล์ฟ รังนิคนั้น ได้ผู้ช่วยระดับที่เคยทำงานเป็น "Head Coach" มาก่อน เข้ามาช่วยเป็นสตาฟฟ์ทีม

มันก็เปรียบเสมือนเราได้ "อดีตบอส" มาขึ้นเป็นลูกเรือน่ะแหละ

คิดเอาเองว่า ทีมโค้ชของรังนิค คือบุคลากรระดับที่มีประสบการณ์เป็นเฮดโค้ชมาแล้ว เปรียบเทียบแบบการ์ตูนๆหน่อย ก็คล้ายกรณีในเรื่อง วันพีซ ที่ "จินเบ ชายชาตรีแห่งท้องทะเล" อดีตเจ็ดเทพโจรสลัด มาร่วมทางกับ เธาซันด์ ซันนี่ เป็นลูกเรือคนที่เก้าของลูฟี่นั่นไง

แม้ว่าคริสอาจจะไม่ได้เป็นบิ๊กเนมขนาดนั้นก็ตาม (แค่ยกตัวอย่างจินเบให้ฟังเฉยๆ) แต่ฝีมือก็ไม่ธรรมดาแน่ๆล่ะ มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก Smarterscout ในการเป็นเฮดโค้ช NY Red Bulls ตลอดปี 2019 ใน MLS นั้น ปรากฎให้เห็นว่า ทีม New York Red Bulls มีความเร็วในการเก็บบอลจังหวะสอง (ball recoveries) ที่ "เร็วที่สุดในลีก" ด้วยปริมาณการเพรสที่สูงมากๆ และใช้บอลไดเร็คต์มาเป็นสไตล์การบุก

อาร์มาสทำทีมให้เล่นเกมรุกเข้มข้นมาก ผลออกมาเป็นค่า xGF (ความน่าจะเป็นที่มีโอกาสจะได้ประตู หรือ expected goal for) มีค่าอยู่ที่ +0.24 ต่อเกม

ชัดเจนว่าเป็นโค้ชเกมรุกแน่นอน

ข้อมูลในภาพข้างล่างนี้ แสดงให้เห็นสไตล์ของอาร์มาส ชัดเจน ที่เน้นเล่นเกมรุกด้วยบอลไดเร็คต์ สายบอลโด่งจัดๆ แล้วเล่นป้องกันด้วยการเพรสสูงมาก และไม่เน้นการต่อบอลลำเลียงบอลจากแดนหลัง

ในขณะที่สถิติเชิง "ผลลัพธ์การแข่งขัน" ก็ทำได้ดี จาก Average Point 1.76 เท่ากับว่ามีโอกาสที่ทีมจะเก็บชัยชนะ และได้คะแนนได้ค่อนข้างเยอะ จากการคุมทีมของ คริส อาร์มาส

ส่วนจังหวะ Open Play เขาทำให้ลูกทีมยิงประตูจากจุดที่อยู่ในกรอบเขตโทษเยอะมาก ในขณะที่นอกกรอบ ก็อยู่ในจุดอันตรายจากแถวสองทั้งสิ้น สังเกตได้จาก shot locations (จุดที่นักเตะในทีมสร้างโอกาสการยิงประตู)

ทุกอย่างสามารถดูได้ในภาพนี้ถ้าใครสนใจรายละเอียดที่เพิ่มขึ้น

ใครไหวก็ลุย ใครไม่ไหวก็ข้ามนะครับภาพนี้

สไตล์ของคริส นี่คือ ร่างโคลน อีกคนนึงของราล์ฟ รังนิคชัดๆ และก็อย่างที่หลายๆฝ่ายคาดการณ์ไว้ว่า "พ่อ" รังนิค น่าจะดึงเอาเด็กเก่าของเขามาทำงานด้วยแน่นอน ซึ่งถ้าไม่เคยได้ทำงานและมีสายสัมพันธ์กับรังนิคมาก่อน คริสก็คงไม่มีโอกาสจะมาทำงานที่นี่เหมือนกัน เพราะไม่มีconnectionเกี่ยวข้องใดๆกับเราเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางฝั่งUSเช่นนี้

หากใครตามข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็จะมีเห็นข่าวกันบ้างแล้วว่า รังนิคเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวจาก MEN ว่า

"ผมคงจะต้องหาคนเข้ามาสักหนึ่งหรือสองคน ไม่ก็อาจจะสามคนที่มาร่วมงานด้วยภายใน1-2สัปดาห์ แต่ด้วยระเบียบของ Brexit ก็อาจจะติดขัดและต้องรอหน่อย"

"เพื่อนร่วมงานเก่าของผม ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์วีดิโอการเล่น หรือผู้ช่วยโค้ช ส่วนใหญ่จะติดงาน และติดสัญญายาวกัับสโมสรใหญ่ทั้งนั้นเลย เพราะงั้นตอนนี้พวกเขามาไม่ได้ และเราจำเป็นต้องเลือกเฟ้นคนที่ใช่ และคนที่มีกึ๋นเข้ามาทำงานที่นี่"

"ยังไงก็หวังว่าเราจะได้คนเข้ามาในช่วงหนึ่งหรือสองสัปดาห์ข้างหน้านี้ แต่ผมยังบอกไม่ได้ว่าใครบ้าง"

ค่อนข้างชัดเจนนะครับ

ต่อเนื่องจากข่าวของ "คนที่หนึ่ง" อย่าง Chris Armas ก็มีการยืนยันเพิ่มเติมถึง "คนที่สอง" นั่นก็คือ Sascha Lense (ซาช่า เลนส์) ผู้ซึ่งเป็น sports psychologist หรือ "นักจิตวิทยาการกีฬา" ก็มีข่าวว่าจะเข้ามาร่วมงานกับ Manchester United เป็นที่สองที่รังนิคชักชวนเข้ามาร่วมงานด้วย

ซึ่งเลนส์ วัย46 ปีมาถึงแคริงตันแล้วในวันนี้ แต่ยังไม่สามารถทำงานได้ เพราะต้องรออนุมัติวีซ่าทำงานก่อน เมื่อผ่าน เลนส์ก็จะเข้ามาเริ่มงานทันทีเช่นกัน

ซึ่งในด้านของนักจิตวิทยาการกีฬา ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่สโมสรเราต้องการใช้งานอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาและดูแลเรื่องสภาวะทางอารมณ์ และจิตใจของนักเตะ

ถามว่าสำคัญยังไง?

ในการแข่งขันกีฬา ขึ้นชื่อว่า "มนุษย์" จิตใจความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญ เคสที่เราเห็นง่ายที่สุดคือ เมื่อช่วงก่อนหน้านี้ที่ฟอร์มของทีมเราตก สภาวะจิตใจของนักเตะในทีมมีปัญหามาก

ยิ่งเมื่อทุกอย่างไม่เป็นใจ และทีมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อไม่ได้อย่างที่คาดหวังไว้ การแสดงออกของนักเตะแต่ละคนก็จะสะท้อนออกมา ตามสภาวะจิตใจพื้นฐานของนักเตะคนนั้นๆ

ยิ่งมีความกระหายมาก สภาวะที่จิตใจแสดงออกการต่อต้าน "ภาวะไม่พึงประสงค์"เหล่านั้น จะยิ่งเยอะขึ้น เช่น ไม่อยากแพ้ อยากยิงได้ หงุดหงิดตัวเอง ฯลฯ (เช่นเรื่องที่โรนัลโด้ไปน็อตหลุดในช็อตไปเตะ เคอร์ติส โจนส์ เป็นต้น)

อย่างที่ผู้เขียนพูดบ่อยๆว่า ฟุตบอลมันต้องวัดกันที่ใจด้วย ไม่ใช่แค่สกิลทักษะ และระบบการเล่นแค่อย่างเดียว ดังนั้น การเข้ามาของ Sascha Lense ในฐานะ sports psychologist ถือเป็นส่วนสำคัญมากจริงๆที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จได้ หากว่ามีคนที่ดูแลเรื่องนี้ให้กับเหล่านักเตะในsquadของเรา

ความกังวล ความกดดัน การโดน "ไซโค" จากผู้เล่นทีมอื่น หรือผู้จัดการทีมบางคนที่เล่นไซโคเกมกับเราบ่อยๆ หากมีpsychologistเข้ามาอยู่ในทีมโค้ชด้วย เราจะสามารถรับมือกับสภาวะกดดันทางจิตใจได้ดีขึ้น

แน่นอนว่า จะส่งผลถึงจิตใจของนักเตะรายบุคคล (individual mentality) และมันก็จะกระทบต่อไปจนถึง Squad Harmony (บรรยากาศความกลมเกลียวกันในทีม) อีกด้วย หากว่ามีคนเข้ามาคอยดูแลเรื่องตรงนี้

ตัวอย่างง่ายๆเช่น พยายามเข้ามาสอดส่องใกล้ชิด และไม่ปล่อยนักเตะบางคนให้รู้สึกโดดเดี่ยว หรือแบ่งก๊กแบ่งพวกให้เกิดขึ้นในทีม (เช่นพวกแก๊งค์พูดโปรตุกีส อย่าง บรูโน่ อเล็กซ์ ดาโลต์ เจ็ทโด้ เป็นต้น ที่จะแยกกลุ่มกับพวกอิงลิชภักดีอย่าง แมกไกวร์ ชอว์ AWB พวกนี้)

นอกจากนี้ นักจิตวิทยาการกีฬา สามารถที่จะกระตุ้นนักเตะแมนยูได้ด้วยการใช้แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic motivation) อื่นๆที่จะทำให้พวกเขามีกำลังใจในการลงแข่ง รวมถึงการสร้างให้นักเตะในทีม มีภาพของgoalเป้าหมายในอนาคตของตัวเขาเอง หรือของทีมได้ ผ่านวิธีการที่เรียกว่า "Visualization" จินตภาพว่าเขาต้องการอะไร อยากเห็นภาพแบบไหน

เมื่อนักเตะมีภาพเป้าหมายชัดเจน พวกเขาก็จะพุ่งเข้าชนดั่งวัวกระทิงหนุ่มที่กำลังคึกนั่นเอง!!!

คึกจัดๆ โจรสลัดร่างทอง!!!

เท่านั้นยังไม่พอ ในเรื่องของ "Pep Talk" นักจิตวิทยาการกีฬาก็อาจจะมีส่วนร่วมในห้องแต่งตัวด้วย ซึ่งคนหลักๆในการพูดกระตุ้นนักเตะ ให้กำลังใจนักเตะ คือผู้จัดการทีมอย่าง Ralf Rangnick อยู่แล้ว

แต่นักจิตวิทยาการกีฬา จะมีเทคนิคที่สามารถทั้งกระตุ้น และสามารถ "ผ่อนคลาย" นักเตะให้ลดแรงกดดัน และลงไปเล่นในสนามอย่างสบายใจ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า "Relaxation techniques" ก็จะทำให้นักเตะเราชิล และไม่เครียดมาก เวลาเจอทีมคู่แข่งประเภท "โหดสัสรัสเซีย" ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในพรีเมียร์ลีก หรือเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกในรอบลึกๆ

(ซึ่งอาจได้ใช้งาน ซาช่า เลนส์ ตั้งแต่เกมรอบ 16ทีมเลยก็ได้ เพราะมีโอกาสเจอ ปารีส ยูเว่ หรือพวก อินเตอร์ มาดริด และ บาร์ซ่า สูงมากๆ)

นึกภาพแล้วสยอง ขอให้ work permit ซาช่า เลนส์ ผ่านไวๆ แล้วรีบๆมาเริ่มงานพรุ่งนี้เลยได้ไหม!!!!

เห็นชัดเจนว่า นำเข้าบุคลากรสายนี้เข้ามา สร้างimpact และเป็นประโยชน์กับทีมมากเพียงใด ตามข่าวรายงานชัดเจนว่า ซาช่า เลนส์ นั้น จะมาร่วมงานกับรังนิคในฝ่าย "ทีมโค้ช" มากกว่าที่จะไปรวมอยู่กับบุคลากรฝ่าย "แพทย์" ของสโมสร

ดังนั้น โอกาสที่เราจะได้เห็น "เลนส์" อยู่ในม้านั่งสำรอง และช่วยคุมสถานการณ์หน้างานกับรังนิคนั้นมีสูงมากๆ

จิตวิทยานักเตะนั้นสำคัญมากๆ เพราะซาช่า เลนส์ หากว่าอยู่ในทีมโค้ชชุดใหญ่ เขาก็จะสามารถมา coaching แนะนำนักเตะได้แบบ Realtime ทันที ตามสถานการณ์ในแต่ละเกม

เรียกง่ายๆภาษาเกมก็คือ เหมือนมีคนที่จะทำให้นักเตะคึกคัก ลูกศรหัวตั้งเป็นสีเขียวเข้มได้ตลอดเวลานั่นเอง หากว่าเลนส์กระตุ้น ให้คำแนะนำ หรือควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของเด็กๆในทีมได้

เด็กเราจะไม่ถูกอารมณ์ด้านไม่ดีครอบงำในการเล่น กลัับกัน อาจจะกระตุ้นพลังแฝงในการเล่นได้มากกว่าเดิมอีก เพียงแค่ใช้ "จิตวิทยา" ใส่นักเตะอย่างถูกต้อง ก็สามารถทำให้การเล่นในแมตช์นั้น ฟอร์มดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้

ผมเขียนมาถึงตรงนี้ หลายๆคนอาจจะเห็นว่าผู้เขียนเว่อร์ แต่เรื่องของ sports psychologist เป็นวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ และเป็นอาชีพที่รุ่งมากๆในวงการกีฬาของชาติมหาอำนาจอย่าง "สหรัฐอเมริกา" ที่โดดเด่นในเรื่องนักจิตวิทยาการกีฬาเช่นนี้

และที่สำคัญที่สุด คุณไม่ต้องมองไปที่ไหนไกล เรามี "ผู้มาก่อนกาล" มานานแล้ว ที่เล่นจิตวิทยากับนักเตะได้อย่างโคตรเหนือชั้นในระดับอัจฉริยะจอมไซโค จอมจิตวิทยามือหนึ่งอีกคนเลย

ผมคงไม่ต้องเล่าเรื่อง ฝีมือการไซโคคู่แข่งผ่าน mind games และการเล่นจิตวิทยาใส่นักเตะของ "เซอร์อเล็กซ์" ของเรามั้งว่าเจ๋งแค่ไหน

แค่นี้คุณก็น่าจะเห็นแล้วว่า การเข้ามาของ ซาช่า เลนส์ สำคัญมากขนาดไหน ก็เหมือนกับการที่รังนิค ได้ "การใช้จิตวิทยา" เข้ามาเป็นอาวุธการคุมทีมของเขา อัพสกิลขึ้นมาได้ เหมือนที่ป๋าเฟอร์กี้มีสกิลนี้

รังนิคจะทำงานได้สมบูรณ์แบบทุกด้านมากยิ่งกว่าเดิม ผ่านการช่วยงานของ mental coach อย่าง "ซาช่า เลนส์" นั่นเอง

ส่วนนอกเหนือจาก คนที่หนึ่ง และ คนที่สอง ซึ่งน่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ในส่วนของคนอื่นๆนอกเหนือจากนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า รังนิคนั้นอยากได้ลูกเรือสัก "สี่คน" ที่เป็นคนที่เขารู้ใจ และอยากได้มาช่วยงาน

คนที่มีข่าวกับเรา มีดังนี้

- Chris Armas ( อดีต ผู้ช่วยรังนิค 2015-2018 และขึ้นเป็นผู้จัดการ NY Red Bulls ปี2018/20, Toronto FC)

- Sascha Lense ( อดีต Sports Psychologist ของ FC Shalke 04 และ RB Leipzig ซึ่งเป็นสายของรังนิคจ๋าๆ)

- Gerhard Struber ( เฮดโค้ชคนปัจจุบันของ NY Red Bulls)

- Jesse Marsch ( อดีตผู้จัดการทีม RB Leipzig )

สองคนแรกนั้น 100% แล้ว แต่อีกสองคนที่เหลือนั้น ตัวราล์ฟ รังนิค เองยังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมากนัก แต่ก็มีข่าวรายงานว่า "Gerhard Struber" (เกร์ฮาร์ด สทรูเบอร์) เฮดโค้ชยังบลัด วัย44ปี และเป็นนายใหญ่คนปัจจุบันของนิวยอร์ค เรดบูลส์ มีข่าวโยงว่าอาจจะเข้ามาเป็นโค้ช กับการเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของรังนิค

แต่เข้าใจกันว่า นิวยอร์ค เรดบูลส์ ยังไม่ได้รับการติดต่อไปในเวลานี้

อีกด้านหนึ่ง ตามรายงานของสื่ออย่าง The Sun ที่ต้องใช้วิจารณญาณรับข่าวนั้น กล่าวว่ายูไนเต็ดได้ติดต่อไปยังสทรูเบอร์แล้ว และเจ้าตัวก็แสดงความสนใจออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการจะเข้ามาเป็น "มือขวา" ของราล์ฟ รังนิคที่นี่

ตัวของเกร์ฮาร์ด สทรูเบอร์นั้น เคยทำงานอยู่กับ Barnsley มาก่อน และเคยมาใช้ชีวิตอยู่ใน UK แล้วตอนที่เป็นโค้ช ซึ่งเรื่องนี้มันคือแบ็คกราวน์เดียวกันเป๊ะๆกับ ราล์ฟ รังนิค ที่เคยมาเรียนคอร์สหนึ่งในปริญญาอังกฤษและพลศึกษา เคยมาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยSussex หนึ่งปี ในช่วง1979-1980 และรังนิคก็เคยมาเป็นนักเตะของทีมเล็กๆอย่าง Southwick ด้วย

ยังไม่มีข่าวอะไรที่แน่นอนสำหรับ เกร์ฮาร์ด สทรูเบอร์ รังนิคอาจจะนำเขามาเป็นที่ปรึกษาก็ได้ รวมถึงแม้กระทั่งอาจจะนำเข้ามาเป็นทายาทผู้จัดการทีมคนใหม่ในอีกหกเดือนข้างหน้าก็เป็นได้ หากว่ารังนิคมองว่า ชายชาวออสเตรียคนนี้เหมาะสมที่จะเป็นคนรับสารจากเขา และมาบริหารจัดการนักเตะได้

สทรูเบอร์ มาดโคตรโหด โฉดระดับบอสขนาดนี้ บอกตรงๆว่าโคตรน่ากลัว เป็นนักเตะในทีมนี่ไม่กล้าหือ วิ่งลืมตายแน่นอน

สองคนนี้เคยทำงานในยุคเดียวกันที่ Red Bull Salzburg โดยที่สทรูเบอร์นั้นเป็นโค้ชทีมเยาวชน ก่อนที่จะไต่เต้าขึ้นไปจนถึงระดับผู้จัดการทีมชุดใหญ่ในทีมฟุตบอลบ้านเกิดที่ออสเตรียอย่าง FC Liefering แล้วก็ Wolfsberger AC ก่อนจะมาคุมทีมเจ้าตูบ บาร์นสลีย์ ในปี 2019/20 แล้วจึงไปคุม NY Red Bulls ปี 2020 จนถึงปัจจุบันนี้

ในการนี้ ทางปีศาจแดงอาจจะต้องซื้อสัญญาที่เหลือกับทางนิวยอร์ค ซึ่งยังเหลืออีกราวๆสองปี แต่ก็ดูมีแววว่า คนนี้เป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะมาทำงานกับรังนิคอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมาเป็นมือขวา หรือจะมาเป็นผู้จัดการทีมก็ตาม

ส่วนอีกรายหนึ่งคือ "Jesse Marsch" (เห็นชื่อเจสซี่นี้แล้วคิดถึงลินการ์ดเราเลย) เจสซี่ มาร์ช โค้ชชาวอเมริกันวัย 48 ปี ผู้ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเด็กในสังกัดสายรังนิคอีกคนเหมือนกัน เพราะทำงานกับทีมในเครือเร้ดบูลมาตั้งแต่ปี 2015 มาจนถึง 2021

โดยเริ่มต้นที่ NY Red Bull ต่อมาที่ Red Bull Salzburg จากนั้นก็มาคุม RB Leipzig แบบเต็มตัวใน "ฤดูกาลนี้" (มาแทนยูเลียน นาเกลส์มันน์ ที่ย้ายไปคุมบาเยิร์นนั่นแหละ)

เนื่องจากผลงานของไลป์ซิกไม่ดีในฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีก หมดลุ้นเข้ารอบน็อคเอ้าท์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะคะแนนโดนแมนซิตี้และปารีสทิ้งขาด แถมนัดสุดท้ายยังต้องลุ้นอีกว่า จะตกรอบแบบอันดับ4 หรือว่าจะยังได้ไปต่อที่ยูโรปาลีกอีก

ด้วยสถิติการคุมไลป์ซิก ชนะ7 เสมอ4 แพ้6 ทำให้เขาเพิ่งจะถูกปลดในวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมาแบบหมาดๆเลย ทำให้ตอนนี้ เจสซี่ มาร์ชนั้น "ว่างงาน" พอดี

และตรงนี้แหละ น่าจะโดนป๋าราล์ฟ ซิวมาร่วมงานอีกคนแน่ๆ รายนี้ต้องรอดูกันต่อไป และก็มีข่าวขึ้นมาจริงๆ จากการรายงานของผู้สื่อข่าวจาก TimesSports สายทีมเมืองแมนเชสเตอร์อย่าง Paul Hirst 

วิเคราะห์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีโอกาสสูงที่มาร์ชซึ่งว่างอยู่ คงจะมาช่วยราล์ฟได้ และก็ต่างจากกรณีของคนสำคัญอย่าง "Lars Kornetka" ที่อยู่โยงและขึ้นแทนตำแหน่งของรังนิค ที่โลโคโมทีฟ มอสโควแทนอย่างน่าเสียดาย

แต่คนอื่นๆที่จะมา ระดับของโปรไฟล์ก็ไม่ใช่ขี้ๆ

ที่แน่ๆ ประสบการณ์ของเจสซี่ มาร์ช ทำงานในระดับ "ผู้จัดการทีม" มาเต็มๆถึง 10 ปี แถมเคยเป็นผู้ช่วยในทีมชาติสหรัฐอเมริกาด้วย ชื่อชั้น โพรไฟล์ของมาร์ช ก็อยู่ในระดับ "อดีตบอส" ไม่ต่างอะไรกับคนที่คอนเฟิร์มแล้วอย่าง คริส อาร์มาส ซึ่งเป็นอดีตเฮดโค้ชชาวอเมริกันเช่นกัน

และผลงานแบบจับต้องได้ของ เจสซี่ มาร์ช ก็อยู่ในระดับจับต้องได้แน่นอน เพราะเคยพาซัลซ์บวร์ก คว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งแชมป์ลีก และแชมป์บอลถ้วยของออสเตรียมาแล้วในสองซีซั่นที่ผ่านมา (2019/20, 2020/21)

แค่การที่มาร์ช มาคุมไลป์ซิกแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไรเลย เพราะฝีมือเขาก็ถือว่ามีดีกรีพอตัว คิดง่ายๆว่า ประมาณ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ที่คุม Rangers เคยได้แชมป์สกอตติช พรีเมียร์ชิพ มาหนึ่งซีซั่นเมื่อฤดูกาลที่แล้ว (2020/21) ด้วยการนำม้วนเดียวจบ เป็นจ่าฝูงตั้งแต่นัดที่3 จนจบ38นัด และคู่แข่งอย่าง Celtic ก็แซงไม่ได้

ดีกรีของ เจสซี่ มาร์ช ก็น่าจะประมาณนี้แหละ ซึ่งเก่งระดับที่คุมทีมในพรีเมียร์ลีกทีมรองๆได้สบายๆ

แล้วคิดดูว่าแมนยูกำลังจะได้คนแบบนี้มาเป็นผู้ช่วยรังนิค.. มันเจ๋งอยู่นะ

อีกไม่กี่วันก็คงจะได้เห็นชัดกว่านี้แน่นอนว่าใครจะเข้ามาบ้าง ไม่ว่าจะนักวิเคราะห์ หรือผู้ช่วยก็ตาม รังนิคจะไม่ปล่อยให้เวลายืดเยื้อแน่นอนในการหาโค้ชที่เขาไว้ใจและเคยร่วมงานกันมาก่อน

แต่จากข่าวล่าสุดที่ออกมานี้เกี่ยวกับความหลากหลายของ candidate ทีมโค้ชของราล์ฟ รังนิค นั้น มันสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางการกีฬา และความละเอียดยิบเก็บทุกเม็ดของ "The Godfather" ราล์ฟ รังนิค ขนาดไหน

ทำงานละเอียดและชัดเจนระดับ "4K" ขนาดนี้ ทีมจะพัฒนาขึ้นไปอีกแค่ไหน เป็นเรื่องที่พวกเราแฟนผีตื่นเต้นที่จะรอดูอนาคตของทีมจริงๆ

แต่ละตัวที่จะเข้ามาเป็นลูกเรือของรังนิค คือ "อดีตบอส" แทบจะทุกคน ไม่ต้องห่วงเลยว่า คนพวกนี้ซึ่งมีปรัชญาของรังนิค และฝีมือชื่อชั้นระดับสูงแล้ว จะเข้ามาตีบวกเกราะและอาวุธให้กับปีศาจได้โหดเพียงใด

จะกองทัพไหนก็เข้ามา ว่าที่เจ้าแห่งโจรสลัดอยู่ตรงนี้แล้ว

-ศาลาผี-


References

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด