:::     :::

ราล์ฟ รังนิค กับภารกิจทำลายความไร้ระเบียบที่ Old Trafford

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
7,456
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ราล์ฟ รังนิค แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และความละเอียดในภารกิจระเบิด "ดาวหางแห่งความพินาศ" อันมาจากการขาดระเบียบวินัยที่เด็ดขาดในสโมสร เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของโอลด์แทรฟฟอร์ด และสร้างฟุตบอลระดับสูงให้กับปีศาจแดง

ช่วงนี้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีประเด็นต่างๆมากมายที่น่าสนใจ โถมเข้ามาแบบรัวๆทั้งเรื่องดีเรื่องไม่ดี จากข่าวต่างๆที่แฟนๆปีศาจแดงน่าจะได้อ่านกันเต็มไปหมด ในหน้าหนังสือพิมพ์ออนไลน์ต่างๆ รวมถึงที่ thsport แห่งนี้ด้วย

ผู้เขียนชั่งใจระหว่าง จะเขียนเรื่องอื่นของแมนยู เพื่อแก้เลี่ยนบอลยุคปัจจุบันดีไหม หรือว่าจะลุยต่อเรื่อง "ราล์ฟ รังนิค" ไปเลยยาวๆ

เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วจึงออกมาเป็นบทความนี้ครับ ในประเด็นที่น่าสนใจมากๆของ ราล์ฟ รังนิค กับกฎระเบียบเรื่องการพักฟื้นรักษาอาการบาดเจ็บของนักเตะ อันเริ่มต้นมาจากเคสของ "ปอล ป็อกบา"

ประเด็นของเคสป็อกบา ทำให้เกิดการ "เปลี่ยนกฎ" และรูปแบบวิธีการบริหารนักเตะบางอย่างที่เคยมีมาในยุคของโซลชา นั่นก็คือ ในยุคของโซลชานั้น มีการอนุญาตให้นักเตะที่เจ็บ สามารถออกจากสโมสร ไปพักฟื้นรักษาตัวกันที่ไหนก็ได้ตามอัธยาศัย

ไม่ว่าจะเป็นการกลับบ้าน หรือไปพักฟื้นในสถานที่ดูแลส่วนตัวก็ตาม

รวมถึงการพักฟื้นที่ดูเหมือนจะเป็นการกึ่งๆเหมือนได้พักร้อน ได้ไปเที่ยว ซึ่งอาจจะทำให้การหายจากอาการบาดเจ็บ มันอาจจะช้าลงก็ได้ หากไม่ได้รับการดูแลที่ดี และถูกต้องตามสิ่งที่มันควรจะเป็น

เพราะอยู่นอกสายตาของสโมสร

เฮดโค้ชคนใหม่ของพวกเราพูดถึงเรื่อง "การตัดสินใจ" ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในเคสที่ปล่อยให้ "ปอล ป็อกบา" ไปพักฟื้นอาการบาดเจ็บต้นขาของเขาได้ที่ดูไบ หลังจากที่บาดเจ็บมาจากแคมป์ซ้อมทีมชาติ โดยรังนิคชี้ว่า ป็อกบากำลังจะกลับมาที่แมนเชสเตอร์ช่วงสุดสัปดาห์นี้ และเดี๋ยวจะได้พบกับเขาในวันอาทิตย์ (ซึ่งก็คือวันนี้ที่เขียนบทความนี้นี่แหละ)

หลังจาก ราล์ฟ รังนิค รับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวของแมนยูไนเต็ด เขาสามารถมองเห็นถึงปัญหา "หลายๆอย่าง" ในภาคการจัดการของสโมสรอย่างมาก

ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่แปปเดียว รังนิคเตรียมที่จะทุบอะไรบางอย่างที่ไม่ดีทิ้ง และทำให้มันถูกต้อง เข้มข้น และมีระเบียบที่ดีกว่าเดิม ซึ่งมันแสดงถึงความหละหลวม และไม่มีระเบียบที่ดีพอจะสร้าง "คุณภาพ" ให้กับทีมนักเตะได้ อันส่งผลถึงผลการเล่นในสนามโดยตรง ที่ดูเหมือนว่าปัญหาของที่นี่ดูจะแก้ไม่หมดสักที

"ป๋าราล์ฟ" เข้ามาแมนยูไนเต็ดเพียงไม่นาน ก็มองทะลุลงไปถึงปัญหา และเตรียมที่จะขุดหลายสิ่งหลายอย่างที่ "ฝังรากลึก" กัดกินโรงละครแห่งความฝันมานานหลายปี นับตั้งแต่หมดยุคที่ดูแลอย่างดีมาตลอด26ปี โดยฝีมือโคตรกุนซืออย่าง "ป๋าเฟอร์กี้" เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นั่นเอง

หมดจากยุคป๋า ทุกอย่างก็ถอยหลังลงไปเรื่อยๆอย่างที่เห็น

ให้เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนราล์ฟ รังนิค สั่งแท่นขุดเจาะ และ "หัวสว่านขนาดยักษ์" เอามาทะลวงส์ขุดลึกลงไปในพื้นสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด เพื่อหาอะไรบางอย่างที่ติดCurse ต้องคำสาปในสนามนี้(ในเชิงนามธรรม) แล้วแก้คำสาปที่ฉุดรั้งความเจริญและความสำเร็จของสโมสรออกไปให้หมด

ถ้าจะเอาให้เห็นภาพถึงการขุดลึกของรังนิคลงไปถึง "รากเหง้าของปัญหา" ทีมเรานั้น มันก็เหมือนกับที่ "Bruce Willis" นำทีมขุดเจาะขึ้นยาวอวกาศออกไปนอกโลก แล้วหาทางเอาระเบิดไปหย่อนใส่รูที่เจาะลงไปถึงแกนกลางดาวหาง แล้วระเบิดออกเพื่อทำลายวิถีของมันทิ้ง ก่อนที่ดาวหางจะพังทุกอย่างจนพังพินาศในหนังเรื่อง "Armageddon" นั่นเอง

โดยมีหนึ่งในตัวละครโลกภาพยนตร์ที่ผมชอบมาก อย่าง "Rockhound" คาแรคเตอร์ตัวกวนโอ๊ยที่ติดตาที่สุดตัวนึงในชีวิตการดูหนัง ซึ่งนำแสดงโดย สตีฟ บูเซมี ชายผู้เป็นต้นแบบเป๊ะๆของ ซันจิ ในวันพีซ

และชายผู้เสียสละที่สุดในโลกของภาพยนตร์คนหนึ่ง อย่าง Harry Stamper ในอาร์มาเกดอน ที่เล่นโดย คนอึดตายยาก อย่าง บรูซ วิลลิส นั่นเอง

พูดไปถึงเรื่องนี้ อินโทรเสียงวงออเคสตร้าที่ผสมผสานกับดนตรี Hard Rock ในเพลง "I Don't Want to Miss a Thing" ของวงโปรดผู้เขียนอย่าง "Aerosmith" ลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง บนท้องฟ้าไกลๆ ที่ทำให้รู้ว่ามนุษย์เราตัวเล็กมากเพียงใดในจักรวาลนี้


รากเน่าบางส่วนที่ถูกทิ้งค้างอยู่ภายใน "ความจริงที่ถูกฝังอยู่ใต้สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด" จะถูกรังนิคขุดออกมาเพื่อกำจัดให้มันหมดสิ้นไปในแง่ของโครงสร้างและรูปแบบวิธีการบริหารที่ดูจะ "ไม่เป็นมืออาชีพ" และไม่สมกับการที่สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นแบรนด์ระดับโลก

แต่กลับมีการบริหารภายในบางอย่าง และการควบคุมฝึกซ้อมนักเตะที่ไม่เข้มข้น และ "ไม่เด็ดขาดพอ" ที่จะทำให้มันเกิดประสิทธิภาพที่ส่งผลไปถึงเกมการเล่นในสนามได้

รากเน่าจนลำต้นอ่อนแอ แล้วจะหาแชมป์ได้จากไหน?

รังนิคจะเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติในการดูแลและจัดการกับ "นักเตะบาดเจ็บ" ที่เคยใช้มาในยุคของโซลชาทันที ซึ่งในอดีตนั้น โซลชาอนุญาตให้ป็อกบา และนักเตะคนอื่นๆที่อยู่ในเคส "เจ็บยาว" สามารถที่จะออกไปจากสโมสร และมีทริปไปยังที่ต่างๆได้เพื่อจะไปพักฟื้นที่ไหนสักที่หนึ่ง

ซึ่งในเคสป็อกบา ก็ไปrehab อยู่ที่ Nad Al Sheba Sports Complex ณ นครดูไบ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาที่เจ็บกับช่วงซ้อมทีมชาติฝรั่งเศสเดือนก่อน ที่ยิงบอลแล้วก็กล้ามเนื้อกระตุก เดินออกจากสนามซ้อมไปเลย

รังนิคไม่โปรดปรานวิธีดูแลนักเตะในสโมสรที่ไม่ละเอียดแบบนี้สักเท่าไหร่ และเขาพูดว่ามันจะไม่เกิดเคสแบบนี้ขึ้นอีกภายใต้การดูแลของเขา โดยรังนิคกล่าวออกมาว่า

"สโมสรก่อนๆของผมมักจะพยายามที่จะทำให้แน่ใจว่า นักเตะจะต้องได้รับการพักฟื้นอยู่ภายใต้การสอดส่องของสโมสรเท่านั้น"

"และเช่นเดียวกัน ผมสามารถบอกได้เลยว่าฝ่ายทีมแพทย์นั้นดีมาก ดีมากๆ ด้วยตัวเลือกอันหลากหลายในช่วยในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ซึ่งตัวผมเองนั้นไม่ต้องการให้นักเตะไปทำการพักฟื้นข้างนอก หรือที่ใดๆก็ตาม(หากมีอาการบาดเจ็บขึ้น)"

"แต่ว่าการตัดสินใจในเคสนี้ของปอลนั้น มันเกิดก่อนผมจะเข้ามาที่นี่"

"ผมได้คุยกับทางทีมแพทย์แล้ว และในอนาคตผมต้องการจะให้นักเตะที่มีอาการบาดเจ็บทั้งหลาย และหวังว่าจะไม่ใช่การเจ็บยาวด้วยนั้น ผมจะให้พวกเขาพักฟื้นกันอยู่ที่นี่"

รังนิคพิจารณาและเชื่อว่าป็อกบาน่าจะยังต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือนๆอยู่ข้างสนามเพื่อฟื้นอาการบาดเจ็บ โดยมิดฟิลด์รายนี้ไม่ได้ลงสนามให้ทีมเลยนับตั้งแต่แพ้ลิเวอร์พูลคาบ้าน 0-5 ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

สัญญาของป็อกบาก็กำลังจะหมดลงในซีซั่นนี้แล้ว และรังนิคได้แจ้งกับเขาแล้วว่า ปอลจะต้องพยายามรีบหายกลับมาเพื่อที่จะมาลงเล่นในทีม

"เราได้คุยโทรศัพท์กันเมื่อวันอังคารแล้ว ตอนนั้นเขายังอยู่ดูไบ และน่าจะกลับมาในวันนี้(วันศุกร์) แล้วจากนั้นเดี๋ยวเราจะเจอกันเป็นการส่วนตัวในวันอาทิตย์"

"เราได้คุยกันทางโทรศัพท์ เขาบอกว่าเขาดีขึ้น แต่ว่าก็ค่อนข้างชัวร์ว่ายังไม่ฟิตสมบูรณ์พร้อม ซึ่งจากที่ผมได้ยินมาก็ดูเหมือนจะต้องรออีกราวๆสองสามสัปดาห์กว่าที่จะเริ่มกลับมาฝึกซ้อมได้ แล้วจากนั้นก็จะต้องใช้เวลาอีกพอควร ยาวไปอีกสักสองสามอาทิตย์ เพื่อที่จะเรียกฟิตให้พร้อมลงสนามได้"

"แต่อย่างแรกที่สำคัญสุดก็คือการที่เขาจะกลับมาฟิตเต็มที่เพื่อที่จะสามารถมาฝึกซ้อมกับเพื่อนนักเตะในกลุ่ม แล้วเราจะต้องปรับปรุงเขาทั้งด้านกายภาพ และในเชิงเทคนิคเพื่อให้สามารถลงเล่นกับเราในพรีเมียร์ลีกได้"

อ่านรายละเอียดตรงนี้จบแล้ว คุณนึกถึงอะไร เห็นภาพเดียวกับผู้เขียนรึเปล่าครับ คุณคิดว่าผมเห็นอะไรบ้าง..

ประเด็นเรื่องโจมตีป็อกบาหรือ?

ไม่ ไม่ใช่หัวเรื่องหลักเลย และก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของป็อกบาด้วย (เพราะเขาไม่ใช่คนตัดสินใจ)

ในขณะที่การจะไปพักฟื้นอยู่ที่อื่น มันก็พอจะเข้าใจได้ในกรณีของ long-term injuries (การเจ็บยาว) ซึ่งจะแตกต่างจากอาการบาดเจ็บทั่วๆไป ที่มันสามารถสังเกตอาการบาดเจ็บได้ในวันต่อวัน

พวกเจ็บยาวๆ นี่คือต้องพักแบบใช้เวลายาวจริงๆ ถ้าเจ็บในจุดสำคัญๆ แล้วการขาดหายจากการเล่นฟุตบอลไปนานๆ ผมเชื่อว่าคนที่เล่นฟุตบอลทุกคนเข้าใจนะ ว่ามัน "ทรมานใจ" ขนาดไหน

ผมไม่ได้มองถึงประเด็นอื่นๆเลย แต่อย่างเดียวที่เห็นชัดเจนมากได้ และผมรู้สึก "โคตรดี" กับข่าวนี้ ไม่เกี่ยวกับป็อกบาสักนิด แต่เป็นเรื่องของ "วิธีบริหารจัดการ" แบบมืออาชีพที่มันเข้มข้น และดูจะเหมาะสม เป็นประโยชน์กับสโมสรมากที่สุด ในการที่จะควบคุม "ปัจจัย" ต่างๆในการพักฟื้นของนักเตะ ให้มันเร็วที่สุด และมีคุณภาพที่สุดได้

พูดง่ายๆ ก็ถ้าออกไปนอกสายตาสโมสร เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ความตั้งใจในการพยายามรักษาตัวเองของนักเตะแต่ละคนได้เลย

ไม่ใช่แค่เคสป็อกบา ผมพูดถึงรวมๆ

เพราะจริงๆแล้ว ป็อกบาไปดูไบก็จริง แต่เขาก็พยายามเรียกฟิต และก็เข้าโปรแกรมอยู่บ่อยๆ อย่างที่เห็นในภาพที่ถูกโพสต์หลายๆครั้ง ป็อกบาอาจจะพยายามเรียกความฟิตกลับมาให้เร็วที่สุดจริงๆก็ได้

(ปีหน้าก็มีฟุตบอลโลก ไม่มีเหตุผลอะไรที่ป็อกจะไม่พยายามกลับมาให้เร็วที่สุดเพื่อเรียกโอกาสลงสนามอยู่แล้ว)

ภาพการเรียกฟิตอัพเดทล่าสุดจากป็อกบาหลายๆรูปด้านบนนี้แสดงให้เห็นว่าเขาก็พยายามทำงานหนักอยู่

ในขณะที่นักเตะบางคนที่เราชื่นชอบ เบื้องหลังเขาอาจจะหย่อนยานวินัย "บางส่วน" จนทำให้หายบาดเจ็บช้า อันนี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วใครปฏิบัติตัวยังไง กับปัญหาอาการบาดเจ็บ ยกตัวอย่างด้วยนักเตะที่เจ็บในช่วงนี้ของเรา ไม่ว่าจะเป็น Luke Shaw ที่มีปัญหาconcussion บ่อยๆ / Edinson Cavani ที่เจ็บค่อนข้างบ่อยและนานในซีซั่นนี้ / รวมถึง Aaron Wan-Bissaka เป็นต้น

ไม่มีใครตอบเรื่องนี้ได้เลย ว่าผู้เล่นแต่ละคนมีความตั้งใจที่จะทำให้ตัวเองหายเจ็บมากเพียงใด ถ้าทุกคน "ออกไปพักฟื้นอยู่นอกสายตาสโมสร" กันหมด เราจะไม่รู้เลย

นี่แหละคือสิ่งที่ "ราล์ฟ รังนิค" ต้องการที่จะสื่อ และจัดระเบียบตรงนี้ใหม่ เพื่อให้กฎดังกล่าวบังคับใช้อย่าง "เท่าเทียมกัน" กับบรรดานักเตะทุกคนที่เจ็บ ให้มาอยู่ภายใต้การสอดส่องอย่างใกล้ชิดของสโมสรเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับว่าจะต้องเป็นป็อกบาแค่คนเดียว 

point ของรังนิคไม่ได้อยู่ตรงนั้น และนี่ไม่ใช่บทความที่จะมาเล่นงานป็อกบาแต่อย่างใด

มันหมายถึง "นักเตะทุกคน" ไม่ว่าจะตัวหลักหรือตัวสำรอง ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นนักเตะคนโปรดของแฟนบอลที่ร้องเพลงเรียกชื่อเขาทุกนัด หรือนักเตะที่หลายๆคนยี้ก็ตาม

ไม่มีการเลือกปฏิบัติทั้งสิ้น

ถือเป็นข่าวเล็กๆที่อาจจะไม่ได้มีใครสนใจมากนัก เพราะประเด็นมันเอาไปเล่นดราม่าอะไรไม่ได้เยอะ แต่ถ้าสังเกตดีๆ นี่กลับเป็นหนึ่งใน "ข่าวดี" ที่มันดูจะมีทิศทางที่ดีวันดีคืน และโคตรพ่อโคตรแม่เป็นมืออาชีพ ตามระเบียบที่มีคุณภาพอันนำโดยเฮดโค้ชเยอรมันแบบนี้นี่เอง (ควรจะนำเข้ามานานแล้วแหละ!)

หลังจากนี้ ทุกๆอย่างจะมีระเบียบ และไม่ถูก "ปล่อยปละ" หรือมีการจัดการที่ "หย่อนยาน" ตามใจนักเตะมากไป ชิลมากไป compromise มากเกินไป เหมือนอย่างที่เราพอจะเดาคาแรคเตอร์ของอดีตผู้จัดการทีมที่ผู้เขียนรัก และยังเคารพเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้ อย่างโอเล่ กุนนาร์ โซลชา

แฟนผีที่รักเค้าทุกคนก็คงจะรู้กันดีว่า โอเล่นั้นเป็นคนที่ดีมาก และใจดีเกินไปในการคุมทีม

เมื่อใช้ไม้อ่อนมากเกินไป ทุกอย่างจึงไม่มีหลักที่แข็งแรงพอให้ยึดได้ สุดท้ายมันถึงพังลงอย่างที่เห็น

แต่ความรัก ก็อยู่คนละเรื่องกับเหตุผลและความถูกต้องเช่นกัน แม้เราจะรักโซลชาเพียงใด ตัวผมเองมองว่า วิธีการของ "รังนิค" เป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีกว่ายุคโซลชาอย่างแน่นอน

เรื่องดังกล่าวคือสิ่งที่ "มันควรจะเป็น" เพื่อคุณภาพที่ดี และการติดตามอย่างใกล้ชิดมากที่สุด อันจะเป็นผลประโยชน์ต่อสโมสรโดยตรง ไม่ใช่ผลประโยชน์ต่อความสะดวกสบายใจของนักเตะ หรือเพื่อทำให้นักเตะรู้สึกดีกับโค้ช

หลายคนอาจจะมองว่าประเด็นแค่นี้ก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลย .. สำหรับผู้เขียนแล้ว ผมสามารถใช้มีม "โอ้โห นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย" กับเรื่องนี้ได้เลยนะครับ

เพราะว่าการจัดการครั้งนี้ของรังนิค มันสะท้อนวิธีการ Management ที่มีระเบียบ เข้มข้น ชัดเจน และเอาจริงเอาจังอย่างมาก หรือพูดง่ายๆ ของเก่าที่เราเคยเป็นมา มัน "ไม่เข้มข้น" และยังเอาจริงเอาจังกันไม่พอนั่นเอง

อันที่จริงก็ควรจะทำแบบนี้อยู่แล้ว เพื่อพาให้ทีมพุ่งขึ้นไปยังจุดสูงสุดของการคว้าแชมป์ได้ มันก็ต้องทุ่มเทแบบสิ่งที่รังนิคทำนี่แหละ

ผู้เขียนอยากจะบอกว่า ผมโคตรปลื้มพ่อเลย พ่อรังนิคเจ๋งจริง บอกได้แค่นี้ ใครที่ผ่านมาอ่านแล้วอาจจะคิดว่าผมอวยรังนิคก็ไม่เป็นไรครับ แต่ผมเขียนจากใจจริงๆว่า การเข้ามาของเขามันทำให้แมนยูเห็นทิศทางที่ดีมากๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ทรง หรือระบบปรัชญาการเล่นที่มันดุเดือดมากขึ้น และเป็นบอลสมัยใหม่ที่มีระบบระเบียบและประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

แต่มันดียันไปถึง "ราก" การจัดการของสโมสร

ที่ทุกๆอย่างดูจะเป็นมือโปรมากขึ้นกว่าเดิม นั่นแปลว่า ระบบการซ้อม การจัดการของเรามันก็เหลวเป๋วจริงๆอย่างที่เราสงสัยกันมานานนั่นแหละ เพราะคงจะมีอีกหลายๆเรื่องแน่นอน ที่อยู่ใน "หลังฉาก"

ซึ่งแฟนบอลอย่างเราไม่มีสิทธิ์เห็น และไม่มีสิทธิ์รับรู้

หลังจากนี้ผมก็ได้แต่เฝ้าดู "การเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง" อย่างโคตรสนุกสนานภายใต้การนำทีม และอาจจะขึ้นไปคุมทิศทางของ ราล์ฟ รังนิค ให้กับสโมสรที่ผมรักแห่งนี้ "Manchester United"

ถ้ารู้ว่า "พ่อมา" แล้วมันจะดรีย์อย่างนี้ ผมจะพกไม้หน้าสามไปแบบ4Kings แล้วไปดัก "ตีหัวพ่อ" หน้าสโมสรไลป์ซิก แล้วลากมาทำงานที่โอลด์แทรฟฟอร์ดนานหลายปีแล้วล่ะงี้

ขอบคุณครับ Bruce Willis ที่ช่วยโลกนี้เอาไว้... เอ้า เพลงมา!!!!!

I don't want to miss one smile..

And I don't want to miss one kiss

And I just want to be with you Right here with you,

just like this

And I just want to hold you close

I feel your heart so close to mine

And just stay here in this moment

For all the rest of time........

yeah, yeah, yeah, yeah, SYEAHHHHHHHHHHH

#BELIEVE

-ศาลาผี-

Reference

https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/rangnick-pogba-solskjaer-man-utd-25672080

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด