:::     :::

"ความจงรักภักดีชั่วชีวิต" "ความเมตตา" และ "ความรัก" SAF & CR7

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
3,504
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นี่คือโอกาสพิเศษที่ได้กลับมานั่งคุยกันอย่างอบอุ่นร่วมเฟรมคู่กันอีกครั้งของ "เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" และ "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" กับ "ที่มา" อันเป็นเรื่องราวสำคัญที่ว่า ทำไมโรนัลโด้ กับ ป๋า ถึงผูกพันกันมากขนาดนี้ การสนทนาครั้งนี้จะทำให้คุณหมดทุกข้อสงสัยอย่างแท้จริง และเนื้อหาหลายๆส่วนในบทความนี้ไม่มีเขียนไว้ในreferencesต้นฉบับ แต่ถอดออกมาจากคำพูด100%จากในคลิป ที่หาอ่านไม่ได้ใน Official Article จากสโมสร

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาออกกล้องพูดคุยพร้อมกันอีกครั้งในเรื่องการสื่อสารกัน และความเป็นผู้นำ ซึ่งงานนี้ต้องขอขอบคุณสปอนเซอร์หลักบนเสื้อทีมของเราอย่าง TeamViewer ด้วย

ซึ่งการได้เห็นคริสเตียโน่ กับ เซอร์อเล็กซ์ อยู่ร่วมเฟรมในห้องเดียวกัน น่าจะทำให้แฟนผีทั้งโลกรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างแน่นอน จากที่เราเห็นมาแล้วว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้สร้างขึ้นมาบนเส้นทางแห่งความสำเร็จร่วมกัน ในช่วงยุคแรกที่ดาวเตะฝอยทองรายนี้มาอยู่กับสโมสรในช่วงปี 2003 ถึง 2009

ตำนานของโอลด์แทรฟฟอร์ดสองคนนี้ได้มาพูดคุยกันในโอกาสพิเศษมากๆ และมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในคอนเทนต์Exclusiveนี้ที่สามารถดูผ่านได้ทาง ManUtd.com หรือผ่าน Manchester United App

ปวดกบาลกับการเปิดตัวสุดอลัง

การพูดคุยกันของทั้งสองคนในครั้งนี้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ย้อนความให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องการเดบิวต์แบบสุดมหัศจรรย์ของ "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" ที่โรงละครแห่งความฝัน ปี 2003 ในครั้งนั้นว่า มันทำให้เขา "เจอปัญหาใหญ่" เลยทีเดียว

ในการพูดคุยกันอย่างอบอุ่นครั้งนี้ อีกเรื่องหนึ่งที่ทั้งสองมาพูดคุยกันก็คือเรื่องราวที่ปีกชาวโปรตุกีสในตอนนั้นสำแดงฤทธิ์เดชได้อย่างสุดยอดในสีเสื้อของปีศาจแดง กับการเปลี่ยนตัวลงมาเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่โคตรอลังการในเกมเจอโบลตัน วันเดอเรอร์ส เมื่อเริ่มฤดูกาล 2003/04

เซอร์อเล็กซ์ยอมรับว่า การส่งโรนัลโด้ลงมาเป็นตัวละครลับในช่วงสามสิบนาทีนั้นมันน่าประทับใจมากอย่างที่เขาก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ซึ่งทำให้ป๋ามีปัญหาหนักหน่วงทันทีในการเลือกตัวผู้เล่นสำหรับเกมถัดไป

"ผมจำได้อยู่เสมอแหละ ตอนที่เราได้พูดคุยกัน (เรื่องการเซ็นโรนัลโด้มาแมนยูไนเต็ด) ผมคิดถึงเรื่องที่ว่าจะทำยังไงให้เอเย่นต์ของเขาพึงพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เขาอาจจะไม่ได้ส่งโรนัลโด้ลงสนามตลอดทุกเกม"

"แต่ถ้าเขาเก่งมากจริงๆ ผมก็คงดรอปเขาไม่ได้ เพราะว่าคุณจำเป็นต้องส่งนักเตะที่ดีที่สุดของคุณลงสนาม"

"ในเกมเปิดสนามเขาเป็นตัวสำรองในวันนั้น แล้วพอเขาลงมา เขาโคตรพ่อโคตรแม่มหัศจรรย์! ผู้คนต่างฮือฮามาก และคนก็โคตรชอบ! ก็เลยกลายเป็นว่า ผมจะส่งเขาลงดีไหมในเกมหน้า หรือว่าควรให้เขาอยู่บนม้านั่งสำรองดี? มันเป็นเรื่องที่ปวดกบาลมากๆนะคุณรู้มั้ย??"

ตอนนั้นปีศาจแดงนำอยู่แค่ 1-0 ตอนที่โรนัลโด้ถูกส่งลงสนาม แต่สุดท้ายแล้วจบลงด้วยการถล่มโบลตันไป 4-0 อันเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นมหาศาลที่เกิดขึ้นจากนักเตะเบอร์7คนใหม่ของเราที่ลงสนาม

แต่เซอร์อเล็กซ์ก็ยังคงรักษาสัจจะ และใส่ชื่อนักเตะตัวใหม่คนนั้นเอาไว้เป็นตัวสำรองเช่นเคยในเกมถัดไป ซึ่งเป็นเกมที่บุกไปเอาชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ได้ที่สนามเซนต์เจมส์ปาร์ค ด้วยสกอร์ 1-2

ดาวเตะวัยรุ่นผู้นี้ไม่เคยได้ลง11ตัวจริงเลย จนกระทั่งถึงวันที่ 27 สิงหาคม.. 11วันหลังจากการเปิดตัวอย่างเริ่ดสะแมนแตน

(เกมที่โรนัลโด้ได้ลงตัวจริงครั้งแรกคือ เกมนัดที่สามของซีซั่น เปิดบ้านรับวูล์ฟแฮมพ์ตัน และยูไนเต็ดชนะไป 1-0 จากประตูของจอห์น โอเชีย ในนาทีที่10)


ตัวจริงนัดแรกของโด้จิ๋ว กับประตูแรกของมหาเทพจอห์น โอเชียในเกมเดียวกัน

"กับเด็กหนุ่มวัย18ปีทุกๆคนที่ย้ายมาจากต่างประเทศ ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่เราเคยใช้งานเขาเช่นกัน ผมคิดว่าการที่มีครอบครัวอยู่รอบๆกายมันเป็นเรื่องที่สำคัญเอามากๆ"

"ผมคิดว่าคุณแม่ของเขาคงจะพักอยู่ด้วยแค่แปปเดียว ผมรู้ว่าเธอเคยพาเขาย้ายจาก Madeira มาอยู่กรุง Lisbon มาแล้วรอบนึง ตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็กๆ แต่ว่าการที่ต้องถึงกับย้ายมาอยู่ข้ามประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาเดียวกัน มันคือก้าวที่ใหญ่หลวงมากๆสำหรับคนอายุน้อยๆ เพราะงั้นสโมสรจึงจัดการเรื่องนี้ได้ดีมาก"

สำหรับโรนัลโด้ เขาเริ่มต้นใช้ชีวิตที่ยูไนเต็ดได้อย่างดีผ่านผู้จัดการส่วนตัวของเขาที่ติดต่อสื่อสารและเคลียร์เรื่องต่างๆได้อย่างเรียบร้อย และความเป็นจริงที่ว่าบรมกุนซือชาวสกอตได้รับความยกย่องเสมอในเรื่องการรักษาคำมั่นสัญญาของเขา

"ผมซาบซึ้งในทุกๆอย่างที่เขาทำเพื่อผม ทำเพื่อครอบครัวผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เขาทำเพื่อสโมสร เขาทำผลงานที่มหัศจรรย์มากๆ"

ความเป็นผู้นำและการสื่อสารกัน

ในคลิปที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบคุณจะเห็นความชื่นชมซึ่งกันและกันของทั้งสองคน และความรักที่มีให้กันทั้งคู่ อย่างที่เซอร์อเล็กซ์ได้เล่าให้ฟังว่า เขาใช้วิธีอะไรช่วยคริสเตียโน่ให้สามารถมาอาศัยอยู่ที่นี่ และเล่นฟุตบอลที่แมนเชสเตอร์ได้ยังไง

"ตอนที่ผมมาที่นี่ ผมไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ มันยากอ่ะ"

"อ้าว ไม่ใช่สกอตติชเหรอ?" ป๋าสัพยอกเบาๆ

"อ่า ครับป๋า สกอตติชแหละ"(ยิ้ม)

"แต่ผมคิดว่าการสื่อสารกันของเรานั้นดีมากตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้ว มีคนช่วยผมเยอะมาก โดยเฉพาะเขา แน่นอนอยู่แล้ว ผมพยายามเรียนนะ แล้วมันก็ยาก เพราะสำเนียงเขาด้วยแหละ(ฮา)"

"แต่มันดีนะ ไม่ใช่แค่เขากับคนอื่นๆด้วย สำเนียงแมนเชสเตอร์แตกต่างออกไป และจริงๆมันก็ดี เวลาที่คุณอยากทำได้ คุณก็ต้องพยายามเรียนรู้มัน นั่นคือสิ่งที่ผมทำ"

ส่วนฝั่งป๋าเล่าให้ฟังดังนี้

"ถ้าคุณโดดเข้ามาอยู่จุดที่ต้องแสดงความเป็นผู้นำให้เห็นแล้วนั้น คุณจะต้องคำนึงถึงหนึ่งในเรื่องสำคัญของการสื่อสาร"

"โดยเฉพาะกับตำแหน่งผู้จัดการทีมของผม สิ่งสำคัญมากๆคือคุณจะต้องทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า ผมไม่เคยเดินผ่านทีมงานคนไหนๆไปเฉยๆโดยไม่พูดคุยหรือทักทายเลยเช่น ว่าไง สวัสดียามเช้า กินเข้ามารึยัง ช่วงนี้คุณแม่ทำอะไรอยู่ ฯลฯ มันสำคัญมากๆที่ทำให้ผู้คนต่างๆรู้สึกว่าคุณห่วงใยเขา คุณใส่ใจเขาจริงๆ"

"การเห็นคุณค่าทีมงานภายใต้การดูแลของคุณทุกๆคน ไม่เกี่ยวเลยว่าจะเป็นใคร นักเตะ สตาฟฟ์ หรือคนดูแลสนาม ผมคิดว่าความเป็นผู้นำและการสื่อสารนั้นมันเกี่ยวโยงเป็นสิ่งเดียวกันอย่างชัดเจน โดยในเคสของคริสเตียโน่ ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กวัยรุ่นอายุน้อยๆอยู่เลยตอนที่มาอยู่กับเรา เพราะงั้นมันสำคัญมากๆที่จะทำให้เขารู้สึกสบายใจที่นี่"

คำสัตย์

ป๋าบอกแบบนี้ ซึ่งตอนที่โรนัลโด้ย้ายมาที่นี่ช่วงแรก เขายังไม่ใช่นักเตะที่มีกายภาพอยู่ในขั้นสุดยอดเหมือนที่เราเคยเห็นช่วงพีค ที่เขาได้พัฒนาตัวขึ้นมาในรูปแบบนั้น จริงอยู่ว่าเขาเป็นดาวรุ่งที่ดังเปรี้ยงไปทั่วโลก ด้วยทักษะการใช้เท้าระดับสุดยอด แต่ยังไงก็ตามเขาก็ยังเป็นแค่เด็กอายุ18ปี ที่มีอะไรยังต้องเรียนรู้อีกมากมาย

เซอร์อเล็กซ์สื่อสารกับโรนัลโด้อย่างตรงไปตรงมาว่า เขาจะไม่ได้ลงเล่นทุกนัดในฤดูกาลเปิดตัวปีแรก แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ถ้าฟอร์มการเล่นของเขาสำคัญกับทีม ซึ่งแน่นอน พวกเขาทำสำเร็จอย่างรวดเร็ว

"สิ่งที่เขาพูดกับผม เขารักษาคำพูดและทำสิ่งเหล่านั้นทุกอย่าง" CR7 อธิบายในสกู๊ปเจาะลึกในครั้งนี้

"มันเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และคุณก็เข้าใจมัน คือให้ลองจินตนาการดูว่า คุณอายุแค่ 18 ปี แล้วจากสปอร์ติ้งมาอยู่ที่นี่ แล้วต้องมาลงเล่นกับนักเตะดังๆอย่าง กิ๊กส์ สโคลส์ คีน โซลชา ผมแอบเครียดอยู่เหมือนกัน แต่เขาช่วยผมมากๆด้วยการพูดคุยสื่อสาร บางครั้งเขาเรียกให้ผมมาที่ออฟฟิศ แล้วเตรียมล่ามเอาไว้ให้เลยที่นั่น แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับคำแนะนำต่างๆที่เขามอบให้กับผม เพื่อช่วยให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นนักฟุตบอลเต็มตัว"

"และนับตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ ทุกสิ่งที่เขาบอก ผมทำหมดทุกอย่าง เพราะงั้นผมเลยรู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ"

"ก็อย่างที่บอกบ่อยๆ เขาเป็นเหมือนพ่อของผมในเรื่องฟุตบอล"

การทำให้ลูกน้องมั่นใจ และช่วงเวลาน่าเบื่อของผู้จัดการทีม

"ในการเป็นผู้จัดการทีมหรือใครที่ดำรงตำแหน่งใดๆก็ตามที่ต้องเป็นผู้นำและบริหาร สิ่งหนึ่งที่คุณต้องพยายามทำให้ได้ตลอดกับคนที่คนทำงานด้วยก็คือเรื่องความมั่นใจและความไว้วางใจในตัวผู้จัดการ"

"ในเวลาเช่นนั้น เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงความไว้วางใจที่มอบให้ พวกเขาก็จะมอบความซื่อสัตย์กับคุณเช่นกัน พวกเขาจะรู้ได้เลยว่าถ้าเมื่อไหร่ที่มีปัญหา ให้เขามั่นใจในการที่จะเดินเข้ามาหาผมได้เลย ประตูห้องทำงานผมเปิดรับเสมอ เคาะประตูแล้วเข้ามาปรึกษาปัญหาอะไรก็ได้ทั้งนั้น"

"และด้วยวิธีการแบบนั้นนักเตะจะเริ่มเข้าใจเลยว่าเขาสามารถไว้ใจคุณได้"

"ทุกคนรับรู้กันดีว่าผมไม่ชอบเวลาแพ้ โดยเฉพาะเวลาที่นักเตะแมนยูไนเต็ดทำได้ต่ำกว่าความคาดหวัง ผมไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด ความเชื่อมั่นอันนั้นแหละที่ผมคิดว่า คริสเตียโน่ และนักเตะคนอื่นๆรับรู้มันได้"

คริสเตียโน่ โรนัลโด้กล่าวเสริมป๋าว่า

"ผมคิดว่าทุกคนเข้าใจบทบาทของตัวเองในทีมเป็นอย่างดี ทีมงาน โค้ช  นี่แหละที่ทำให้เราคว้าแชมป์กันมาได้ ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันกี่แชมป์ แต่มันเป็นเพราะสิ่งนี้นี่แหละ องค์ประกอบที่ป๋าพูดถึงเอาไว้ ในเรื่องความเชื่อมั่นผู้คนในทีม ในเรื่องการสื่อสารของเขา เขาเป็นคนนำทีมของพวกเราและช่วยเหลือเราเพื่อที่ทำยังไงก็ได้ให้ทีมมีโอกาสชนะมากที่สุด เพราะงั้นผมจำแม่นเลยล่ะ นั่นคือกุญแจสำคัญในความสำเร็จของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด"

และป๋าก็เล่าถึงเรื่องนึงที่หลายๆคนไม่เคยรู้มาก่อน ยามที่เขาเป็นผู้จัดการทีม นั่นก็คือช่วงเวลาสุดเบื่อของแก

"ผมรู้สึกอยู่ตลอดว่า ช่วงเวลาที่น่าเบื่อสุดคือ 45นาทีก่อนเตะ เวลาที่ลูกทีมออกไปวอร์มอัพ แล้วผมไม่มีหน้าที่จะทำอะไรเลย ผมอยากให้เกมมันรีบๆเตะมาก เตะมันซะตอนนั้นได้เลยยิ่งดี แต่มันทำไม่ได้ เพราะว่าพวกเขายังวอร์มกันอยู่เลย แล้วคุณเหงาอ่ะ ไม่มีไรทำ อยู่ตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยว นั่งอยู่คนเดียวในห้อง มองจอดูพวกเขาวอร์ม นั่นเป็นเวลาเดียวที่ผมไม่สนุกเลย"

"แต่พอเกมเริ่มเมื่อไหร่นะ โคตรมันส์"

โรนัลโด้ : "ฮ่าๆๆ"

เซอร์อเล็กซ์ : "เฮ้ย เรื่องจริงนะ ผมหมายถึงว่าเดี๋ยวสักวันคุณมาเป็นโค้ชก็จะรู้เอง อาจจะคงไม่มาเป็นละมั้ง 555"

โรนัลโด้ : "ผมไม่รู้เหมือนกันครับ" :)

ความเชื่อใจ และความภักดี

ช่วงที่ย้อนความถึงเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรู้สึก โรนัลโด้ถูกถามคำถามให้เลือกว่าช่วงเวลาไหนคือช่วงที่ดีที่สุดกับอดีตนายใหญ่ของเขา และคำตอบที่ออกมาจากปากของคริสเตียโน่ โรนัลโด้นั้น เขาพูดอย่างเต็มปากเต็มคำถึงช่วงเวลาที่ "สวยงามที่สุด" ที่เขามีร่วมกับ "The Boss" อย่างเซอร์อเล็กซ์

อาจเป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับใครหลายคน ที่คำตอบของโมเมนต์ที่ดีที่สุดดังกล่าว มันกลับไม่ใช่เรื่องในสนาม แต่มันคือเรื่องที่ผู้จัดการทีมระดับตำนานผู้นี้คือบุคคลที่เป็น "แบบอย่าง" ในเรื่องของคนเป็นหัวหน้าที่ "เข้าใจ" และ "ห่วงใย" นักเตะของตนเอง รวมทั้งครอบครัวของคนๆนั้นด้วย

ในเรื่องนี้โรนัลโด้ย้อนความถึงช่วงฤดูกาลที่คุณพ่อของเขาจากไป และการที่ป๋าให้เวลาเขาได้ไปหาพ่อ

"มันยากนะที่จะให้เลือกได้แค่โมเมนต์เดียว"

"บางทีเขาอาจจะจำไม่ได้ แต่ผมจะเล่าให้ฟัง เพราะมันเป็นเรื่องราวที่สวยงามมาก วันหนึ่งในตอนนั้น ขณะที่พ่อผมอยู่โรงพยาบาล และผมก็กำลังรู้สึกแย่มาก ดำดิ่งสุดๆ ผมได้คุยกับเขา แล้วเขาก็บอกว่า 'ไปหาพ่อ2-3วันเถอะ คริสเตียโน่' ซึ่งตอนนั้นเรามีช่วงเกมหนักๆอยู่ และผมเป็นผู้เล่นตัวสำคัญในช่วงนั้น"

"เขาบอกว่า 'มันคงจะลำบากแหละเพราะเราเจอเกมยากมาก แต่ผมเข้าใจสถานการณ์ของคุณดี ผมให้คุณไปหาพ่อได้เลย' สำหรับผมแล้ว คำพูดนี้มันที่สุดจริงๆ นอกเหนือจากเรื่องที่ไปคว้าแชมป์เปี้ยนส์ลีก เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก แชมป์บอลถ้วย แล้วก็อะไรต่างๆ ก็มีคำพูดนี้นี่แหละ ผมจึงสำนึกบุญคุณเขามากๆ เพราะไม่ว่าอะไรที่เขาพูดกับผม เขาจะทำเสมอ ผมจึงซาบซึ้งในเรื่องนั้น"

คุณพ่อของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ จากไปในปี 2005 ด้วยวัยเพียงแค่ 52 ปีเท่านั้น แต่ในความทรงจำต่อความเมตตาของผู้จัดการทีมทำให้ความจงรักภักดีนั้นยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้

บทสนทนาในเรื่องนี้ เซอร์อเล็กซ์ก็เล่าและอธิบายให้ฟังเช่นกันว่า เขามีวิธีจัดการยังไงกับสถานการณ์ที่เซนส์ซิทีฟขนาดนี้ มันเนื่องมาจากประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาก่อนในช่วงต้นๆการทำหน้าที่ผู้จัดการทีม

"มีเด็กหนุ่มคนนึงเดินมาหาผมที่ออฟฟิศ วันนั้นเป็นวันอังคาร แล้วเขาก็พูดกับผมว่า หัวหน้าครับ ผมขอลาวันศุกร์นี้ได้ไหมครับ แล้วผมก็ถามเขาว่า ทำไมถึงอยากลาวันศุกร์ล่ะ?"

"แล้วเขาก็บอกว่า 'แม่ผมเสียครับ' "

"เมื่อได้ยินแบบนั้น มันจึงไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้เลย แล้วผมก็ตอบไปว่า 'โอ้, ไปเถอะลูก ไม่เป็นไร' "

"จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ถ้ามีนักเตะเข้ามาหาผมแล้วบอกว่า พรุ่งนี้ผมอยากลา ผมจะตอบทันทีว่า"

"ได้เลย มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้างไหม?"

"ในเคสของคริสเตียโน่ ผมรู้ว่าคุณพ่อของเขาป่วยอยู่ และขณะนั้นต้องเข้าโรงพยาบาล มันสำคัญมากๆสำหรับเขาที่ควรจะได้ไปอยู่ตรงนั้น เรื่องสโมสรมันไม่สำคัญอะไรทั้งสิ้น"

"คุณต้องเข้าใจว่า เรื่องบางอย่างมันสำคัญยิ่งกว่าสโมสรฟุตบอล และครอบครัวคือหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น คุณไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเอาเรื่องสโมสรมาอยู่เหนือความสำคัญของครอบครัว ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น"

และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของการพูดคุยกันที่น่าจะทำให้แฟนๆปีศาจแดงได้เข้าใจเรื่องราวของสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกันจนเป็นเหมือนพ่อลูกกันทางจิตวิญญาณระหว่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนึ่งในนักเตะว่าที่ตำนานนักฟุตบอลตลอดกาลของโลก กับเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือผู้เป็นตำนานตลอดกาลของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และของโลกใบนี้

นี่แหละคือสิ่งที่เหนือยิ่งกว่าเรื่องของความจงรักภักดี(loyalty) และความเมตตา(compassion) ที่ทั้งสองฝ่ายมอบให้แก่กันและกัน ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกไม่แปลกใจไปเลย กับคำลงท้ายในสาส์นที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทิ้งท้ายไว้ในจดหมายที่พูดถึงการกลับมาสู่สโมสรนี้อีกครั้งของเขาว่า

“PS - Sir Alex, this one is for you…”

ไม่จำเป็นต้องแปลอะไรคำนี้อีกต่อไป เบื้องหลังมันทรงคุณค่ายิ่งกว่านั้น...

มันคือ "ความรัก"

-ศาลาผี-

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด