ก็แค่รถบัส
จากที่คาดการณ์กันไว้ว่า ทั้งสองชาติจะโคจรไปฟัดกัน “นัดชิงชนะเลิศ” แต่ความยอดเยี่ยมของ อินโดนีเซีย ส่งให้ทัพดาวทองจบเพียงอันดับ 2 ของกลุ่ม
ต้องมาฟัดกับไทยตั้งแต่ไก่โห่
ในมุมทีมชาติไทย เชื่อว่าทีมงานสตาฟฟ์-นักเตะ ยักไหล่โนสนโนแคร์อยู่แล้ว จะเจอกับชาติไหนในรอบตัดเชือก ก็มาดิคร้าบบบบบ
แต่เมื่อคู่ต่อสู้ที่รอตรงหน้าเป็น เวียดนาม จึงทำให้รู้สึก “ฮึกเหิม” หงุดหงิดง่ามเท้ามากกว่าการเจอชาติอื่น ๆ
วัด ๆ ซัด ๆ กันไปให้จบ ๆ จะได้รู้ใคร “ของจริง” หลังที่ผ่านมาก่อนหน้าในแมตช์ทางการ 2 นัดล่าสุด “กินกันไม่ลง” จบด้วยผลเสมอ
ว่ากันตามสภาพความพร้อม ถือว่าไทยได้เปรียบกว่าเล็กน้อย แม้คู่ต่อสู้จะมีดีกรีเป็นถึง “แชมป์เก่า” ก็ตามที
โดยเฉพาะสภาพร่างกาย
ทีมชาติไทย เกมล่าสุดพักผู้เล่นหลักยกชุด ทำให้นักเตะที่ลงเล่นมา 3 เกมแรก มีเวลาพักฟื้นสภาพร่างกายยาวถึง 8 วัน
ขณะที่เวียดนาม นัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาจัดเต็มฟัด กัมพูชา แม้แข้งคนสำคัญอย่าง เหงียน คอง เฟือง, ฟาน วัน ดุ๊ก จะไม่ได้เล่นครบ 90 นาทีเต็ม ทว่าในรายอื่นอย่าง เหงียน กวาง ไห่ ก็เล่นไปถึง 86 นาที เหงียน ฮ่วง ดุ๊ก มิดฟิลด์คนสำคัญที่เป็นตัวหลักตลอดในทีมชุดนี้ก็เล่นไป 80 นาที หรือแม้แต่กองหน้าตัวเก่งอย่าง เหงียน เตี๋ยน ลินห์ ก็ลง 90 นาทีเต็ม
มีเวลาพักเต็มที่แค่ 4 วัน
ยังไม่นับรวมถึงขนาดทีมที่ พัค ฮัง-ซอ เลือกใช้งานผู้เล่นชุดเดิม ๆ ต่างจากไทยที่หยิบจับใครลงแทนก็ได้ ยิ่งทำให้ “ช้างศึก” เองได้เปรียบในจุดนี้
อย่างไรก็ตามโฟกัสสำคัญอยู่ที่เกมในสนามมากกว่า
ทั้ง มาโน โพลกิง และ ผู้เล่นไทย รู้อยู่เต็มอกว่า เวียดนาม มาใช้รูปแบบเกมรับเต็มตัวใส่ จอดรถบัสไว้หน้าปากประตูแน่นอน
เป็นแท็คติกที่เฮดโค้ชเกาหลีใต้ใช้ในเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกที่ผ่านมา รวมถึงใช้ในการพบกับไทย 2 ครั้งหลังสุด และพวกเขาประสบความสำเร็จ หลังไม่เสียประตูให้ทีมไทยเลย
อีกทั้งทัวร์นาเมนต์นี้ รอบรองชนะเลิศ แม้จะแข่งขันกัน 2 เกม (เหย้า-เยือน) ทว่าก็เล่นสนามกลาง และไม่มีกฎอเวย์โกลมากวนใจ
นั่นจึงทำให้ เวียดนาม ที่สภาพร่างกายเป็นรองกว่าไทย ไม่จำเป็นต้องผลีผลาม วิ่งเพรสซิ่งใส่ให้เปลืองพลังงาน แต่อาจเลือกที่จะซื้อเกมรับแน่น ๆ รอหาจังหวะผิดพลาดจากเรา หรือสวนกลับคม ๆ ดีกว่า
ไม่เสียประตู ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ แล้วค่อยไปวัดนัดที่สองในแมตช์ชี้ชะตา ถึงตอนนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้
ทำให้เกมนัดแรกที่ ไทย พบ เวียดนาม สิ่งที่ทัพช้างศึกต้องเจอคือ “รถบัส” เกมรับหน้าปากประตู
ซึ่งรูปเกมออกมาอึดอัดแน่
กอปรกับไทยเองที่ผ่านมา ก็ยังไม่ปัญหาในแดนที่ 3 คือมีจังหวะเหม็ง ๆ มากมาย แต่เปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้เท่าที่ควร จุดนี้ มาโน โพลกิง ต้องทำการบ้านเน้นลูกทีมอย่างหนัก เพราะวันเจอเวียดนาม ไทยจะไม่มีวันได้ง้างตีนยิงชิล ๆ เหมือน 4 เกมที่ผ่านมา
ลูกตอด เล่นเกมหนักใส่มีแน่ เพราะบอล 50-50 สไตล์ ฮัง-ซอ กัดไม่ปล่อยอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ในความตึงของเกม ไทยมี ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้ามากประสบการณ์ที่สร้างความต่างในกรอบเขตโทษได้ มีลูกยิงไกลหวังผลของ ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร มี ธีราทร บุญมาทัน ที่เล่นลูกตั้งเตะและบอลไลน์ลึกแม่นยำ รวมถึง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่เอาตัวรอดและเล่นบอลพื้นที่แคบ ๆ ได้ดี
ซึ่งต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เราไม่ได้ผู้เล่นเหล่านี้ลงสนามกันอย่างพร้อมหน้า
กระแทกคีย์บอร์ดแบบไม่ได้ “ชาตินิยม” หรืออวยหัวปักหัวปรำ ผู้เขียนยังเชื่อว่า ทีมชาติไทย ยังดูดีกว่า เวียดนาม แค่เรา “ไม่ประมาท” เล่นด้วยความระมัดระวัง อย่าทำพลาดง่าย ๆ เป็นพอ
ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไร
ก็แค่รถบัสเก่า ๆ มุกเดิม ๆ ที่ พัค ฮัง-ซอ ใช้ไม่เคยเปลี่ยน