:::     :::

"ห่านก็หาย หมาก็หาย" และเหล่าชายผู้เป็นตำนานคริสต์มาสของปีศาจแดง

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,364
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นี่คือ "ตำนานเรื่องเล่า" ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่เกี่ยวข้องกับช่วงเทศกาลคริสต์มาส ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมากมายในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของสโมสร และนี่คือเรื่องราวสบายๆที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน เป็นของขวัญส่งท้ายปีแก่แฟนผี

สำหรับคนทั่วไปเมื่อพูดถึงคริสต์มาสแล้ว เราอาจจะนึกถึงต้นคริสต์มาส ไก่งวง พายสับ แต่สำหรับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คริสต์มาสคือ "เทศกาลดูบอล" อันรื่นเริงของเราจริงๆ ซึ่งหลายๆปีที่ผ่านมา สโมสรก็สร้างประวัติศาสตร์เอาไว้มากมายในช่วงเวลานี้เนื่องมาจากการแข่งขันที่เข้มข้นกว่าปกติ

และนี่คือตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับคริสต์มาสของปีศาจ ที่มีเรื่องราวของการแข่งขันอย่างเกมดาร์บี้แมตช์ ผลการแข่งขันในเกมวันคริสต์มาส นักเตะที่ถูกโฉลกและชื่นชอบเทศกาลนี้ จุดเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่ช่วงปลายทศวรรษ80s และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของสโมสร..

มีแม้กระทั่งตำนานเรื่อง "ห่านหาย"!!!!

เรื่องราวเป็นยังไงบ้าง ขอเชิญไปอ่านกันครับ

ศัตรูประจำเทศกาล

ในปัจจุบันนี้อาจจะนึกภาพกันยากสักหน่อย แต่ "แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ในวันคริสต์มาส" เป็นอีเวนต์ประจำของทีมเราในช่วงเปลี่ยนผ่านมาสู่ทศวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปี 1896 จนถึง 1902

โดยที่ "แมนเชสเตอร์ซิตี้" เป็นคู่แข่งทีมแรกที่เราเจอในช่วงคริสต์มาส โดยเจอกันสมัยเรายังเป็น Newton Heath อยู่สองครั้ง และเจอกันอีกครั้งนึงตอนที่เปลี่ยนชื่อเป็น Manchester United แล้ว

และเพื่อนบ้านสีฟ้าๆไม่เคยชนะทีมเราเลยในยุคนั้น

ฝูงชนที่มากกว่าปกติเป็นพิเศษ ราวๆ 18,000 อัดแน่นกันในความจุของ the Heathen's Bank Street Stadium ที่ Claytonอย่างมาก ในโปรแกรมการแข่งขันอันเป็นที่ฮือฮาในยุคนั้นตายรายงานของ Athletic News ที่กล่าวเอาไว้ว่า

'ผมไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนี้มาก่อนในการแข่งขันฟุตบอล ผู้คนที่กองกันอยู่เส้นหลังประตูพบเห็นได้ในหลาๆที่ ในช่วงเวลานั้น คุณ J Parlby หนึ่งในคณะกรรมการบริหารลีก แจ้งกับผู้ชมว่า ถ้าพวกเขาไม่ไปอยู่กันที่เส้นข้างสนาม เกมจะดำเนินการแข่งขันไม่ได้'

ฝูงชนจึงล่าถอยไป สุดท้ายเกมนัดนั้นก็จบลงด้วยชัยชนะของเจ้าถิ่น 2-1  และนิวตันฮีธก็ทำสกอร์เดียวกันนี้ได้อีกครั้งตอนที่ทั้งสองทีมกลับมาเจอกันที่สนาม Hyde Road ในปีถัดมา

สนามBank Street ปี1907 เปิดบ้านพบ Portsmouth

การเลื่อนชั้นของซิตี้ทำให้ไม่มีเกมดาร์บี้แมตช์อยู่ในช่วงเวลา 2 ปี ก่อนที่ภายหลังพวกเขาจะตกชั้นลงมาดิวิชั่นสองอีกครั้ง และได้เผชิญหน้ากันอีกในวันที่ 25 ธันวาคม วันคริสต์มาสของปี 1902 โดยการที่ยูไนเต็ดเป็นเจ้าบ้าน และเสมอกันไปที่สนาม Bank Street ในการเจอกันวันคริสต์มาสเป็นครั้งสุดท้าย

อนึ่ง ชื่อสโมสรแรกสุดจริงๆของแมนยูไนเต็ด คือ "Newton Heath LYR Football Club" (Lancashire and Yorkshire Railway) และเปลี่ยนมาเหลือแค่ Newton Heath เฉยๆภายหลัง ที่ตัด LYR ทิ้งไปเพราะเป็นอิสระไม่ขึ้นกับบริษัทรถไฟแล้ว

โดยที่สนามเหย้าแรกสุดของทีม ตั้งอยู่ที่ถนน North Road, Newton Heath นอกจากฟุตบอลยังใช้เป็นสนามคริกเก็ตด้วย แต่ผู้สร้างตั้งใจใช้แค่ไม่นาน จึงเกิดการรื้อถอนและย้ายไปยังพื้นที่ปัจจุบันที่ Clayton

เมื่อทุกอย่างถูกจัดการอย่างเป็นระบบ Mr. J.H. Davies เข้ามาสู่สโมสร ทีมก็เปลี่ยนชื่อเป็น Manchester United ในปี 1902 ซึ่งในฤดูกาล 1903/04 แมนยูไนเต็ดขาดแค่แต้มเดียวเท่านั้นก็จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาแล้ว และปีถัดไป 1904/05 ทีมจบด้วยการตามหลัง Bolton Wanderers ที่ได้อันดับสองแค่สามแต้ม

Manchester United F.C. Season 1905/06

กว่าจะเลื่อนชั้นสำเร็จก็คือ 1905/06 ทำสำเร็จด้วยการจบอันดับสองด้วยคะแนน 62 แต้ม ตามหลังแชมป์ดิวิชั่นสองปีนั้นอย่าง Bristol City อยู่4คะแนน (66แต้ม) และทีมก็ฝ่าไปถึงรอบ4 FA Cup ก่อนจะตกรอบด้วยการแพ้คาบ้าน 2-3 ต่อทีม "Woolwich Arsenal" (ก็อาร์เซนอลนั่นแหละ!!!)

ช่างกลปืนโตเป็นคู่รักคู่แค้นของเราในถ้วยนี้ตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหาแล้ว

และยูไนเต็ดก็คว้าแชมป์ลีกครั้งแรกได้สำเร็จในฤดูกาล 1908, แชมป์ FA Cup แรกในปี 1909 และย้ายไปยังสนามใหม่อย่าง "Old Trafford" ในปี 1910 ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกที่โรงละครแห่งความฝันได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1910/11 ด้วยคะแนน 52 แต้ม เหนือแอสตันวิลล่าแค่คะแนนเดียว

"ห่านที่หายไปหลังวันคริสต์มาส"

นานมาแล้วก่อนที่ "Fred the Red" จะได้มาโชว์ลวดลายให้เราเห็น มาสคอตตัวแรกจริงๆของยูไนเต็ดนั้นคือ "Michael" นกขมิ้นแห่ง the Bank Street ถึงแม้ว่าการสืบหาอย่างใกล้ชิดไปยังเรื่องราวความเป็นมาของ "ไมเคิล" นั้นจะทำให้เราค้นพบความจริงที่ถูกปกปิดไว้เพื่อหลอกลวงประชาชนก็ตาม

โดยที่แฟนบอลนิวตัน ฮีธ นั้นสามารถเข้าไปดูเจ้านกตัวนี้ได้ก่อนเกม โดยเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อย และอ้างว่าเขาสามารถร้องเพลงเอ็นเตอร์เทนให้คุณได้

แต่อย่างไรก็ตาม ไมเคิลก็โดนจับโป๊ะแตกได้อย่างรวดเร็วว่าเขาไม่ใช่นกขมิ้นที่มีเสียงไพเราะแต่อย่างใด หากแต่เพียงว่ามันคือ "ห่าน" ใบ้ที่ถูกขุนจนอ้วนเท่านั้นเอง

(อารมณ์ประมาณเมียงูละมั้ง..)

หลังจากนั้นเจ้าห่านไมเคิลก็หายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากเดือนธันวาคมปี 1898 หลังจากคริสต์มาสนั้นก็ไม่มีใครพบเจอเจ้าอดีตมาสคอต(เก๊)ตัวนี้อีกเลย

ในเวลาต่อมา ตำแหน่งมาสคอตของนิวตันฮีธก็ถูกแทนที่โดยเจ้า "Major" สุนัขพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ด ที่กัปตันทีมอย่าง Harry Stafford เป็นเจ้าของ และค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์ ย้อนกลับไปเมื่อ120ปีก่อน ในวันที่ 2 มีนาคม 1901

หลังจากห่านหายแล้ว หมามาสคอตแมนยูไนเต็ดก็ยังหายไปอีก!

เหตุการณ์ "หมาหาย" นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นการช่วยชีวิตนิวตันฮีธโดยบังเอิญ ที่ตอนนั้นเป็นหนี้อยู่ 2,670 ปอนด์ (เทียบค่าเงินปัจจุบันคือ 300,000 ปอนด์) จากจุดเริ่มต้นที่ตกลงไปดิวิชั่น2 ในปี 1894 สถานการณ์ทีมก็ย่ำแย่ลง นักเตะตัวหลักย้ายออก ทีมก็ล้มเหลวในการกลับมาสู่ดิวิชั่นหนึ่ง จนกระทั่งทุกอย่างมืดมนสุดๆเมื่อทีมใกล้จะล้มละลายเต็มทน

สโมสรจึงจัดตลาดระดมทุนที่ St. James’s Hall บนถนน Oxford Road เพื่อระดมทุนในช่วง 27 กุมภาพันธ์ ถึง 2 มีนาคม 1901

แล้วในคืนสุดท้ายที่เป็นตำนานนั้น คือคืนวันที่ 2 มีนา วันสุดท้ายที่ไปจัดตลาดระดมทุนที่นั่น สุนัขเซนต์เบอร์นาร์ดสีขาว-เลม่อน ที่เป็นมาสคอตของทีม และเป็นหมาของฟูลแบ็คกัปตันทีมอย่างแฮรี่ได้หายตัวไป พร้อมกับกล่องรับบริจาค

สุดท้ายเจ้าMajor ได้ไปปรากฏตัวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งร้านนั้นมีนักธุรกิจและนักทำเบียร์ผู้ร่ำรวยในท้องถิ่นอย่าง John Henry Davies อยู่ และเห็นเจ้าหมาตัวนี้พอดี

John Henry Davies

จอห์นอยากได้หมาตัวนี้ให้กับลูกสาวของเขามากๆจึงตามหาแฮรี่ สแตฟฟอร์ด ผ่านทางโฆษณาบนManchester Evening News ซึ่งตอนแรกแฮรี่ไม่อยากจะขายสุนัขอันเป็นที่รักของเขา แต่ก็ต้องยอมเพราะนิวตันฮีธกำลังจะล้มละลายแล้ว

ในที่สุดเจ้าหมายักษ์ตัวนี้ก็กลายเป็นของขวัญวันเกิดให้ลูกสาววัย12ปีของ Jonh H Davies และผลจากเรื่องนี้ทำให้Davies สนใจจะช่วยกู้สถานะการเงินของเดอะฮีธเธนส์ แล้วลงขันร่วมกับนักธุรกิจอีกสี่คน รวมถึงสแตฟฟอร์ดด้วย ช่วยสโมสรให้รอดพ้นจากการล้มละลาย และ John H Davies ก็กลายเป็นประธานสโมสรคนใหม่ในที่สุด

และต่อมาเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อสโมสรนิวตันฮีธ และเปลี่ยนสีเหย้าของชุดแข่งกลายเป็น ซึ่งภายหลังคือการถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการของชื่อ Manchester United Football Club ในวันที่ 24 เมษายน 1902 และเปลี่ยนสีทีมเป็นแดงขาวด้วย

ภาพถ่ายทีมปีแรกอย่างเป็นทางการในนาม "Manchester United"

โชคชะตาที่หมาหายเพียงตัวเดียว กอบกู้ประวัติศาสตร์อีกเป็นร้อยๆปีต่อมาของปีศาจแดงได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เปลี่ยนจากทีมที่กำลังจะล้มละลาย กลายเป็นทีมที่ขึ้นมาได้แชมป์ดิวิชั่นหนึ่งเป็นครั้งแรกสำเร็จ ภายใน7ปีให้หลัง ในปี 1908

เจ้าMajorจึงกลายเป็นตำนานเรื่องเล่าที่ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์รวมแห่งความสุขมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน และน้อนก็ปลดเกษียณจากการเป็นมาสคอตให้สโมสรในฤดูกาล 1905/06

ส่วนเจ้าห่านไมเคิลก็กลายเป็นปริศนาดำมืดเหมือน Crop Circle ต่อไป..

อาจจะกลายเป็นสเต็กห่านไปแล้วก็ได้ ก็ขุนมาขนาดนั้น!

หนึ่งวัน สองการเฉลิมฉลอง

วันที่ 25 นอกจากฉลองคริสต์มาสแล้ว ก็ยังเป็นวันฉลองวันเกิดด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งมีนักเตะแมนยูไนเต็ดเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่เกิดในวันคริสต์มาส

โดยปี 1919 Eddie Kilshaw กองหน้าตัวนอกฝั่งขวา (outside-right) ในยุคนั้นได้ลืมตาขึ้นมาบนโลก ในขณะที่หนึ่งปีก่อนหน้านั้นในวันเดียวกันเป๊ะๆ ก็เป็นวันเกิดของ Sammy Lynn ฟูลแบ็คของแมนยูไนเต็ด

Kilshaw

Sammy Lynn นั้นเข้ามาอยู่แมนยูไนเต็ดก่อน โดยหลังจากที่ต้องหยุดไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ลินน์เข้ามาอยู่กับปีศาจแดง 13ปี ระหว่าง 1938-1951 ลงเล่นไปเพียงแค่ 13 นัดเท่านั้น ในขณะที่ Kilshaw ลงสนามเพียงแค่ 6 นัดในฐานะผู้เล่นที่ถูกเชิญเข้ามาในเกมลีกช่วงสงคราม ของฤดูกาล 1938/19

ของขวัญที่ดีที่สุด

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1931 ยูไนเต็ดเองก็มีหนี้สินและอยู่ในสถานะเสี่ยงจะล้มละลาย James W Gibson ได้มาช่วยกอบกู้สโมสรไม่ให้สูญพันธุ์ไปจากวงการฟุตบอลได้สำเร็จด้วยความเอื้ออาทร ตามรอยเท้าของ John H Davies

หลังจากที่เข้าพบกับWalter Crickmer เลขานุการสโมสร ช่วงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก่อนคริสต์มาส และได้รับทราบว่าธนาคารปฏิเสธที่จะอนุมัติเงินกู้ยืมให้ทีม Gibson ได้บริจาคเงิน 2000 ปอนด์ให้สโมสรทันที

นอกจากจะได้เคลียร์ค่าจ้างที่ยังติดค้างชำระอยู่แล้วนั้น สโมสรยังสามารถรักษาประเพณีดั้งเดิมที่จะเลี้ยงไก่งวงให้แก่สตาฟฟ์และนักเตะในทีมได้เหมือนเดิมในวันคริสต์มาส

เมื่อได้ช่วยเหลืออนาคตระยะสั้นให้สโมสรแล้ว กิ๊บสันก็ยังจะออกเงินสนับสนุนเพิ่มเติมให้อีก หากว่าเขาดูแล้วเห็นว่ามีความต้องการของแฟนบอลแมนเชสเตอร์ที่มากพอในช่วงเทศกาล

ซึ่งกิ๊บสันก็เข้าชมแมตช์การแข่งขันของปีศาจแดงในวันคริสต์มาส กับเกมเจอวูล์ฟแฮมพ์ตัน วันเดอเรอร์ส ซึ่งที่สำคัญคือ แฟนบอลกว่า 33,000 ซึ่งเพิ่มมากขึ้นจาก 28,000 คนในเกมเหย้าก่อนหน้านั้น และเป็นตัวเลขที่น่าพอใจสำหรับเขา

ในที่สุด Gibson ก็เทคสโมสรในเดือนต่อมา และอนาคตของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจึงปลอดภัยอีกครั้ง

การลงแข่งในวันคริสต์มาส

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีการแข่งขันในวันคริสต์มาสเป็นประจำในปฏิทินฟุตบอลทั้งหมด 33 เกมจาก 61ปีที่เผชิญภัยสงคราม จนกระทั่งมาหยุดอย่างกะทันหันในปี 1957

เกมที่ถูกบันทึกเป็นสถิติในวันดังกล่าว เป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นในปี 1953 ยูไนเต็ดชนะเชฟฟิลด์เว้นสเดย์ 5-2 ที่โอลด์แรฟฟอร์ด ซึ่งกลายเป็นเกมเตะวันคริสต์มาสครั้งรองสุดท้าย ก่อนที่4ปีต่อมา แมนยูไนเต็ดจะชนะลูตันทาวน์ด้วยสกอร์ 3-0 จากผลงานของ Duncan Edwards, Tommy Taylor และ Bobby Charltonในวันที่ 25 ธันวาคม 1957

น่าเสียดายว่ามันกลายเป็นเกมเตะคริสต์มาสสุดท้ายของทั้งเอ็ดเวิร์ดส และ เทย์เลอร์ ซึ่งได้เสียชีวิตลงในอีกไม่ถึงสองเดือนข้างหน้า จากโศกนาฏกรรมทางอากาศที่มิวนิคในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 1958

การมอบโชคในเทศกาลคริสต์มาส

มันเป็นฤดูกาลที่แนวรับของทีมในลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ บริจาคประตูเพื่อการกุศลกันอย่างสนุกสนานโดยมิได้นัดหมายในวัน Boxing Day ของปี 1963 โดยในวันที่ 26 ธันวาคม 1963 มีสถิติของดิวิชั่นบันทึกเอาไว้ว่า มีการทำประตูรวมกันมากถึง 66 ประตู จาก10สนามในวันเดียว เฉลี่ยแล้วคือ ยิงกันคู่ละ 6.6 ประตู

ในขณะที่สถิติยิงสูงสุด คือเกมที่ ฟูแล่ม ระเบิดคอกม้าของ อิปสวิชไป 10-1 ส่วนยูไนเต็ดกับเบิร์นลีย์ก็ซัดกันไป 7 ลูกในวันนั้นเช่นกัน โดยเป็นแมนยูไนเต็ดที่บุกไปแพ้เจ้าถิ่น 6-1 น่าเสียดายที่ประตูของ David Herd คือลูกเดียวของเราที่บุกไปทำได้ที่สนาม Turf Moor ส่วนเจ้าบ้านนั้น Andy Lochhead ซัดไป 4 ส่วน Willie Morgan ยิงเบิ้ลในเกมนั้น (ภายหลังมอร์แกนย้ายมาอยู่แมนยูในที่สุด)

ยูไนเต็ดก็ได้ชำระแค้นในสองวันถัดมาที่โอลด์แทรฟฟอร์ดทันที กับเกมที่เบิร์นลีย์มาเยือนเราที่โอลด์แทรฟฟอร์ด แล้วก็ยิงกันเละเหมือนเดิมในเกมช่วงเทศกาล โดยปีศาจแดงเอาคืนด้วยสกอร์ 5-1 ในวันนั้น จากสองประตูของ Herd, สองประตูของ Graham Moore

และอีกหนึ่งประตูคือประตูแรกในชีวิตการเล่นฟุตบอลอาชีพดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง "George Best" คือประตูที่ยิงเบิร์นลีย์วันที่ 28 ธันวาคม 1963 นั่นเอง

เกมกระชับมิตรในช่องแช่แข็ง

ปี 1981 ปีที่หน้าหนาว หนาวแข็งมากเป็นพิเศษที่สุดปีนึง ทำให้เกมการแข่งขันต้องเลื่อนทั่วประเทศ ทำให้ผู้นำในลีกขณะนั้นอย่างยูไนเต็ด ต้องพยายามอุดช่องว่างช่วงที่หายไปของการแข่งขันที่เลื่อนมา 4 อาทิตย์ โดยลูกทีมของ รอน แอตกินสัน โดนบีบโปรแกรมเข้ามาเพิ่มอีกสามเกมที่หายไประหว่างแมตช์ที่แพ้เซาธ์แธมพ์ตัน 3-2 เมื่อ 5 ธันวา และไปตกรอบ FA Cup รอบสามด้วยฝีมือของวัตฟอร์ดในวันที่ 2 มกราคมด้วยสกอร์ 1-0

(สถานการณ์คล้ายตอนนี้เลย เกมหายไปสองแล้ว เบรนท์ฟอร์ด กับ ไบรจ์ตัน ไม่รู้จะโดนไปยัดโปรแกรมตอนไหน)

ในช่วงที่โปรแกรมหายไปนี้ แมนยูไนเต็ดก็จัดทริปขึ้นเหนือในเกม Boxing Day ไปเจอกับ Hibernian ด้วย เพราะสนาม Easter Road ของ Hibernian FC เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่มีตัวทำความร้อนใต้พื้นสนาม แมตช์นี้จึงถูกใส่เข้ามาเป็นนัดกระชับมิตรในโปรแกรมอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาความฟิตของทีมเอาไว้ และมีแฟนบอลเข้าชมถึง 12,000

เกมกระชับมิตรจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 จาก Frank Stapleton และ Willie Jamieson ยิงกันคนละลูก แสดงให้เห็นว่าทีมของแอตกินสันเริ่มแผ่วลงไป (สุดท้ายลิเวอร์พูลเข้าป้ายแชมป์ในปีนั้น ด้วยการพุ่งทะยานแซงมาจากกลางตาราง ส่วนแมนยูไนเต็ดจบซีซั่นหล่นลงไปอันดับ3)

แถมในช่วงท้าย การปะทะกันของ Erich Schaedler ของHibernian ทำให้ Bryan Robson ต้องพยาบาลอาการซี่โครงช้ำ แต่กัปตันมาร์เวลก็ไม่สะทกสะท้านจากอาการบาดเจ็บ และยิงแฮททริคใส่ปอร์ทสมัธในเกมกระชับมิตรอีก 4 วันต่อมา

การเริ่มต้นอย่างมีสไตล์

ย้อนกลับไปดูในฤดูกาล 1986/87 ในซีซั่นแห่งศึกประลองกันระหว่างลุ่มน้ำเดียวกันเองของหน้าประวัติศาสตร์แมนยูไนเต็ด (ปีนั้นเอฟเวอร์ตันแชมป์ ลิเวอร์พูลรองแชมป์) และเมื่อจบฤดูกาลก็สะท้อนออกมาได้อย่างเห็นภาพมากๆใน season review ด้วยการที่ปีศาจแดงสามารถเก็บชัยชนะนอกบ้านได้เพียงแค่ "นัดเดียว" ตลอดซีซั่นนั้นในช่วงการคุมทีมของทั้งยุครอน แอตกินสัน และคนที่เข้ามาแทนอย่าง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

และเกมที่ว่า คือการบุกไปชนะลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์!!!

เกมสุดท้ายของแอตกินสันคือการพาทีมไปแพ้เซาธ์แธมพ์ตันตกรอบในลีกคัพวันที่ 4 พฤศจิกายน และอยู่อันดับที่4นับจากท้าย และป๋าก็เข้ามาแทนทันที ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 1986 วันที่รอนถูกปลด อันเป็นวันเริ่มงานของเซอร์อเล็กซ์ในช่วงกลางฤดูกาล ซึ่งเขาย้ายข้ามมาจากAberdeenทันที

ก่อนที่ป๋าจะพาทีมรอดตกชั้นได้สำเร็จด้วยการจบอันดับ11ในตาราง กับผลงาน ชนะ14 เสมอ14 แพ้14 ในซีซั่นนั้น)

จุดเล็กๆจุดนั้นที่บุกไปชนะลิเวอร์พูลได้ ในเกมเยือนนัดเดียวของแมนยูที่เก็บสามแต้มได้ มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นในยุคที่ยิ่งใหญ่กว่าภายหลัง เพราะสามแต้มที่ได้มาจากลิเวอร์พูลนั้น เป็นสามแต้มระดับ SSR (โคตรหายาก) ที่หงส์แดงแพ้เกมลีกที่แอนฟิลด์เพียงแค่ "นัดเดียว" ตลอดยุค 80s

ไวท์ไซด์หวดลูกยิงSSRคาแอนฟิลด์ด้วยเท้าซ้ายเข้าไปเต็มตีนเตี่ย

ประตูของ Norman Whiteside ก็ทำให้แฟนทีมเยือนบ้าคลั่งในนาทีที่ 78 เกมBoxing Day ปี 1986 วันนั้น กับประตูเดียวที่เป็นชัยชนะครั้งที่4ที่แอนฟิลด์ จาก7ซีซั่น

ยิ่งไปกว่านั้น เกมดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสู้กันอย่างยาวนานทางจิตวิทยาของเซอร์อเล็กซ์ ที่มีต่อผู้ครองความยิ่งใหญ่แห่งยุคอย่างลิเวอร์พูลด้วย

นั่นคือการเริ่มต้นอย่างมีสไตล์สุดๆของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

คริสต์มาส..เทศกาลถูกโฉลกของ "ช็อคซี่"

ในยามที่นักเตะบางรายเป็นที่รู้กันว่าเกลียดการต้องลงแข่งช่วงคริสต์มาสมากๆ (อย่างเดนิส ลอว์ เคยโจ๊กเอาไว้ว่า ที่เขาโดนแบนบ่อยๆ เพราะจะได้กลับไปกรุงAberdeenได้นานๆ)

แต่ว่าสิ่งดังกล่าวจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับอดีตนักเตะของเราอย่าง "Brian McClair" แน่นอน

ช็อคซี่ยิงสองประตู จากสามเกมBoxing Day ช่วงปี 1990 ถึง 1992 โดยกดเบิ้ลในเกมเจอนอริชซิตี้ และ โอลด์แฮม แอตเลติก ด้วยสกอร์ 3-0 และ 6-3 ตามลำดับ ก่อนที่จะซัดใส่ Sheffield Wednesday เป็นปีที่สามติดต่อกันในBoxing Day ปี 1992 โดยเขาทำสองประตูในนาทีที่ 67 และ 80 ก่อนที่สุดท้าย จะเป็นเอริค คันโตน่า ซัดลูกตีเสมอช่วงท้ายเกมในนาที 84 ใส่เจ้าบ้าน

เป็นอีกหนึ่งการโคตรคัมแบ็ค ที่ดูจะเหมาะกับเทศกาลอีสเตอร์ มากกว่าบรรยากาศชิลๆของคริสต์มาส ในBoxing Dayปีนั้น ซึ่งนั่นเป็นฤดูกาลแรกของพรีเมียร์ลีก และปีศาจแดงก็คว้าแชมป์ไปในฤดูกาล 1992/93 ต่อจากดิวิชั่น1โบราณที่ถูกปิดท้ายด้วยลีดส์ ยูไนเต็ด ปี1991/92

ไบรอัน แม็คแคลร์ น่าจะถูกโฉลกกับเกม Boxing Day มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแล้วละมั้ง!!

คริสต์มาสสีขาว

เกมช่วงคริสต์มาสอีฟนั้นแทบจะไม่เคยมีเลยในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยที่ยูไนเต็ดได้ลงแข่งเพียงแค่ครั้งเดียวในรอบ 55 ปีหลังสุด และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปลุกความสุขให้เกิดขึ้นในฤดูกาลนั้นได้ เมื่อทีมแพ้คู่อริสำคัญอย่างลีดส์ ยูไนเต็ด

โดยที่แค่หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง จากการพ่ายแพ้ที่แอนฟิลด์ 0-2 การไปเยือนเอลแลนด์โร้ดก็จบลงด้วยการแพ้อีกครั้ง 1-3 ที่แฟนปีศาจแดงได้เฮกันแค่แปปเดียวจากลูกยิงของแอนดี้ โคล ที่ตีเสมอจุดโทษของแกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ ที่ได้เร็วในช่วงต้นเกม ก่อนที่คู่ปรับตลอดกาลข้ามแนวเทือกเขาPennines นั้น จะได้ประตูนำจากแอนโธนี เยบัวห์ ในนาทีที่ 37

ก่อนที่ไบรอัน ดีน จะซัดประตูตอกฝาโลงท้ายเกมอีกดอกส์ในนาทีที่ 73 คริสต์มาสปีนั้นก็เลยกลายเป็นสีขาวที่ถูกละเลงโดยสีเสื้อของพลพรรคยูงทอง "ลีดส์ ยูไนเต็ด" นั่นเอง

และสำหรับแฟนผี ต่อให้ราดเกลือหิมาลัยลงไปพูนๆแค่ไหน ไก่งวงในวันเทศกาลคริสต์มาสปีนั้นก็คงจะกินแล้ว "ขม" สำหรับแฟนบอลเราเป็นแน่แท้

-ศาลาผี-

References

https://www.manutd.com/en/news/detail/man-utd-christmas-signings-over-the-years-in-transfer-market

https://playupliverpool.com/1907/03/30/bank-street-manchester-united-f-c-football-ground/

https://www.facebook.com/manchesterunited/photos/p.10150985197392746/10150985197392746/

https://www.manutd.com/en/news/detail/how-a-missing-st-bernard-dog-helped-to-save-manchester-united-from-bankruptcy

https://strettynews.com/2015/08/12/major-the-st-bernard-the-dog-that-helped-save-manchester-united/

https://www.whoateallthepies.tv/man_utd/226547/on-this-day-in-1881-the-heathens-play-the-saints-in-first-ever-manchester-derby.html

https://www.theguardian.com/football/that-1980s-sports-blog/2018/dec/13/liverpool-manchester-united-alex-ferguson-kenny-dalglish

https://www.premierleague.com/match/1575

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด