:::     :::

เมื่อ "ช้างศึก" ทำให้อาเซียนสงบสุข

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
20,808
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
จากผลงานการผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศของ ทีมชาติไทย ที่เอาชนะ เวียดนาม ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 2-0 ทำให้ไปลุ้นแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ สมัยที่ 6 ต่อจากปี 1996, 2000, 2002, 2014, 2016 โดยจะพบกับ อินโดนีเซีย ในวันที่ 29 ธันวาคม 2564 และ 1 มกราคม 2565 นี้

การเอาชนะมาก่อนในเกมแรก 2-0 ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับขุนพล "ช้างศึก ก่อนจะรักษาสกอร์เสมอ 0-0 ในแมตช์ที่สอง จนผ่านเข้ารอบไฟน่อลได้ ทว่าทีมจะไม่มี ฉัตรชัย บุตรพรม ที่ได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าเข่าซ้ายฉีก ต้องพักอย่างต่ำราว 6-8 เดือน ซึ่งจะมีการผ่าตัดเมื่อกลับมาไทย ในวันที่ 2 มกราคม นี้ รวมทั้ง ธีราทร บุญมาทัน แบ็คซ้ายคนใหม่ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ติดโทษพักแข้ง 1 นัด จากการสะสมใบเหลืองครบ 2 ใบ

วันนี้เราจะลองมาย้อนวิเคราะห์กันว่า ด้วยเหตุปัจจัยใดบ้างที่ช่วยให้ "ช้างศึก" ก้าวผ่านสมรภูมิที่หนักหน่วง จนทำให้โลกโซเชียลของชาวอาเซียนสงบลงด้วยการปราบทัพ "ดาวทอง" ได้สำเร็จ


1. มีระบบการเล่นที่ยืดหยุ่น

มาโน่ โพลกิ้ง กุนซือของทีมชาติไทย สามารถปรับแผนการเล่นได้ถึง 3 ระบบ เริ่มจาก 4-2-3-1 ที่ใช้ในเกมแรกชนะ ติมอร์ เลสเต 2-0 ก่อนจะปรับมาเป็น 4-4-2 ไดมอนด์ หรือ 4-1-2-1-2 เมื่อได้ตัวหลักอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน เข้ามาสู่ทีม 

ซึ่งทุกอย่างดูได้ผลและลงตัวเอามากๆ จนมาถึงเกมแรกของรอบรองชนะเลิศ ที่เจอกับ เวียดนาม ก็ใช้แผนนี้เผด็จศึกมาได้ 2-0 แต่ในนัดที่สองช่วงครึ่งแรกนั้น "ช้างศึก" รูปเกมตกเป็นรองจนสุ่มเสี่ยงจะเสียประตูในรูปแบบการเข้าทำของทัพ "ดาวทอง" ที่เน้นการบอมบ์ไปหน้ากรอบ 18 หลา และจ่ายบอลทะลุไลน์กองหลังของไทย ทำให้ครึ่งหลังต้องปรับมาเล่น 5-4-1 โดยเลือกส่ง เอเลียส ดอเลาะ มาเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟเพิ่มอีก 1 คน บวกกับการเติม ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ลงมาช่วยเชื่อมเกมและ ทำให้ทีมไทยครองบอลแดนกลางได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จน เวียดนาม หาช่องเจาะเข้าไปลุ้นประตูแทบไม่ได้เลย

นี่และเองคือความยืดหยุ่นการมีสควอดทีมที่หลากหลาย และการเลือกใช้แท็กติกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตัวกุนซือ รวมทั้งตัวผู้เล่นทุกคนก็เข้าใจบทบาทที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี  


2. กล้าใช้งานผู้เล่นทุกคน

นอกเหนือจากในเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ที่ มาโน่ โรเตชั่นส่งตัวสำรองลงเล่นครบทั้ง 11 ตำแหน่ง แต่คุณภาพของทีมก็ไม่ได้ตกลงไป เพราะยังเอาชนะ สิงคโปร์ ไปได้แบบนิ่มๆ 2-0 คว้าแชมป์กลุ่มมาได้อย่างงดงาม 

พอมาเกมแรกกับเวียดนาม มาโน่ เลือกใช้ สุภโชค สารชาติ กับ ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ออกสตาร์ทก่อนเพราะเราต้องการผลการแข่งขันที่ได้เปรียบ จึงเลือกใช้ผู้เล่นที่มีคุณสมบัติกล้าครองบอลลากเลื้อยทะลุทะลวง รวมถึงสามารถเชื่อมไลน์ระหว่างกลางไปหน้า ซึ่งทั้งคู่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมตามแผนที่กำหนดไว้

พอมาเกมที่สอง ด้วยความที่ตุนสกอร์นำมาก่อนถึง 2 ลูก ทำให้สามารถเล่นเน้นผลได้ รวมถึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าจะต้องเจอการเพรสซิ่งและเข้าบอลหนักจากคู่แข่ง มาโน่ จึงเปลี่ยนสองคนนี้ออก แล้วให้ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่มีความดุดัน เอาลงไปปะทะกับสไตล์ถึงลูกถึงคนของ เวียดนาม รวมถึง ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ ซึ่งมีสปีดที่จัดจ้านและพาบอลไปกับตัวได้ดีในสถานการณ์ 1v1 ก่อนจะปรับหมากอีกครั้งในครึ่งหลัง ด้วยการให้ เอเลียส ดอเลาะ ลงมา เพื่อผนึกกำลังกับ มานูเอล ทอม เบียร์ห และ กฤษดา กาแมน ใช้ระบบเซนเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน รวมถึงเลือกใช้ ธนวัฒน์ และ ปกเกล้า อนันต์ ที่เล่นเชื่อมระหว่างไลน์ได้ดีลงมาเพื่อเน้นครอบครองบอลดีเลย์เกมมากขึ้น

ต้องถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่ถูกจุด เพราะช่วงครึ่งหลังทัพ "ดาวทอง" ได้ลูกเซ็ตพีซเยอะมาก การมีกองหลังที่สามารถเล่นลูกหัวได้ดี เคลียร์บอลแม่นยำ เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของเกมที่สอง จนสามารถจบเกมใน 90 นาที ด้วยผลเสมอ  0-0 และผ่านเข้าชิงไปด้วยสกอร์รวม 2-0 

ในทัวร์นาเม้นท์นี้ ผู้เล่น 29 คนของทีม "ช้างศึก" ได้ลงสนามไปแล้วทั้งสิ้น 27 คน เหลือเพียง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ในตำแหน่งผู้รักษาประตู และ เจนภพ โพธิ์ขี แนวรุกที่มีอาการตาอักเสบ เท่านั้นที่ยังไม่ได้ลงเล่น การใช้ผู้เล่นอย่างทั่วถึงแบบนี้ส่งผลต่อบรรยากาศภายในทีมที่ทำให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วม และเกิดการแข่งขันเพื่อโอกาสลงสนาม ซึ่งไม่ง่ายเลยกับการบริหารจัดการขนาดทีมที่ใหญ่เช่นนี้ให้ทุกคนมีความสุขได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้ทั้งทีมสตาฟฟ์และผู้จัดการทีมอย่าง "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ไปเต็มๆ


3. ความอดทนและสมาธิที่แน่วแน่ของนักเตะ

สิ่งที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ พูดบิวด์ก่อนลงสนามก่อนเกมกับเวียดนาม ในนัดที่สองในห้องแต่งตัว ที่เผยแพร่เป็นคลิปวิดีโอผ่านเพจของ "มาดามแป้ง" ถือเป็นการแสดงออกที่ดีในการกระตุ้นทุกๆ คนในฐานะกัปตันทีม เนื่องจาก "กัปตันเจ" กล่าวในเชิงที่ว่า เวียดนาม จะมาเล่นเกมหนัก ไล่เตะขุนพล "ช้างศึก" อย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงที่แฟนบอลได้เห็นกัน และกล่าววลีที่กลายเป็นไวรัลไปแล้วว่า "พวกเราลงไปขยี้มันให้แหลก" เป็นการบิวด์อัพอารมณ์ได้อย่างน่าทึ่งต่างจากบุคลิกร่าเริงเป็นมิตรอย่างที่ทุกคนเคยเห็นก่อนหน้านี้

ในนัดดังกล่าว ธีราทร บุญมาทัน โดนเสียบไป 2 ครั้งจากด้านหลัง แต่ไม่มีใบเหลืองชักไปให้กับทัพ "ดาวทอง" แต่เมื่อเขาต้องเคลียร์บอลจังหวะ เอเลียส ดอเลาะ เปิดบอลไม่ขาด ทำให้ต้องไปเสียฟาล์วให้กับ เหงียน กวง ไฮ จนรับใบเหลือง พลาดการเล่นนัดแรก รอบชิงชนะเลิศ อย่างไรก็ตามในเกมนี้ "อุ้ม" ควบคุมตัวเองได้ดีมาก ทั้งที่ตกเป็นเป้าอันดับหนึ่งในการยั่วยุอารมณ์ของฝั่งตรงข้าม

รวมทั้งจอมทัพจาก คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ที่โดนรุมกินโต๊ะ ไล่เตะแบบไม่ยั้งตลอด 90 นาที รวมถึง ธีรศิลป์ แดงดา ที่ถูกอัดจากข้างหลังทุกครั้งก่อนบอลมาถึง และอีกหลายๆ คนของทีมก็โดนอัดเช่นกัน แต่ทุกคนกลับไม่เดือดไปตามจังหวะนอกเกมของ เวียดนาม พยายามควบคุมสมาธิของตัวเองให้อยู่กับเกมฟุตบอล ซึ่งทำให้เห็นว่านักเตะในทีมชุดนี้ต่างประสบการณ์โชกโชนและเติบโตขึ้นมามากเหลือเกิน


4. การซัพพอร์ทที่ดีจากผู้จัดการทีม

“ยอมรับว่าเป็นงานที่ท้าทาย ด้วยสถานการณ์ที่เราเองอาจจะห่างหายไปจากเกมระดับนานาชาติ รวมถึงสถานการณ์ต่างๆ ทีมอาเซียนเองล้วนแล้วแต่พัฒนาเท่าทันกัน ดังนั้น ทีมชาติไทยที่แม้จะเคยเป็นแชมป์ถึง 5 สมัย ก็จึงไม่อาจประมาทใครได้ เพื่อกอบกู้ศรัทธาและพลังของแฟนบอลไทยให้ได้ ซึ่งแชมป์สมัยที่ 6 จะได้หรือไม่นั้น เราก็จะพยายามเต็มที่ที่สุดแน่นอน”

นี่คือคำพูดของ "มาดามแป้ง"ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามารับตำแหน่ง ผู้จัดการทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี จากนั้นก็ดูแลทีมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการนำของขวัญระดับพรีเมียมไปจับสลากมากถึง 15 ชิ้น มูลค่ารวมสูงกว่าเลข 7 หลัก ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า แอร์เมส คอนสแตนท์ ที่กำลังเป็นกระแส, นาฬิกาโรเล็กซ์, นาฬิกาแอร์เมส, พราด้า, คริสเตียน ดิออร์, ชาแนล หรือ Iphone 13 

ขณะเดียวกัน "มาดามแป้ง" ยังตอกย้ำการสร้างความมั่นใจในเรื่องตัวเลขอัดฉีด ซึ่งตอนนี้เกินเป้าที่ตั้งไว้แล้ว รวมเป็นยอดเงินกว่า 26 ล้านบาท บวกกับเงินส่วนตัวของ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยอีก 10 ล้านบาท ที่จ่ายให้นักบอลเรียบร้อยแล้ว ไปจนถึงเงินรางวัลจากการเป็นแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ราว 300,000 เหรียญหรือประมาณ 10 ล้านบาท เป็นเงินทั้งสิ้น 46 ล้านบาท

ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้และรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายช่วยส่งผลในทางบวกให้กับทีม "ช้างศึก" ชุดนี้เป็นอย่างมาก ด้วยศักยภาพทีม, ขวัญกำลังใจ, แท็กติกและวิธีการเล่นที่หลากหลาย รวมไปถึงการซัพพอร์ทที่ดีในทุกๆ ด้าน นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดแล้วที่ทีมชาติไทยจะทวงบัลลังก์แชมป์อาเซียนกลับสู่อ้อมอกได้อีกครั้ง เหลือเพียงด่านสุดท้ายกับ อินโดนีเซีย เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ว่าเราจะทำได้หรือไม่ และจะปิดจ๊อบได้สมบูรณ์แบบเพียงใด 


ของขวัญปีใหม่นี้ สำหรับแฟนบอลไทย คงไม่ขออะไรมาก ขอแค่ถ้วยแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ และการปลุกกระแสศรัทธาต่อทีมชาติไทยกลับคืนมา เพื่อต่อยอดเข้าสู่ทัวร์นาเม้นท์ต่อๆ ไป ในปี 2022 ได้สำเร็จ เพียงเท่านี้ก็ดีต่อใจแล้ว


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด