:::     :::

"Cherno Samba" ผู้ชนะโรคซึมเศร้า และชีวิตที่มีค่ามากกว่าแค่ "เทพCM"

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,196
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
สมัยวัยรุ่น Cherno Samba ดังมากในฐานะหนึ่งในโคตร wonderkid ของเกม Championship Manager และเจ้าตัวเปิดเผยถึงเส้นทางการค้าแข้งที่ล้มเหลวเพราะความคาดหวังที่ถาโถมเข้ามา และกลายเป็นแรงกดดันมหาศาล นี่คือเรื่องราวที่แท้จริงจากปากของเขา

เรื่องของ Championship Manager จะติดตัวผมไปตลอดชีวิต ผมภูมิใจนะที่ผู้คนยังพูดถึงและคิดถึงผมอยู่ บางทีผมอาจจะเป็นนักเตะเยาวชนทีมชาติอังกฤษที่ดังที่สุดในยุคนึงก็ได้ แต่จริงๆผมต้องการใครสักคนอยู่ช่วยดึงสติห้ามปรามผม เพราะผมเด่นกว่าใครในรุ่นเดียวกัน

เมื่อผมล้มเหลวจากการพลาดโอกาสย้ายไปทีมใหญ่อย่างลิเวอร์พูล ผมลงไปนอนร้องไห้กองอยู่กับพื้นจนกระทั่งตัวเองไม่เหลืออะไรเลย ฝันผมสลายไปแล้ว ในตอนนั้นผมย้ายไปอยู่สเปนปี2004 เพราะผมรู้สึกว่าผมล้มเหลวในประเทศตัวเอง มันคือช่วงที่เกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นมา และผมรู้สึกไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป อยากตายให้มันจบๆไปซะที

ผมเกิดมาจากการเป็นนักฟุตบอลข้างถนน มันเริ่มมาจากจุดนั้น ฝึกกันเอง แล้วก็อิสระที่จะทำอะไรก็ได้ อยากลองอะไรก็ลองได้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว

ตรงข้ามบ้านเกิดผมที่ Gambia มันมีสนามฟุตบอลตั้งอยู่ แล้วผมก็เตะบอลแบบนอนสต็อป 24/7 เตะทุกวัน เตะทั้งวันจริงๆ ผมอายุ6ขวบและอยู่กับลุงกะป้า เพราะว่าพ่อแม่ผมย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่ UK ให้ได้ก่อน แล้วค่อยพาครอบครัวตามมา

ทุกๆวันพวกเขาต้องคอยลากตัวผมออกจากสนามบอล ตอนนั้นประมาณอีกไม่กี่เดือนเองมั้งที่ต้องย้าย แต่ลุงและป้าของผมเป็นคนสำคัญกับชีวิตในวัยเด็กมากๆที่คอยมาดูแลผมตอนที่พ่อแม่อยู่ห่างไกล ทุกวันนี้ผมจึงพยายามดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด

ที่แรกที่เราไปอยู่คือ Watford แต่ในไม่ช้าก็ต้องย้ายไป Peckham ตอนที่พ่อผมได้งานอยู่ London มันเป็นสถานที่อโคจรในยุค90s มีแก๊งค์ มียาเสพติด แถวนั้นแม่งเถื่อน แต่ผมไม่สนใจอะไรนอกจากการไปเล่นบอลกับเพื่อนที่สวนเท่านั้น

ฟุตบอลพาให้ผมไกลจากสิ่งแย่ๆเหล่านั้นได้ เพราะมีอะไรต่างๆคอยล่อลวงชักจูงคุณอยู่ตลอด แม้แต่เพื่อนยังชอบมาพูดบ่อยๆเลยว่า ทำไมผมชอบแยกตัวไปเล่นฟุตบอล ทำไมไม่มาเที่ยวกะเรา? ถือว่าโชคดีที่ผมติดเล่นฟุตบอล เพราะพ่อแม่ผมด้วย พ่อผมเข้มงวดมากๆ และอย่าทำอะไรขัดกับที่เขาสอน

พ่อผมเป็นผู้รักษาประตูทีมชาติแกมเบีย เขาเป็นคนที่เข้มงวดกับผมตลอดเวลา แม้ว่าเวลาเขาสอนมันจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับการดวลเดี่ยว 1-1 กับผู้รักษาประตูให้ชนะ มันมหัศจรรย์มากที่การฝึกนี้ทำให้เรารู้ว่าผู้รักษาประตูไม่ชอบเจอลูกแบบไหน และเวลาเจอลูกเรียดๆมันเซฟยากยังไง ตอนนั้นผม 10 หรือ 11 ขวบเองมั้ง จังหวะการยิงของผมเจ๋งไปเลย เพราะการฝึกเหล่านั้นมันฝังลึกอยู่ในตัว แต่จริงๆแล้วตอนนั้นผมไม่ชอบเรื่องที่ว่ามานี้เลยนะ

ตอนนั้นฝีเท้าผมจี๊ดมาก เวลาได้บอล หลอกคู่แข่งครั้งสองครั้งก็หลุดทะลุตรงกลางไปยิงประตูได้แล้ว ตอนอายุ13 ผมยิงไป 132 ประตูจาก 32เกมให้กับเซ็นต์โยเซฟอะคาเดมี่ ที่ Blackheath  ผมเป็นคนทำลายสถิติระดับทีมชาติของไมเคิล โอเว่นไป และคิดว่าตอนนี้ก็น่าจะยังไม่มีใครแซงสถิติที่ว่านั้นได้นะ นั่นก็คือการยิง "8ประตูในเกมเดียว" ผู้จัดการทีมพูดหลังผมยิงประตูที่8ว่า "Cherno หยุดยิงได้แล้ว ให้คนอื่นยิงบ้างได้มั้ย?"

ผมก็เลยทำตามที่โค้ชว่า บอกให้เพื่อนร่วมทีมขึ้นหน้าไป แล้วผมจะได้จ่ายให้พวกเขาtap-in เข้าไปได้

ผมเป็นข่าวที่Millwall แล้วชื่อเสียงก็เริ่มดังไปสู่ London แล้วไปไกลกว่านั้นอีก หลังจากซ้อมเสร็จแล้ว เพื่อนคนนึงเข้ามาหาผมแล้วพูดว่า "เฮ้ Cherno นายเคยได้ยินเกมชื่อ Championship Manager มั้ย? นายเป็นโคตรปีศาจในเกมนั้นเลยนะ พูดจริงๆ ลองไปซื้อเกมมาเล่นดู เดี๋ยวจะเข้าใจเอง"

ว้าว เขาพูดถูกจริงๆด้ว ค่าพลังผมในนั้นมันเหลือเชื่อมาก เพราะจำนวนประตูรวมที่ผมยิงได้สมัยอยู่เซ็นต์โยเซฟ บวกกับตอนยิงกระจุยที่มิลวอลล์ คนทำข้อมูลเลยเชื่อว่าผมจะต้องเก่งแบบนั้นมั้ง แต่ผมเองก็คงพูดไม่ได้ว่าพวกเขาใส่ข้อมูลผิดเหมือนกัน ผมเล่นให้ทีมชาติอังกฤษชุด U-15s ยันชุด U-20s และมีอยู่ครั้งนึงที่เวย์น รูนีย์เองยังพลาดติดทีม U-16s เลย

ในชุด U-15s ผมเพิ่งจะ 14 และข้ามรุ่นขึ้นไปเล่นร่วมกับ Darren Bent, Glen Johnson แล้วก็ David Bentley 

ถามว่า ตอนเล่นเกมนี้ผมซื้อตัวเองเข้าทีมมั้ย เอ้า ชัวร์อยู่แล้ว ถ้าไม่ซื้อนี่แหละผิดมหันต์ล่ะ ผมจะเซ็งมากโดยเฉพาะเวลาที่ตัวเองในเกมเพิ่งหายเจ็บกลับมาและอยากลงสนาม ผมจะใส่ชื่อตัวผมเองเป็นตัวสำรองไว้ มันก็จะเซ็งๆอยู่หน่อย ซึ่งนั่นแหละ ทุกคนเหมือนจะซื้อ Cherno Sambo เป็นของตัวเองกันหมดเลย

ตอนนั้นมีอยู่คนนึงพาทีมนอกลีกอย่าง Cheltenham คว้าแชมป์ทุกรายการเลย ไม่ว่าจะพรีเมียร์ลีก แชมเปี้ยนส์ลีก เพราะใช้ผมยิงประตูกระจุยกระจาย มันโคตรฮาเลยนะ เขามาเจอและก็หยุดทักทายผมตรงข้างทาง ตอนนั้นผมงงมากว่าเขารู้จักผมได้ยังไง แต่เขามาเขย่ามือผมแล้วบอกว่า "เพื่อน นายต้องไม่รู้แน่ๆว่านายช่วยอะไรพวกเราไว้เพียบเลย"

อืม ประมาณนี้แหละ

ผมโอเคและไม่มีปัญหากับ Championship Manager นะ แต่ตอนแรกๆมันก็แปลกๆอยู่หน่อย มันไปถึงจุดที่ว่าแม้แต่ผมลงเล่นกับเพื่อนร่วมทีมในชีวิตจริง ซึ่งเป็นเกมที่มิลวอลล์เจอเชลซี อาร์เซนอล แล้วก็ทีมอื่นๆ ผมพยายามจะก็อปปี้ให้เหมือนสแตทในเกมของผมอยู่เสมอ ในหัวผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า "เกมบอกว่าผมวิ่งเร็ว ผมจะต้องเร็วให้ได้ยิ่งกว่านั้น" 

มีคนล้อผมมากมาย และผมได้ยินคู่แข่งพูดว่า "ฉันรู้ว่าในเกมนายเก่งมากนะ แต่เล่นกับเราไม่เห็นเป็นงั้นเลยว่ะ"

มันฟุ้งซ่านในหัวอยู่ตลอดเวลาเลย จริงๆผมไม่ชอบแก้ตัวนะ แต่ผมอยู่ยากมากๆ สิ่งที่ผมรู้สึกตัวได้ก็คือไม่มีใครบอกผมเลยเวลาที่ผมทำอะไรผิดไป ทุกคนเอาแต่เยินยอผมอย่างเดียว ซึ่งจริงๆแล้วการอวยมันควรเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมควรได้รับในตอนนั้น

ผมยิงให้มิลวอลล์ได้ ผมยิงให้อังกฤษได้ แต่ผมยังไม่ได้ฝึกฝนหนักพอ ถ้าผมตั้งใจจะซ้อมยิงไกลสักชั่วโมงนึง พอ15นาทีผมก็เลิกแล้ว ไม่ต่างอะไรกับตอนจะเข้ายิมให้ได้สักครึ่งชั่วโมง ผมก็เล่นแค่ 5 หรือ 10 นาทีแค่นั้นเอง เรื่องพวกนี้ผมผิดเองทั้งนั้นแหละ แต่ผมก็อยากให้มีใครสักคนคอยปรามผมบ้างแล้วบอกผมว่า "แบบนี้มันผิดนะเนี่ย"

ผมว่าพวกเขาคงอยากคอยเอาใจผมอย่างเดียวเพราะหวังสิ่งต่างๆจากตัวผม

มันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลายเป็นแค่สินค้า ผมมี Nike เป็นสปอนเซอร์ เพื่อนผมก็เลยอยากให้ผมไปที่ Nike Town แล้วไปเอาของที่พวกเขาอยากได้มาให้ ยิ่งพวกเอเย่นต์ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ผมจำได้เลยว่ามีคนนึงมาเสนอเงินให้พ่อกับแม่ผม 50,000 ปอนด์ เพื่อจะได้มาเป็นผู้จัดการผม ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นเงินที่มหาศาลมากๆเลยนะ

แต่ย้อนกลับไปเรื่องตอนนั้นมันตึงเครียดมาก พ่อผมไม่เอา เขารู้สึกว่า เดี๋ยวนะๆ เราเป็นฝ่ายที่ต้องจ่ายเงินจ้างให้คุณมาดูแลลูกชายผมสิ ไม่ใช่ให้คุณมาจ่ายเงินให้เรา" และจ่ายค่าจ้างให้คุณมาดูแลลูกชายผม

เขาได้เงินเดือนแค่เดือนละ1000ดอลล์เอง (740ปอนด์) เพราะงั้นดูเหมือนว่ามันจะตัดสินใจง่ายมากถ้าจะเอาเงินก้อนนั้น แต่เขาเป็นคนที่มีหลักการ และคิดว่านั่นเป็นการทรยศต่อผมถ้ารับเงินนั่นมา

ผมได้รับความสนใจจาก Liverpool, Manchester United, Leeds และก็ Arsenal ผมอยากไปอยู่ทุกสโมสรเลย

ถึงผมจะเป็นแฟนแมนยู และไม่ควรจะพูดแบบนี้ แต่ว่าผมพอใจกับข้อเสนอจากทางลิเวอร์พูลมาก ผมได้เจอกับเชราด์ อุลลิเยร์ แล้วเขาถามผมว่าผมชอบนักเตะคนไหนมากที่สุด และตอนนั้นคือไมเคิล โอเว่น 

เชราด์เลยเรียกไมเคิลมา แล้วเขาทำให้ผมรู้สึกรีแลกซ์มากๆ ผมได้คุยกับร็อบบี้ ฟาวเลอร์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ เอมิล เฮสกีย์ด้วยนะ

เฮสกีย์ และ อุลลิเยร์ผู้ล่วงลับ

ตอนนั้นผมต้องตัดสินใจ แล้วมีอยู่วันนึงขณะที่กำลังอยู่บนรถโรงเรียน มีสายโทรมาจากโอเว่น คุณลองนึกภาพเอาแล้วกันว่ามันเป็นยังไง เพื่อนผมคลั่งกันใหญ่เลย พวกเขาไม่เชื่อผมจนกระทั่งผมเปิดสปีคเกอร์เสียงดังออกมา "มันจะเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนายเลยถ้าย้ายมาอยู่ที่นี่และลงเล่นกับพวกเรา นายจะไดรับการต้อนรับอย่างดี"

เขาหว่านล้อมผมแบบนี้ ผมไม่ได้ตลกนะ แต่ผมจะปฏิเสธโอเว่นได้ยังไงอ่ะ?

มีการต่อกันไปต่อกันมาเยอะมาก ลิเวอร์พูลเสนอ 1ล้านปอนด์เป็นค่าตัวก้อนแรก แล้วจะผ่อนต่ออีก 2ล้าน แต่มิลวอลล์ต้องการเงินต้น 2ล้าน มันเลยทำให้ดีลล่มลงไป ทุกอย่างถูกปิดบังไม่ให้ผมรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย มีแค่เอเย่นต์ กับสโมสรทั้งสองฝ่าย และพ่อแม่ของผมเท่านั้นที่รู้ และเมื่อการย้ายทีมไม่สำเร็จ หลังจากเจรจากันสองสัปดาห์ พ่อเรียกผมเข้าไปคุยในครัวเพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้ฟัง ผมล้มลงไปกองกับพื้นครัวแล้วร้องไห้ไม่หยุด

ผมไม่เล่นฟุตบอลไปครึ่งปีด้วยความตั้งใจล้วนๆ ผมจะเลิก ผมไม่อยากทำอะไรเกี่ยวกับมันอีกแล้ว ซึ่งในช่วงเวลานั้นพ่อแม่และก็เพื่อนของผมพยายามโน้มน้าวผมว่าผมมีพรสวรรค์จากพระเจ้า และผมควรกลับมาเล่น แต่ความฝันผมมันสลายไปแล้ว ผมสูญสิ้นความรักในฟุตบอลไป

และมันก็กลายเป็นแค่เรื่องของการเป็น "อาชีพ" เท่านั้นสำหรับผม

มีบางอย่างแว้บเข้ามาในหัวผมตอนที่กำลังร้องไห้อยู่บนพื้นครัวว่า ถ้าผมเตะฟุตบอลต่อไป สิ่งเดียวที่แคร์คือเรื่องที่จะมีความมั่นคงในเรื่องเงินหลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้ว ตอนนั้นผม 15 เองนะ และเด็กวัยดังกล่าวไม่ควรคิดอะไรแบบนั้น

แต่ผมคิดในหัวจริงๆ

สุดท้ายผมก็กลับไปมิลวอลล์ที่เซ็นสัญญาถาวรกับผมเป็นเวลา 3 ปีในตอนที่ผมอายุ 17 ผมยังไม่ได้เป็นนักบอลอาชีพอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ แต่ผมได้ค่าเหนื่อยเยอะกว่าบางคนที่เป็นผู้เล่นตัวจริงของทีมแล้ว

ผมกลับมาอีกครั้ง แต่ใจมันไม่อยู่แล้ว ผมไม่รู้สึกสนุกกับมันอีกต่อไป

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับสโมสรก็ไม่เหมือนเดิม และมีความไม่พอใจอย่างมากที่ผมอยากจะย้ายไปลิเวอร์พูล บรรยากาศมันตึงมาก มีโค้ชบางคนเข้าข้างผม และมีอยู่คนนึงชอบลงโทษผม ให้ผมต้องวิ่งต่อเนื่อง 12 นาที หรือไม่ก็ให้สปรินท์จากฝั่งนึง ไปยังอีกฝั่งของสนามซ้อมโดยไม่มีเหตุผลอะไรเลย ซึ่งผมก็คาดไว้อยู่แล้ว เขาแค่อยากทำให้ชีวิตผมดูน่าสังเวชแค่นั้นเอง

ผมอยู่ที่นั่นจนถึงอายุ 19 แล้วย้ายไปเซ็นอยู่กับสโมสรระดับสองในสเปนอย่างทีม Cadiz มันเหมือนฝันของวัยรุ่นหลายๆคนเลยนะ อพาร์ทเมนต์ผมเห็นวิวริมหาด อากาศก็ดี อาหารเยี่ยม สไตล์ฟุตบอลก็ด้วย และผมได้ค่าจ้างอย่างงาม มันเป็นอะไรที่น่าหลงใหลให้ไปอยู่ในจุดนั้นมาก

แต่ว่าหลังจาก 3-6 เดือน ผมเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยว เจ็บปวดใจ และเริ่มคิดถึงเรื่องที่เคยเกือบได้ย้ายไปลิเวอร์พูลอีกครั้ง ตอนกลางคืนผมเหงื่อแตก นอนไม่หลับ แล้วพอหลับได้ก็ฝันร้ายอีก ผมดูเพื่อนๆที่อังกฤษได้ลงเล่นทุกสัปดาห์ในพรีเมียร์ลีก และผมรู้สึกว่าเราล้มเหลวในประเทศตัวเอง ผมยังเป็นตัวขาประจำในชุด U-19s และรอคอยการได้กลับไปเล่นในทีมนั้นกับพวกเขา ตรงนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นสโมสรของผม เหมือนตอนอยู่มิลวอลล์ช่วงปีก่อนๆ

ตอนผม 6 ขวบ ผมสามารถย้ายจากแกมเบียไปอังกฤษได้สบายๆโดยไม่มีปัญหา แต่ทุกอย่างต่างออกไปแล้วเมื่อโตมาอายุเท่านั้น อังกฤษกลายเป็นบ้านไปแล้ว และจู่ๆพอ19ก็ต้องมาอยู่สเปน และทุกอย่างมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การฝึกซ้อมต้องเลิกตอน 10 โมงเพราะความร้อน ผมเลยเหลือเวลาทั้งวันอยู่กับตัวเอง แล้วก็เที่ยวไปช็อปปิ้งที่นั่นที่นี่ทุกๆวัน ผมซื้ออะไรเยอะแยะมากมาย และค่าโทรศัพท์ผมบ้าเลือดมาก ตกเดือนละเป็นพันปอนด์ ผมโทรคุยกับเพื่อนที่ลอนดอนตลอดเวลา

นั่นคือช่วงเวลาที่ความซึมเศร้ามาเยือน และกีฬาก็ฆ่าผมทั้งเป็น ชีวิตผมขมขื่นมากๆ ผมรู้สึกว่าทำไมผมถึงไม่ได้เล่นให้สโมสรที่ผมอยากเล่นล่ะ?

หลังจากลงคอร์สได้ประมาณสองสามสัปดาห์ ผมไปที่ห้องกายภาพแล้วก็กินยาเข้าไปมากที่สุดเท่าที่จะกินได้ ผมรู้สึกสิ้นหวัง มีอยู่วันนึงผมกินยาเกินขนาดเพื่อจะฆ่าตัวตาย ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว มันทรมาน

เพื่อนร่วมทีมของผมคนนึงเจอผมกองอยู่บนพื้นแล้วรีบพาไปส่งโรงพยาบาล ถ้าเขาไม่มาช่วยผมคงไม่ได้อยู่พูดกับคุณตรงนี้แล้ว ผมรู้สึกขอบคุณเขาอยู่เสมอ แต่คงจะเปิดเผยชื่อไม่ได้เพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้ เขายังคงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมที่พูดคุยกันอยู่เป็นประจำ

หลังจากเกิดเรื่อง เพื่อนสนิทก็บินมาหาผมที่สเปนบ่อยขึ้น ช่วงแรกที่ผมย้ายไปที่นั่นเขาเพิ่งได้งานใหม่และมาหาไม่ได้ ผมยังจำแม่นเลยว่ากว่าจะโทรหาเขาติด มันลำบากมาก แค่อยากจะโทรไปบอกว่า "ฟังนะเพื่อน ฉันอยากให้นายมาอยู่ที่นี่"

หลังจากนั้นเขาก็มาหาทุกๆสองสัปดาห์ เขาทำให้ผมหายเครียดได้มากกว่าที่คุณจะนึกออกเลย ผมเริ่มหาแฟนด้วย และเราได้แต่งงานกันหลังจากนั้น แล้วเธอก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันกับผม การมีคนซัพพอร์ตและดูแลมันช่วยได้มาก

แต่ว่าผมไม่ได้บอกพวกเขา พ่อแม่ หรือใครๆเลยว่าผมเป็นอะไร ผ่านอะไรบ้าง ผมไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้โรคซึมเศร้ามันจะมาเกิดกับผมเลยแม้แต่น้อย

คนส่วนใหญ่เพิ่งรู้ว่าผมเคยพยายามฆ่าตัวตายตอนที่ผมเขียนหนังสือออกมา เพราะผมเก็บเรื่องทุกอย่างเงียบไว้คนเดียว ไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่คนเดียว ผมปิดบังเรื่องข้างในตัวจากคนอื่นๆอย่างแนบเนียน แต่ผมเจ็บปวดมาก การเขียนหนังสือออกมามันเป็นการเยียวยาที่ดี สุดท้ายแล้วผมก็ปล่อยวางกับมันได้

และพอเริ่มเปิดใจออกมา มันก็ไม่สามารถที่จะเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป มันเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย ผมรู้สึกพร้อมที่จะเล่าประสบการณ์และมุมมืดทุกอย่างออกมาให้ทุกคนรู้

ตอนที่เพื่อนสนิทได้ยินเป็นครั้งแรกเขาร้องไห้ออกมาเลย เขาไม่เคยได้รู้อะไรเลยในตอนนั้นเพราะผมบอกเขาแค่ว่า อยากให้เขาแวะมาเยี่ยมบ่อยๆแค่นั้นเอง เขาไม่คิดว่ามีอย่างอื่นนอกเหนือจากเรื่องการโฮมซิคความคิดถึงบ้านแค่นั้น

ตอนผมบอกเขา บอกพ่อ แม่ และครอบครัว พวกเขาเกลียดตัวเองมากๆ ผมบอกว่า "ไม่ใช่ความผิดพวกคุณ ผมเองต่างหาก" ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าผมเล่าเรื่องพวกนี้ มันจะทำให้ทุกคนเห็นว่าผมอ่อนแอ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมอ่อนแอเพราะผมไม่ยอมพูดออกมาต่างหาก 

คนเราจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อกล้าที่จะพูดมันออกมาอย่างเดียวเท่านั้น มันสำคัญมากๆที่จะได้ระบายกับใครสักคนนึงว่าคุณพบเจออะไรมาบ้าง มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณจะทำได้ในสถานการณ์แบบนั้น ไม่ว่าจะกับแม่ของคุณ พ่อของคุณ แฟน เพื่อน หรือแม้กระทั่งบอกกับหมาแมวของคุณ ใครก็ได้ คุณแค่จำเป็นต้องพูดออกมาเท่านั้น มันเป็นส่วนสำคัญมากๆของกระบวนการดังกล่าว

และถ้าเรื่องของผมสามารถสร้างความกล้าให้กับใครสักคนนึง ให้เขาเปิดปากเล่าปัญหาของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ มันจะเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆเลย 

นี่แหละคือสาเหตุว่าทำไมผมถึงออกมาเขียนหนังสือเล่าเรื่องที่ว่านี้

มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในโลกฟุตบอล นักเตะหลายๆคนกล้าออกมาเล่าประสบการณ์ต่างๆให้ฟังโดยไม่กลัวจะถูกมองว่าอ่อนแออีกต่อไป ทุกๆคนเคยตกอยู่ภายใต้ความกดดันมาแล้ว ชีวิตมันมีขึ้นมีลง วันนึงคุณอาจจะตื่นมาแล้วรู้สึกไม่อยากทำงานก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม มันเป็นส่วนหนึ่งของโรคซึมเศร้า

หลังจากที่ไปอยู่สเปนสองปี ภรรยาผมตั้งท้อง และเราอยากจะย้ายกลับบ้าน ผมอยากให้ลูกคนแรกเกิดที่UK ซึ่งโชคดีว่าทางสโมสร Cadiz มีปัญหาด้านการเงินพอดี และตอนที่ผมได้ยินว่านายใหญ่ของทีม Plymouth อย่าง Ian Holloway สนใจอยากจะเซ็นสัญญากับผมในวันสุดท้ายของตลาดซัมเมอร์ปี 2006 ผมดีใจมากๆที่จะได้กลับมายังผืนแผ่นดินแม่อีกครั้ง

ผมรู้สึกว่าผมยังค้างคาเรื่องราวที่อังกฤษอยู่ แต่ตอนนั้นมันเป็นแค่เรื่องของอาชีพแล้วสำหรับผม ผมย้ายสโมสรเข้าไปเพื่อความมั่นคงทางการเงินหลังแขวนสตั๊ดเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุว่าผมจึงได้ไปค้าแข้งอยู่หลายๆที่ ทั้งฟินแลนด์ กรีซ และนอร์เวย์ หลังจากเล่นให้ Plymouth อยู่สองปี คือลงเล่นเพื่อเงินล้วนๆ

แต่ยังไงก็ตาม ผมอยากจะทำอะไรบางอย่างให้กลับมาอีกครั้ง ผมจบหลักสูตรโค้ช A-Licence ผมจึงทำงานในศูนย์ฝึกและสอนเด็กๆที่มีพรสวรรค์ให้สามารถรับมือกับความกดดันได้ ไม่มีใครจะให้คำปรึกษาในเรื่องดังกล่าวได้ดีไปกว่าคนที่เคยผ่านมันมาแล้วอย่างผม นักเตะอายุน้อยมากมายคิดว่าพวกเขาสำเร็จมันแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ใช่

ไม่มีทางลัดใดๆในโลกฟุตบอลทั้งสิ้น มีแต่ความพยายามอย่างหนักเท่านั้น ผมมีคุณสมบัติและความสามารถทุกอย่าง แต่ผมไม่ได้ทุ่มเทมันอย่างเต็มที่เพราะว่าในช่วงเวลาหนึ่งผมเคยอยู่ในจุดที่รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นๆ

ยังกะแอนดี้ โคล

ผมตั้งสโมสรในแกมเบียเมื่อปี2004 ชื่อว่า Samger FC ผมอยากสร้างสโมสรให้กับบ้านเกิด เพราะงั้นเราจึงไปscoutตามหานักเตะอายุน้อยที่ดีที่สุดมาเข้าสู่อะคาเดมี่ และพวกเขาก็พาตัวเองก้าวขึ้นสู่ระดับดิวิชั่นหนึ่งได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมภูมิใจมากๆ

เป้าหมายสูงสุดของผมคือการได้คุมทีมชาติแกมเบียเข้ารอบสุดท้ายในทัวร์นาเมนต์เมเจอร์ให้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติ

ผมรู้ดีว่าผมต้องเก็บความผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน และค่อยๆเริ่มต้นไปทีละขั้น ต้องเริ่มหัดเดินก่อนที่จะออกวิ่ง ผมจึงต้องทำงานกับอะคาเดมี่ในUKไปเรื่อยๆก่อนเพื่อศึกษาเรียนรู้ในทุกๆวันให้มีประสบการณ์เอาไว้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ทำตอนที่ยังเป็นนักเตะ นั่นคือการฝึกทักษะการทำงานเสียก่อน ก่อนที่จะข้ามไปยังก้าวถัดไป

ผมถูกถามบ่อยมากๆว่า ถ้าผมสามารถเปลี่ยนเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเพราะ Championship Manager ผมจะเปลี่ยนมันหรือไม่ อยากบอกว่า "ไม่ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีทาง"

ผมเคยอ่านเจอมาว่า wonderkids บางคนรู้สึกว่าเกมทำให้อาชีพเขาไม่ประสบความสำเร็จ อันนี้ผมไม่เห็นด้วยเลย เพราะในชีวิตคนเรามันต้องเจอสิ่งรบกวนสมาธิอยู่แล้ว คุณแค่ต้องตั้งมั่นและมีจิตใจที่เข้มแข็งเพื่อก้าวไปข้างหน้า มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนล้วนๆที่จะลงมือ ทำงานหนัก และทำเป้าหมายให้สำเร็จ

ผมไม่ชอบคำแก้ตัว และไม่คิดว่ามีอะไรที่ต้องเสียใจทั้งนั้น ทุกสิ่งที่คุณทำในชีวิตมันต้องเจอแรงกดดันทั้งสิ้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าจะมีเรื่องอื่นก็คือผมรู้สึกว่า Championship Manager มีบุญคุณกับผมซะด้วยซ้ำ ผมโฆษณาให้และยังช่วยทำงานให้พวกเขาด้วย

ผมมีเป้าหมายสามอย่างในชีวิต อย่างแรกคือเป็นนักฟุตบอลอาชีพ, เล่นให้ชุดเยาวชนทีมชาติอังกฤษ และลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ หรือทีมชาติแกมเบียชุดใหญ่ ซึ่งผมทำสำเร็จทุกอย่างแล้ว ปัญหาของผมคือการที่ต้องเผชิญกับความคาดหวังในตัวสูงมากตั้งแต่อายุยังน้อยๆ และดูเหมือนว่าอาชีพมันล้มเหลว ตอนอายุ 15 ผมถูกมองถึงขนาดว่าจะเป็นคนพาทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์โลกได้ในปี 2006 ด้วยซ้ำ

มีไม่กี่คนที่สามารถพูดได้ว่าเขาประสบความสำเร็จกับเป้าหมายในชีวิต แต่ผมสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำ

และผมภูมิใจมากจริงๆ

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่โด่งดังที่สุดของจากปากของชายผู้เป็น "ตำนานตลอดกาล" ที่คนเล่นเกมฟุตบอลสายคุมทีม สายเมเนเจอร์ในยุคนั้นทุกคนรู้จักกันดี กับชื่ออันคุ้นเคยของเหล่าบรรดา "เทพ CM" แห่งร้านเกมคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะภาคที่เป็นตำนานเกมสายนี้อย่าง Championship Manager 01/02 ที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง

คิดดูว่าขนาดพวกเราเป็นคนไทยที่เล่นเกมนี้อยู่อีกซีกโลกยังรู้จักเขา มีหรือที่เขาจะไม่ดังเปรี้ยงในบ้านเกิดของตัวเอง

ในยุคที่เพลงวงClashชุดแรกดังกระหึ่ม / เพลย์สเตชั่น1ที่โด่งดังเพราะFinal Fantasy7 จนกระทั่งลากยาวมาถึงปัจจุบัน เป็นยุคที่เครื่องเพลย์หาได้จากพ่อค้าresellเท่านั้น /  เด็กมัธยมนั่งเล่นเค้าท์เตอร์ฯเต็มทุกร้านและปาขาวยิงไก่ห้องกุหลาบกันอย่างสนุกสนาน

เหล่าชายชาตรีที่รักฟุตบอลท้าดวลวินนิ่งกันโดยห้ามใช้โรแบร์โต้ คาร์ลอสเล่นกองหน้าคู่R9(เพราะแม่งโกง) และถ้าแพ้ก็สามารถอ้างได้ว่าจอยไม่ดีได้เสมอ 

ชายในบทความนี้คือหนึ่งในตัวละครที่เราต้องซื้อมาใช้กันทุกเซฟเพื่อพาทีมชนะง่ายๆ ลงทุนไม่มาก เช่นเดียวกันกับชื่อของ กองหลังเทพอย่าง Taribo West, แก๊ซซ่ากลับชาติมาเกิดที่ทุกทีมต้องมี Mark Kerr, ความภูมิใจของเกมเมอร์ไทย.. Supat Rungratsamee (สุภัทร รุ่งรัศมี)

Maxim Tsigalko กองหน้าwonderkidsในตำนานที่คอCM,FM ต้องรู้จัก, โกลเทพ Sebastian Frey และการ "รีเซฟ" + "คุมหลายทีม" สูตรโกงที่สามารถเสกอะไรก็ได้ในเกมนี้ ถ้าแพ้ก็แค่โหลดเซฟมาเตะใหม่จนกว่าจะชนะเอง แค่นั้นง่ายๆ 

ทุกเซฟต้องมีตัวพวกนี้ รวมถึงชายผู้กล้าหาญที่ออกมาเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองเพื่อเป็นแรงบันดาลใจดีๆให้ผู้อื่น

เขามีดีกว่าแค่การเป็นเทพในเกมที่ล้มเหลวในชีวิตจริงของการเป็นนักฟุตบอล แบบที่หลายคนเข้าใจเขาไปแบบนั้น ทั้งๆที่มันเป็นแรงกดดันแค่ส่วนเดียวเท่านั้น

แต่สาเหตุหลักมาจากความผิดหวังที่ไม่ได้ย้ายไปทีมใหญ่ เพราะต้นสังกัดไม่ยอมขาย และหลังจากนั้นเป็นเพราะเดินทางชีวิตด้วยการเก็บปัญหาไว้กับตัวเองคนเดียวจนเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งสุดท้ายโชคชะตาก็ไม่ปล่อยให้เขาเผชิญความโหดร้ายเพียงคนเดียวบนโลกนี้ ผ่านพ้นมาได้จากแรงsupportที่มีค่ายิ่งจากคนรอบข้างมากมาย

เทพCMในตำนาน และผู้มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตจริง..

Cherno Samba 

References

https://www.fourfourtwo.com/features/i-felt-like-id-failed-cherno-samba-on-life-after-being-a-championship-manager-wonderkid

http://champman0102.ulcraft.com/blog/championship_manager_01_02_best_players

https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/liverpool-sign-championship-manager-legend-15322077


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด