เกมรุกหยุดเกมรุก

เพราะรอบไฟนอลรายการนี้ ต้องฟาดตีนกัน 2 นัด แถมไม่มีกฎอเวย์โกลมากวนใจ ทั้งคู่จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องใส่กันให้ยับตั้งแต่เกมแรก
โดยเฉพาะฟาก “ช้างศึก” ที่ขาดคีย์แมนหลักอย่าง ธีราทร บุญมาทัน ที่ติดโทษแบน
อินโดนีเซีย ของ ชิน แท-ยง แกนหลักในทีมอาจเป็น “คนรุ่นใหม่” แต่พวกเขาพาสเจอไรซ์ฝีตีนให้เห็นแล้วในรายการนี้ถึงเกมรุกสุดสะเด่า อัดไปถึง 18 ตุง ในทัวร์นาเมนต์ เด็ก ๆ พร้อมเล่นตามแท็คติก มีจุดเด่นที่เกมริมเส้นรวดเร็วปานจรวด
กับไลน์อัพที่ออกมาก่อนเกมเริ่ม 1 ชั่วโมง ทัพช้างศึก มีการเปลี่ยนทีมจากนัดเสมอ เวียดนาม 0-0 ถึง 7 ตำแหน่ง ยิ่งย้ำแนวคิดข้างต้นว่า วันนี้มาแบบเพลย์เซฟแน่
ไม่ได้ตะบี้ตะบันบุก เน้นครองบอลหาจังหวะเข้าทำงาม ๆ บนความไม่ประมาทคู่ต่อสู้
แต่ไม่ใช่สำหรับ มาโน โพลกิง
แม้จะไร้ ธีราทร หรือโรเตชันผู้เล่นถึง 7 ราย แต่ช้างศึกวันนี้ไม่ต่างจากนักแสดงใน 4 Kings ที่เห็นคู่ต่อสู้อยู่ตรงหน้าแล้วตะโกน ไทยโว้ยยยยยย ก่อนบุกเข้าใส่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
เจ ชนาธิป ซัดขึ้นนำตั้งแต่ยังไม่ถึง 2 นาทีแรก
![]()
จากนั้นรูปเกมยังเป็นแบบเดิม แบ็คซ้าย-ขวา อย่าง ทริสตอง โด และ ฟิลิป โรลเลอร์ ผลัดกันเติมเกมอย่างบ้าคลั่ง ไม่ได้หวั่นว่าจะ “โดนสวนกลับ” แม้แต่น้อย
ตัวแสบอินโดนีเซียอย่าง อิรฟาน จายา และ วิตัน สุไลมาน ที่ ชิน แท-ยอง วางหมากมาหวังใช้ตลบเกมริมเส้นไทยให้หงายหลัง แต่ความเป็นจริงที่พบ ทั้งสองทำได้แค่ดรอปลงมาช่วยเกมรับเพื่อน จังหวะเกมสวนกลับแทบไม่มีให้เห็น หรือหากได้บอลปุ๊บ นักเตะไทยจะเข้ามาดีเลย์ ตัดเกมในแดนสูงทันที
อาจมี 2-3 จังหวะที่พาบอลกันขึ้นมาได้ แต่บอลพื้นที่สุดท้ายพวกเขากลับไม่นิ่งและ “เฉียบขาด” พอ
อีกความบ้าของ มาโน ในเกมนี้คือช็อตแก้เกมหลัง เอเลียส ดอเลาะ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟบาดเจ็บ เล่นต่อไม่ไหว
เกมนี้ไทยไม่มีชื่อ มานูเอล ทอม เบียร์ห บนม้านั่งสำรอง มองแบบไม่คิดอะไรมาก ปวีร์ ตัณฑะเตมีย์ ตัวเลือกเดียวที่มีอยู่ในตำแหน่งนี้ น่าจะถูกส่งลงมาช่วยแพ็กเกมรับ เพราะเป็นตำแหน่งที่ตรงตัว บอลนำอยู่ แถมรูปเกมเหนือกว่า ไม่มีความจำเป็นต้องฝืน หรือเสี่ยง
แต่ไม่ใช่สำหรับ มาโน โพลกิง
![]()
หมอนี่เลือกส่ง ปกเกล้า อนันต์ ลงมา พร้อมถอย วีระเทพ ป้อมพันธุ์ มิดฟิลด์ ลงมายืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่ กฤษดา กาแมน
ทำให้เซ็นเตอร์ไทย ไม่ใช่กองหลังอาชีพทั้งคู่
สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมตามมาคือ ทั้ง วีระเทพ กับ กฤษดา ช่วยกันเซ็ตบอล-บิวต์อัพเกม ตั้งแต่หน้าปากประตู อินโดจะขึ้นมาเพรสซิง กดดันแค่ไหน ทั้งสองก็สามารถพาบอลฝากไปให้กองกลาง หรือแดนหน้าได้อยู่ดี
พูดภาษาบ้าน ๆ ก็คือกะบุกให้คู่ต่อสู้ “โงหัวไม่ขึ้น”
มาโน กลายเป็นโค้ชที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบการเล่น เปลี่ยนแผนตามสถานการณ์ปัจจุบันขณะ ไว้ใจขุมกำลังที่มีอยู่ทุกคน พร้อมเชื่อมั่นว่าส่งใครลงมาก็ “เล่นได้”
ครึ่งหลังอินโดนีเซียพยายามแก้เกม เซ็ตเปลี่ยนผ่านบอลให้ไวกว่าเดิม แต่ก็ถูกไทยจัดการได้อยู่หมัด จังหวะเพรสซิ่งไวทำให้พวกเขาเสียง่าย ๆ ในแดนตัวเองบ่อยหน
แท็คติก “สวนกลับ” ที่เตรียมนำมาใช้ กลับถูกไทยหยิบมาเล่นงานเสียเอง
![]()
ชนาธิป สรงกระสินธ์ เป็นศูนย์กลางเกมรุก พ่วงด้วยริมเส้นซ้ายขวา โด-บดินทร์ และ ฟิลิป-สุภโชค ที่บุกเป็นพายุ โดยมีธีรศิลป์คอยเก็บบอลในแดนหน้า บุกขึ้นมาอินโดมีลิ้นห้อย 1-1 แทบไม่เคยเอาอยู่ แม้จะถูกเคลียร์ทิ้ง ก็เหมือนอัดกำแพง ไทยก็บุกขึ้นมาระลอกใหม่อีก
สกอร์จบ 4-0 พูลสวัสดิ์
หากเปรียบเป็นมวย แม้ทางทฤษฎีจะมียกที่ 2 ให้ลุ้น แต่คะแนนที่ออกมายกแรกก็แทบ “อาร์เอสซี เอาท์คลาส” ไปแล้ว
อินโดนีเซีย แพ้ไทยแบบสู้ไม่ได้
และแพ้ให้ “ความบ้า” ของ มาโน โพลกิง ด้วย