ใน 9 นัดก่อนหน้านี้ที่แพ้รวด อาร์เซน่อล เสียรวม 24 ประตู และหลายนัดก็จบตั้งแต่ "ครึ่งแรก" โดนรัวแบบที่ยังไม่ทันได้ตั้งเกมของตัวเองและแทบไม่เหลืออะไรให้ลุ้นในครึ่งหลัง

แต่การเจอกันครั้งล่าสุดเมื่อวันขึ้่นปีใหม่ที่ผ่านมา อาร์เซน่อล ทำได้ดีกว่าชัดเจน และหากไม่เกิด 4 นาทีบ้าบอที่พลิกโฉมหน้าของเกมทันที พวกเขาก็คงปลดล็อกเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างแน่นอน

แม้ไม่มี มิเกล อาร์เตต้า คุมทีมข้างสนามเพราะติดโควิด-19 ทำให้ต้องกักตัวอยู่บ้านและต้องให้ อัลเบิร์ต สตีเฟ่นเบิร์ก รับหน้าที่แทน แต่ อาร์เซน่อล ก็ยังเค้นฟอร์มสุดยอดออกมาได้จนทำเอาจ่าฝูง แมนฯ ซิตี้ ที่ชนะมา 10 นัดรวด ถึงกับไปไม่เป็น

โมเมนตัมก่อนลงเล่นเกมนี้ของทีมปืนใหญ่ถือว่ามาดีทีเดียวจากการชนะรวด 5 นัดในทุกรายการ และเกมลีกในบ้านช่วงหลังก็แกร่งทีเดียวชนะ 7 จาก 8 นัดหลังสุด และคลีนชีตมา 4 นัดติด

อาร์เซน่อล รักษาฟอร์มช่วงหลังเอาไว้ได้ด้วยการตั้งเกมสู้กับ แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างไม่เป็นรอง ทุกคนมีสมาธิและวินัยในการเล่นอย่างมากโดยเฉพาะเกมรับซึ่งเคยเป็นจุดอ่อนตลอดเวลารับมือเรือใบสีฟ้า

แข้งปืนใหญ่เล่นได้ดีขึ้นและดีขึ้นจนสามารถขึงเกมรุกเข้าใส่ แมนฯ ซิตี้ ได้ต่อเนื่องซึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในช่วงหลายปีหลัง

นับตั้งแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุม แมนฯ ซิตี้ ในปี 2016 พวกเขาไม่เคยแพ้ อาร์เซน่อล ในเกมลีกเลย นอกจากชนะเป็นส่วนใหญ่แล้ว รูปเกมก็เหนือกว่าแบบบอลคนละชั้น 

ย้อนไปในต้นฤดูกาลที่ แมนฯ ซิตี้ รัวชนะ 5-0 อาร์เซน่อล ได้โอกาสพาบอลเข้าไปยิงครั้งเดียวตลอดทั้งเกมและไม่เข้ากรอบ ที่เหลือคือการบุกแบบพับสนามของ แมนฯ ซิตี้

ซาก้า ซัดให้ปืนนำก่อน

แต่ 45 นาทีแรกในเกมล่าสุด อาร์เซน่อล เล่นได้ดีกว่าและคู่ควรกับประตูออกนำ 1-0 จาก บูคาโย่ ซาก้า ที่จุดเริ่มต้นคือการตัดบอลหน้าเขตโทษของ เบน ไวท์ ก่อนเปลี่ยนจากรับเป็นรุกโจมตีทันทีและจบที่ คีแรน เทียร์นีย์ ไหลบอลให้ ซาก้า ยิงเข้าไปอย่างเด็ดขาด

ตั้งแต่เปิดฤดูกาลเป็นต้นมา แมนฯ ซิตี้ เสียประตูในครึ่งแรกเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น ประตูแรกเกิดขึ้นในวันที่แพ้ คริสตัล พาเลซ คาบ้านจากการยิงของ วิลฟรีด ซาฮา และประตูที่ 2 ก็จาก ซาก้า นี่เอง

นอกจากนี้ แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่สามารถยิงบอลเข้ากรอบได้เลยในครึ่งแรกซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยเช่นกันสำหรับทีมของ เป๊ป โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอร์มในตอนนี้ที่ชนะมา 10 นัดติดในลีก

เป็น 45 นาทีแรกที่ อาร์เซน่อล เล่นได้อย่างมีคุณภาพ เกมรับเหนียวแน่น ขณะที่เกมรุกก็เล่นงาน แมนฯ ซิตี้ ได้

ทว่าก็เกิดจุดเปลี่ยนสองจังหวะต่อเนื่องที่ห่างกันเพียง 4 นาที แมนฯ ซิตี้ ที่ต่อบอลติดๆ ขัดๆ มาได้จุดโทษหลัง แบร์นาร์โด้ ซิลวา ลุยเดี่ยวในเขตโทษก่อนโดน กรานิต ชาก้า ดึงเสื้อและล้มทันที

ผู้ตัดสิน สจ๊วร์ต แอ็ตต์เวลล์ เดินไปเช็กวีเออาร์ที่ข้างสนามด้วยตัวเองก่อนชี้ว่าเป็นจุดโทษ ริยาด มาห์เรซ รับหน้าที่สังหารไม่พลาด 

จากนั้นไม่กี่อึดใจ กาเบรียล มากัลเญส กองหลังที่สำคัญที่สุดของ อาร์เซน่อล ก็มาโดนเหลืองสองหลังทำฟาวล์ กาเบรียล เชซุส ทำให้ได้ใบแดงไล่ออก

สถานการณ์เปลี่ยนไปทันที อาร์เซน่อล นำ 1-0 พร้อมรูปเกมที่ดีกว่ามากจนถึงนาที 55 แต่อีก 4 นาทีถัดมา พวกเขาโดนตามตีเสมอ 1-1 และเหลือผู้เล่น 10 คน

ด้วยสองจังหวะสำคัญที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เกมพลิกไปในทันที แมนฯ ซิตี้ ที่ตัวมากกว่ากลายเป็นฝ่ายคอนโทรลเกมรุก และ อาร์เซน่อล เองก็จำใจต้องถอดตัวรุกอย่าง มาร์ติน โอเดการ์ด ออกแล้วส่งเซนเตอร์อย่าง ร็อบ โฮลดิ้ง ลงมาแทน

ครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสยิงแค่ 4 ครั้งไม่เข้ากรอบ แต่นับตั้งแต่ได้จุดโทษตีเสมอ พวกเขาก็เดินหน้าลุ้นส่องประตูอีก 10 ครั้ง 

อาเก้ เคลียร์บอลบนเส้นหวุดหวิด

อาร์เซน่อล ที่ต้องรับเป็นส่วนใหญ่ในครึ่งหลัง ก็มีโอกาสทองที่จะนำอีกรอบหลัง เอแดร์ซอน กับ เอ็มเมอริค ลาปอร์กต์ สื่อสารกันผิดพลาดจน ลาปอร์กต์ โหม่งบอลคืนหลังกำลังจะข้ามเส้นอยู่แล้ว ทว่า นาธาน อาเก้ ตามมาสไลด์ตัวเตะบอลทิ้งหวุดหวิด ขณะที่จังหวะซ้ำของ มาร์ติเนลลี่ ก็ชนเสาออกหลังอย่างน่าเสียดาย

ในช่วงที่เหลือ 10 คน อัลเบิร์ต สตีเฟ่นเบิร์ก กุนซือขัดตาทัพของปืนใหญ่ถือว่าแก้เกมได้ดีทีเดียว อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ กับ บูคาโย่ ซาก้า ถูกถอดออกเพื่อให้ เอมิล สมิธ โรว์ และ โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ ลงมาช่วยวิ่งไล่

ปืนใหญ่เกือบจะเก็บอย่างน้อยหนึ่งคะแนนในบ้านเอาไว้ได้อยู่แล้ว ทว่าช่วงทดเจ็บเกมรับก็แตกจนได้ ทีมจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อ แมนฯ ซิตี้ อย่างเจ็บปวด

นี่คือเกมที่ อาร์เซน่อล ไม่ควรแพ้ ขนาด เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ยอมรับว่า แมนฯ ซิตี้ โชคดีที่ควักชัยชนะกลับออกไปได้เพราะปืนใหญ่เล่นดีกว่า

จุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ 4 นาทีนรกแตกที่การทำหน้าที่ของผู้ตัดสินมีส่วนชัดเจน

จังหวะฟาวล์ของ ชาก้า เป็นจุดโทษได้เพราะดึงเสื้อชัดเจน แม้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา จะตั้งใจทิ้งตัวอยู่แล้วก็ตาม 

ทว่าการที่ผู้ตัดสินให้จุดโทษลูกนี้ แต่กลับปฏิเสธจุดโทษอีกจังหวะที่ มาร์ติน โอเดการ์ด โดน เอแดร์ซอน แหย่เท้าสไลด์บอลในครึ่งแรก ก็ทำให้มาตรฐานในการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินถูกตั้งคำถามอีกครั้ง

สองจังหวะนี้ควรเป็นจุดโทษทั้งสองจังหวะ แต่มีเพียงจังหวะเดียวที่ผู้ตัดสิน สจ๊วร์ต แอ็ตต์เวลล์ เดินมาดูจอวีเออาร์ข้างสนามและเป่าให้จุดโทษกับ แมนฯ ซิตี้ 

นอกจากนี้ก็มีอีกหลายจังหวะที่ไม่แจกใบเหลืองแม้แต่ใบเดียวกับผู้เล่น แมนฯ ซิตี้ ทั้งที่ฟาวล์เข้าตาตลอดทั้งเกมโดยเฉพาะ โรดรี้ ที่เสียบ มาร์ติเนลลี่ จนลอยเคว้งหน้าเขตโทษ

แมนฯ ซิตี้ รอดใบเหลืองจนกระทั่งทดเจ็บที่ได้ใบแรกจากการที่ โรดรี้ ถอดเสื้่อฉลองประตู ตามด้วย แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่ก็ไม่ใช่จากการฟาวล์ด้วย

สองจังหวะสำคัญใน 4 นาทีที่ทำให้รูปเกมเปลี่ยนทันที

บางจังหวะเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ตัดสินก็ถูกตั้งคำถาม เช่นตอนที่ นาธาน อาเก้ เคลียร์บอลบนเส้นออกมา ผู้ตัดสินกลับวิ่งเข้าเขตโทษและอยู่ในทิศทางขวางหน้า มาร์ติเนลลี่ ที่เป็นคนซ้ำจังหวะสอง จังหวะนี้ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ผู้ตัดสินต้องวิ่งเข้าไปแบบนั้น 

ความเห็นของ เฮนรี่ วินเทอร์ นักข่าวไทม์สสรุปการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินเอาไว้ได้ชัดเจนมากๆ ดังนี้

"วีเออาร์ จะไม่ได้ผลที่ควรจะเป็นในพรีเมียร์ลีกจนกว่าผู้ตัดสินจะพัฒนาให้ดีขึ้นกว่านี้ สองจังหวะจุดโทษในเกม อาร์เซน่อล-แมนฯ ซิตี้ ไม่มีมาตรฐานเลย มันควรเป็นจุดโทษทั้งสองจังหวะ แต่กลับเป่าให้เพียงหนึ่ง แฟนบอลและนักเตะต่างหัวเสีย มันทำลายเกมไปเลย ผู้ตัดสินบางคนทำหน้าที่ได้ดีนะ แต่คุณภาพโดยรวมไม่ดีพอสำหรับการแข่งขันระดับสูง"

ในรอบ 6 ปีเต็มที่ อาร์เซน่อล มีโอกาสเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ในเกมลีกได้เพราะเล่นได้ดีกว่า ทุกจังหวะเต็มไปด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นสุดๆ 

พวกเขาปรับปรุงจุดอ่อนที่เคยทำให้เสียท่าคู่แข่งได้ดีขึ้นมาก แม้ยังไม่สมบูรณ์แบบเช่นการฟาวล์ของ ชาก้า และ กาเบรียล แต่หากการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินถูกต้องแม่นยำมากกว่านี้ ผลการแข่งขันก็คงไม่ลงเอยอย่างที่เกิดขึ้นหลังสิ้นเสียงนกหวีดของผู้ตัดสิน 

นี่คือเกมที่ต้องเรียกว่าทีมที่เล่นได้ดีกว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และมาตรฐานการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินก็ทำให้หลายคนคาใจอีกครั้ง