เชลซี กับเอฟเอ คัพในความทรงจำ
สกอร์ที่ออกมา 5-1 ไม่ถือว่าเซอร์ไพรส์อะไรเมื่อดูจากนักเตะที่ส่งลงสนามที่พวกแข้งชุดใหญ่ลงเล่นเพียบทั้ง อันเดรียส คริสเตนเซ่น, มาเตโอ โควาซิช, ฮาคิม ซิเย็ค, คริสเตียน พูลิซิช, คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย, ติโม แวร์เนอร์ และ โรเมลู ลูกากู
สโมสรระดับ "สิงห์บลูส์" แน่นอนว่าการลงเล่นทุกรายการต้องมุ่งเน้นไปที่การคว้าแชมป์เท่านั้น
กับรายการที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สิงโตแห่งกรุงลอนดอนเป็นเจ้าของ 8 สมัย มากที่สุดเป็นอันดับ 3 เป็นรองแค่ อาร์เซน่อล (14) กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (12) และเข้าชิงชนะและมากที่สุดเป็นอันดับ 3 เช่นกันที่ 15 ครั้ง
เท่ากับว่าได้แชมป์ครึ่งหนึ่งของการเข้าชิงชนะเลิศซึ่งถ้าว่ากันตามตรงก็ถือว่าน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน
และแน่นอนว่าในเส้นทางที่ผ่านมา เชลซี มีเกมที่น่าจดจำมากมายในการเล่นเอฟเอ คัพ ซึ่งวันนี้คัดมา 5 เกมที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของทีม
เชลซี - สเปอร์ส (5-1)
รอบรองชนะเลิศฤดูกาล 2011/12
เกมที่สนามเวมบลีย์ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้วการเจอกันสองทีมจากกรุงลอนดอนซึ่งถือเป็นทีมเต็งเหมือนกัน ในขณะที่อีกคู่เป็น "เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้" ลิเวอร์พูล เจอกับ เอฟเวอร์ตัน
เรียกได้ว่าใครชนะจะเข้าไปเป็นตัวแทนหมู่บ้านชิงถ้วยที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานนี้
ด้วยความที่เป็นฟุตบอลแบบนัดเดียว การมีประตูเกิดขึ้นนั้นยิ่งทำให้เกมเปิดและก็เป็น เชลซี ที่ขึ้นนำก่อนในช่วงท้ายครึ่งแรกจาก ดิดิเยร์ ดร็อกบา ต่อด้วยประตูที่สองในช่วงต้นครึ่งหลังจาก ฆวน มาต้า
ประตูตีไข่แตกของ แกเร็ธ เบล ช่วยให้ "ไก่เดือยทอง" มีความหวังและยิ่งเดินหน้าบุกมาขึ้น แต่มันก็คือการเปิดพื้นที่ให้กับคู่แข่งเช่นกันก่อนจะมาโดนทะลวงสามลูกรวดจาก รามีเรส, แฟร้งค์ แลมพาร์ด และจุดโทษของ ฟลอร็องต์ มาลูด้า ให้ เชลซี ถล่มไป 5-1
สุดท้ายปีนั้นทีมเข้าไปเจอกับ ลิเวอร์พูล ที่ชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-1 ซึ่งชัยชนะเป็นของ เชลซี ที่ชนะไป 2-1 จากประตูของ รามีเรส และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ส่วน "หงส์แดง" ตีไข่แตกจาก แอนดี้ แคร์โรลล์
เชลซี - แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (5-1)
รอบ 5 ฤดูกาล 2015/16
ถือเป็นฤดูกาลที่บรรดาสโมสรใหญ่พากับฟอร์มร่วงกันไปหมดทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซน่อล, สเปอร์ส โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล จบไกลถึงอันดับ 8 ส่วนแชมป์พรีเมียร์ลีกกลายเป็นประวัติศาสตร์เมื่อตกเป็นของ เลสเตอร์ ซิตี้
ส่วน "สิงห์บลูส์" แทบไม่ต้องพูดถึงจบไกลถึงอันดับ 10 ของตารางเลย ดังนั้นฟุตบอลถ้วยถือเป็นความสำเร็จที่สโมสรดังทั้งหลายต้องการเพื่อไม่ให้มันล้มเหลวมากไปกว่านี้
เกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ในขณะที่ทาง กุส ฮิดดิ้งค์ ขนตัวจริงลงเต็มสูบ ทาง มานูเอล เปเยกรินี่ กลับเลือกใช้ตัวสำรองลงเล่นเกือบยกแผง
และผลการแข่งขันก็ไม่ผิดไปจากที่คาดทาง เชลซี ที่ดูตึงๆในครึ่งแรกที่ขึ้นนำก่อนจาก ดีเอโก้ คอสต้า แต่โดน ดาวิด เฟาปาล่า ตีเสมอ แต่ครึ่งหลังทีมก็แก้เกมได้เยี่ยมด้วยการรัวเป็นชุดจาก วิลเลี่ยน, แกรี่ เคฮิลล์, เอแด็น อาซาร์ และ เบอร์ทรานด์ ตราโอเร่ ให้ทีมชนะไปสบาย 5-1
อย่างไรก็ตามสุดท้ายในรอบถัดไป เชลซี ไปแพ้ให้กับ เอฟเวอร์ตัน 0-2 กระเด็นตกรอบไป
เชลซี - วัตฟอร์ด (5-0)
รอบ 3 ฤดูกาล 2009/10
ในเกมรอบ 3 กับทีมรองบ่อนอย่าง วัตฟอร์ด สโมสรในแชมเปี้ยนชิพ ทีมมีปัญหาในแนวรุกเมื่อไม่มีทั้ง ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ นิโกล่าส์ อเนลก้า
แต่เกมนี้ทีมก็มีกองหน้าดาวรุ่งอย่าง แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ รวมถึงพลพรรคคนอื่นที่มีศักยภาพดีพอที่จะเอาชนะผู้มาเยือนไปได้แบบไม่ยากเย็น
ตลอดทั้งเกม "สิงห์บลูส์" เหนือกว่าแบบคนละชั้นและมีโอกาสทำประตูมากถึง 30 หน แบ่งเป็นเข้ารอบ 14 ครั้งและหลุดกรอบ 16 ครั้ง แถมยังได้เตะมุมมากถึง 17 ครั้งเลย
ชุดผสมของ เชลซี ถล่มไปสบายเท้า 5-0 จากประตูของ สเตอร์ริดจ์ 2 ลูก, จอห์น ยุสเตซ (เข้าประตูตัวเอง), ฟลอร็องต์ มาลูด้า และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด
สุดท้ายในปีนั้นทีมตะลุยไปจนสุดท้ายและคว้าแชมป์มาครอง และยังเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกรายการด้วย ถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมเลย
เชลซี - แม็คเคิ่ลส์ฟิลด์ (6-1)
รอบ 3 ฤดูกาล 2006/07
ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ และพลังเงินของ โรมัน อบราโมวิช เสกให้ เชลซี กลายเป็นทีมระดับแถวหน้าของวงการลูกหนังอังกฤษไปเลย
และหลังจากพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมา 2 ฤดูกาลติดรวมถึงแชมป์ลีก คัพ ก็ถึงเวลาที่จะขยับขยายไปสู่ถ้วยอีกบ้าง
เริ่มตั้งแต่รอบ 3 ทีมก็เปิดฉากถล่มทีมรองบ่อนเละเทะ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กดแฮตทริคให้ทีมในเกมนี้บวกกับประตูของ ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, จอห์น โอบี มิเกล และ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่
หลังจากนั้นทีมผ่าน ฟอเรสต์, นอริช ซิตี้, สเปอร์ส (ที่ต้องออกแรงสองเกม)ม แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และ แมนเชเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศที่ต้องสู้กันถึง 120 นาทีจากประตูชัยของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา
เชลซี - อิปสวิช (7-0)
รอบ 3 ฤดูกาล 2010/2011
ในฐานะแชมป์เก่า เชลซี เริ่มต้นก้าวแรกของการป้องกันแชมป์อย่างสวยหรูและมีสไตล์ด้วยการไล่ถล่มคู่แข่งราบคาบ
หลังจากที่อึดอัดในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกทีมมารัว 3 ประตูในเวลา 8 นาทีจาก ซาโลมง กาลู, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ และ การทำเข้าประตูตัวเองของ คาร์ลอส เอ็ดเวิร์ด
ครึ่งหลังทีมมายิงเพิ่มอีก 4 ลูกจาก นิโกล่าส์ อเนลก้า, สเตอร์ริดจ์ ที่บวกลูกที่สองของตัวเอง และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เบิ้ลสองลูกให้ทีมชนะท่วมท้น 7-0
อย่างไรก็ตามทีมไปจอดป้ายแค่รอบ 4 ที่เจอกับ เอฟเวอร์ตัน โดยแพ้ในการดวลจุดโทษหลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 อดป้องกันแชมป์ไป