:::     :::

3 เฟสสำคัญของการสร้างทีมในแบบฉบับของ เจอร์เก้น คล็อปป์

วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
4,147
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เจอร์เก้น คล็อปป์ คือกุนซือที่ผมยกให้เป็นนักแก้ปัญหาตัวยง เป็นนักจัดการความล้มเหลว และเป็นพญาเหยี่ยวสำหรับการลงตลาดซื้อขายเสมอมา

สมัยที่คุม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นอกจากจะเข้ามายกระดับทีมให้กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์แบบเต็มตัวแล้ว เขายังใช้จ่ายเม็ดเงินอย่างคุ้มค่าทุกยูโรอีกด้วย


การทำงานของ คล็อปป์ ที่ ดอร์ทมุนด์ แบ่งออกเป็น 3 เฟสครับ เฟสแรกคือเข้ามาซ่อมแซมทีม ปลูกฝังระบบกับนักเตะและหาแข้งฝีเท้าดีมาร่วมทีมตามงบที่มี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 ฤดูกาล


เฟสที่สองคือไล่ล่าแชมป์ เฟสนี้จะเป็นการทำงานต่อจากเฟสแรกนั่นคือมุ่งเน้นไปยังการประสบความสำเร็จในรายการต่าง ๆ การซื้อขายจะมุ่งเน้นไปที่นักเตะประเภทคีย์แมนที่เข้ามาแล้วเติมเต็มส่วนที่ขาดได้เป็นอย่างดี


เฟสสุดท้ายคือหลังจากคว้าแชมป์ จะเป็นการรักษามาตรฐาน​ของทีมให้อยู่กลุ่มบนต่อไป การซื้อขายจะน้อยลง เน้นผสมผสานระหว่างเยาวชนกับบิ๊กเนมแค่นิดหน่อย ในกรณีที่สูญเสียตัวหลักออกไป มันคือการวางแผนเพื่อส่งต่อทีมให้เดินหน้าต่อได้ในระดับสูงโดยที่เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ยามที่เขาเองไม่อยู่แล้ว


การทำงานของ คล็อปป์ ที่ ดอร์ทมุนด์ เหมือนกับการทำงานที่ ลิเวอร์พูล ไม่มีผิด เขาใช้เวลาช่วง 2-3 ฤดูกาลแรกซ่อมแซมทีม พอทุกอย่างเริ่มลงตัวก็เดินหน้าสู่เฟสสองคือไล่ล่าแชมป์ ซึ่งหากมองยังปัจจุบัน ผมว่ากับ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้คล้ายกับ ดอร์ทมุนด์ ตอนเฟสสองปลาย ๆ ย่างเข้าสู่เฟสสามเลยครับ




ย้อนไปดู ดอร์ทมุนด์ ในเฟสสองปลายเฟสสามสักนิด หลังจาก คล็อปป์ พาเสือเหลืองคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ในฤดูกาล 2010-11 ปีต่อมาเขาลงตลาดซื้อขายน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด มีการเซ็นสัญญาเข้ามาสู่ทีมในชุดหลักแค่ 6 คน ซึ่งตีวงให้แคบลงจะมีแค่ อิวาน เปริซิซ กับ อิลคาย กุนโดกัน เท่านั้นครับที่เป็นตัวหลักในทีมชุดใหญ่ ซึ่งการมาของ กุนโดกัน ก็เป็นการเข้ามาเพื่อแทนที่ นูริ ซาฮิน ที่ย้ายไปอยู่ เรอัล มาดริด นั่นเอง


สถานการณ์​หลังการคว้าแชมป์ลีกครั้งแรก ตัวหลักของ คล็อปป์ ขาดหายไปแค่ ซาฮิน แต่ได้ของดีอย่าง กุนโดกัน เข้ามาแทนที่ เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน แถมยังได้เดเอฟเบ โพคาล อีกใบด้วย พร้อมกันนั้นยังเป็นปีแจ้งเกิดของ มาริโอ เกิตเซ่, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และอีกหลายต่อหลายคน


เมื่อได้แชมป์สองปีติด คล็อปป์ พยายามสร้างทีมด้วยตัวหลักชุดเดิมผสมผสานกับดาวรุ่งในทีม แม้จะมีการดึงตัว มาร์โก้ รอยส์ มาเสริมทัพ แต่ก็เกิดขึ้นเพราะต้องการนำมาแทนที่ของ ชินจิ คากาวะ ที่ย้ายไป แมนฯ ยูไนเต็ด เท่านั้น 


ปีดังกล่าว คล็อปป์ พาทีมจบแค่รองแชมป์บุนเดสลีกา แต่พาทีมไปได้ไกลจนถึงรอบชิงชนะเลิศ​ถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก เลยทีเดียว โดยนัดชิงไปแพ้ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค อย่างน่าเสียดาย


ถัดมาคือฤดูกาล 2013-14 หลังพลาดสองรายการใหญ่ คล็อปป์ ยังมาโดนฉกตัว มาริโอ เกิตเซ่ ออกไปให้คู่ปรับอย่าง บาเยิร์น อีก, หนำซ้ำยังต้องปล่อย โมริตซ์ ไลต์เนอร์ กับ เฟลิเป้ ซานตาน่า ออกไปอีกด้วย ทำให้เขาต้องแก้ปัญหาด้วยการซื้อตัว เฮนริค มคิทาร์ยาน มาแทน เกิตเซ่ เสริมแนวรุกด้วย ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง และขันเกมรับด้วยการเซ็น โซคราติส มาจาก เบรเมน 


ฤดูกาลต่อจากนั้น เสือเหลืองต้องเสีย โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ให้ บาเยิร์น จนต้องดึง ชิโร่ อิมโมบิเล่ ที่ในตอนนั้นเพิ่งได้ดาวซัลโวลีกอิตาลีมาร่วมทีมเพื่อทดแทนกัน 


ช่วงเวลาตั้งแต่หลังคว้าแชมป์ลีกสมัยที่สองจนถึงฤดูกาลสุดท้ายของ คล็อปป์ ต้องบอกว่ามีแต่ปัญหาให้ตามแก้มากกว่าจะสานงานต่อตามแพลนที่เขาต้องการครับ 


ดอร์ทมุนด์ เสียนักเตะสำคัญออกไปทุกปี แม้ว่าจะมีการดึงคนใหม่เข้ามาแทนแต่ก็ทดแทนกันได้ไม่สมบูรณ์มากนัก เพราะส่วนใหญ่เขาเสียมือขวาไปให้คู่ปรับแย่งแชมป์โดยตรงอย่าง บาเยิร์น ดังนั้นงานของเขาจึงยากเป็นเท่าตัวสำหรับการทวงแชมป์คืนมา




หากมอง ลิเวอร์พูล​ ในตอนนี้ แม้จะเป็นช่วงเฟสสองปลาย ๆ ย่างเข้าเฟสสามสำหรับการทำงานกับ คล็อปป์ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ ลิเวอร์พูล นั้นยังอยู่ในการคอนโทรลที่ดีกว่าของ ดอร์ทมุนด์ ในช่วงเวลาเดียวกันครับ


เราจะสังเกตุได้ว่า คล็อปป์ สามารถดันดาวรุ่งขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้ต่อเนื่องกว่า แผนพัฒนาต่าง ๆ นอกสนามดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่า และจนถึงตอนนี้ทีมก็ยังไม่ได้เสียนักเตะคีย์แมนให้กับทีมแย่งแชมป์เหมือนตอนที่เยอรมนี ถ้ามองกันจริง ๆ แผนงานของ คล็อปป์ กำลังเป็นไปในแบบที่เขาวางแผนทุกประการ


ผมกำลังจะบอกว่า ลิเวอร์พูล ที่ไม่ได้ลงตลาดซื้อขายพวกบิ๊กเนมมา 2 ปีแล้ว เป็นเพราะว่ามันกำลังอยู่ในแผนการวางรากฐานของทีมตามแบบฉบับที่ คล็อปป์ กำลังทำครับ 


ถ้าจำกันได้ เขาเข้ามาคุม ลิเวอร์พูล ตอนที่สถานการณ์ของทีมไม่ค่อยดีนัก มีงานให้สะสางเต็มไปหมด เขาพาทีมจบฤดูกาลแรกด้วยอันดับ 8 ได้เข้าชิงถ้วยลีก คัพ กับยูโรปา ลีก แต่ก็พ่ายในนัดชิงทั้ง 2 ถ้วยอย่างน่าเสียดาย


เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 เขาเลยเริ่มจัดการซ่อมแซมทีมทีละจุด นักเตะอย่างซาดิโอ มาเน่, โจเอล มาติป, จอร์จินโญ่ ไวนัลจ์ดุม ถูกดึงเข้ามาเสริมทัพ เหนือสิ่งอื่นใด เขาพาทีมจบอันดับที่ 4 และทะยานคว้าตั๋วยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาไว้ในมือได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้น เกมรับยังคงเป็นจุดที่ คล็อปป์ รู้สึกว่าทีมจำเป็นต้องแก้ไขชนิดเร่งด่วน หากต้องการคว้าแชมป์รายการใหญ่ ๆ ให้ได้


ย่างเข้าสู่ปีที่ 3 รอยรั่วจากเกมรับที่เขามองเห็นมาตลอด ถูกเติมเต็มด้วยการมาของ เวอร์กิล ฟาน ไดค์ ขณะที่เกมรุกนั้น การเซ็นสัญญากับ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ นั้นสำคัญมากที่สุด เพราะนี่คือจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่ทำให้เครื่องจักรสีแดงเริ่มติดเครื่องจนน่าครั่นคร้ามอีกครั้ง


ซาล่าห์ ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำ ส่วน ฟาน ไดค์ แม้จะต้องปรับตัวสักระยะ แต่เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการมีอยู่ของเขานั้น สามารถทำให้เกมรับของลิเวอร์พูลเริ่มแน่นขึ้นมากเพียงใด 


เครื่องจักรสีแดงของคล็อปป์ เร่งฝีเท้าทะลุไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศในถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แม้เขาเองจะขันเกมรับให้แน่นด้วยการซื้อฟาน ไดค์ มาแล้ว แต่ความผิดพลาดส่วนบุคคลของ คาริอุส ก็ทำให้ คล็อปป์ต้องพบกับความล้มเหลวอีกครั้ง


"98% ของฟุตบอลคือการจัดการกับความล้มเหลว คุณต้องรู้จักเรียนรู้จากความล้มเหลวนั้นให้ได้" 


คล็อปป์ ยึดมั่นในความเชื่อนี้อยู่เสมอ เขาแพ้ในรอบชิงถ้วยนี้มา 2 ครั้ง กับ 2 ทีม แต่ในคราวนี้ เขาบอกกับตัวเองว่า เราจะไม่พลาดมันอีกเป็นครั้งที่ 3


เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ คล็อปป์ จำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ คาริอุส เปิดช่องไว้อีกครั้ง เขาเลือกไปที่ อลีสซง นายประตูชาวบราซิลของ โรม่า แม้ค่าตัวจะพุ่งจนเป็นสถิติโลกเขาก็ไม่สน


ซึ่งการลงตลาดช่วงนั้นมันคุ้มค่ามากครับ เพราะ อลีสซง กลายเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่แท้จริง ที่ทำให้เครื่องจักรสีแดงสมบูรณ์แบบในทุกระเบียดนิ้วบนผืนหญ้า


ลิเวอร์พูล ทะยานไปไกลถึงแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ได้อย่างยิ่งใหญ่ ตามมาด้วยถ้วย​พรีเมียร์ลีกในปีต่อมา เรียกว่าแผนงานของ คล็อปป์ เดินไปในทิศทางตามที่เขาวาดหวังไว้เป็นอย่างดี


"ในชีวิตผมล้มเหลวมาหลายครั้ง ผมคิดว่าฟุตบอลกับชีวิตจริงมันเหมือนกันหลายอย่าง, 98% ของฟุตบอลคือการจัดการกับความล้มเหลว คุณต้องรู้จักเรียนรู้จากความล้มเหลวนั้นแล้วจัดการกับมันในนัดต่อไป ชีวิตของเราก็เหมือนกัน"  


ผมเชื่อว่า เจอร์เก้น คลอปป์ เป็นมากกว่าโค้ชฝีมือดีนะครับ แต่เขายังเป็นนักจัดการกับความล้มเหลวมือวางอันดับต้น ๆ ของโลกเลย


ความล้มเหลวในอดีต เป็นเพียงแค่กระบวนการหนึ่งสำหรับการเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยิ่งใหญ่


ผมเชื่อมั่นครับ ว่าสิ่งที่ คล็อปป์ และทีมงานของ ลิเวอร์พูล​ กำลังทำในขณะนี้นั้นมันมีอะไรมากกว่าที่้ราเห็นในสนามฟุตบอล พวกเขากำลังวาง "รากฐาน" ที่สำคัญ กำลังวางระบบเอาไว้เพื่อปูทางให้คนต่อไปมาสานงานตรงนี้ต่อได้โดยไม่สะดุด


เจอร์เก้น คล็อปป์ กับการทำงานเฟสสามที่ ลิเวอร์พูล เขาจะเก็บความผิดพลาดและประสบการณ์​จาก ดอร์ทมุนด์ เอามาสานต่อให้มันสำเร็จลุล่วงได้ตามที่เขาวาดภาพเอาไว้แน่นอน





ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด