:::     :::

อย่างน้อยก็ได้สัมผัสความความรักจากแฟนผี แม้พรุ่งนี้จะต้องไป

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
9,767
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แง่มุมเล็กๆของบทความนี้ คือสิ่งที่ทำให้เราดีใจว่า อย่างน้อยที่สุด นักเตะที่แฟนบอลรักมากอย่าง "ดอนนี่ ฟานเดอเบค" สัมผัสได้ถึงกำลังใจและการสนับสนุนจากแฟนบอลอย่างเต็มเปี่ยม ท่ามกลางเหตุผลที่สงสัยกันมาแรมปีว่าทำไมเขาถูกเพิกเฉยการส่งลงสนามมาทั้งยุคโซลชาและรังนิค เหตุผลต่างๆในบทความนี้ คือปัจจัยที่เป็นคำตอบว่า ทำไมเขาถึงควรต้องไปจากทีมให้เร็วที่สุด

ต้องขอขอบคุณ "แฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" อย่างมาก ที่ตามไปเชียร์ทีมรักในฐานะแฟนทีมเยือน และได้มอบสิ่งดีๆแก่นักเตะของเรา ในเกมที่บุกไปเผารังผึ้งคาต้น ชนะเบรนท์ฟอร์ด 1-3 ณ สนาม Brentford Community Stadium

อีกหนึ่งแมตช์ที่ "ดอนนี่ ฟานเดอเบค" ทำได้เพียงแค่นั่งเป็นตัวรองที่ไม่ได้ถูกส่งลงสนาม เมื่อคืนที่ผ่านมาที่กรุงลอนดอน

โดยแฟนบอลพยายามจะทำให้น้องรู้ว่าเราเป็นห่วงสถานการณ์ของดอนนี่อย่างมาก และอยากส่งกำลังใจถึงน้อง ด้วยการที่หลังเกม เหล่าแฟนๆ Red Devils ส่งเสียงเรียกชื่อ ฟานเดอเบค ให้เขาได้ยิน ในขณะที่ออกมาวอร์มดาวน์ในสนามจนเสร็จสิ้น

เป็นการบ่งบอกถึงการให้กำลังใจ และแรงสนับสนุนจากแฟนๆ ที่อยากให้นักเตะได้รับรู้

และ VDB ก็ตอบกลับแฟนบอลว่า เขารับรู้ถึงกำลังใจเหล่านั้น ด้วยการโบกมือกลับมาให้กับแฟนๆ เพื่อส่งสัญญาณเป็นการขอบคุณแรงsupport ของเหล่าแฟนบอลที่เดินทางตามมาให้กำลังใจที่สนาม

40 ล้านปอนด์ คือค่าตัวของมิดฟิลด์ชาวดัตช์รายนี้ ในตอนที่ย้ายมาจากอาแจ็กซ์เดือนกันยายนปี 2020

ปี 2021 ที่ผ่านมา ดอนนี่เพิ่งได้ลงตัวจริงเพียงแค่สองเกมในพรีเมียร์ลีก และได้ลงเล่นรวมแล้ว 380 นาทีในทุกๆรายการแข่งขันฤดูกาลนี้

เกมดราม่าก่อนหน้านี้ ดอนนี่ถูกส่งลงมาเป็นตัวละครลับในนาทีที่ 88 หลังจากที่ทีมโดนวิลล่าตีเสมอ 2-2

เขามีเวลาพิสูจน์ตัวเองแค่ไม่กี่นาทีในการลงสนามช่วยเหลือทีม ซึ่งมันน้อยมากเกินไป ถูกส่งลงมาตอนเหลือแค่ไม่กี่นาที ประหนึ่งว่านี่คือนักเตะเทพที่ ใช้เวลาแค่ 3-4 นาทีก็พลิกเกมได้ ประหนึ่งเจ้าตัวมีสแตนด์สตาร์แพล็ตตินั่ม ที่สามารถหยุดเวลาแล้วช่วยทีมสำเร็จภายในเวลาสั้นๆ

แต่ขนาดว่าให้เวลาเขาน้อยแค่นั้น ก็ยังสร้างอะไรที่น่าสนใจให้ทีมได้จนเกือบจะทำประตูชัยสำเร็จ

และนั่นเป็นเกมที่ 50 ของเขากับปีศาจแดง

ฟานเดอเบคได้ลงสนามเป็น 11 ตัวจริงเพียง 19 ครั้งจากโอกาสทั้งหมด 90 เกมที่ยูไนเต็ด และเขาก็ต้องการที่จะย้ายออกจากทีมเพื่อหาโอกาสในการลงเล่น และพร้อมที่จะย้ายยืมตัวไปเอฟเวอร์ตันในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาอยู่รอมมะร่อแล้ว

แต่โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ขวางเขาไม่ให้ย้ายออกจากทีมไป และให้คำมั่นว่าจะส่งลงเล่น แต่สุดท้ายโอเล่ก็ไม่ทำตามที่บอก กั๊กดอนนี่ไว้แบบนั้น ไม่ปล่อยแต่ไม่ให้โอกาสลงสนามเลยแม้แต่นิดเดียว

ในขณะที่ราล์ฟ รังนิคเองก็พูดชัดเจนว่า เขาอยากจะให้นักเตะอยู่ต่อ ถึงแม้ว่าอาจจะได้ลงแค่เป็นช่วงๆเท่านั้นภายใต้การคุมทีมของเขา ราล์ฟเองก็ต้องการหลักประกันในแง่ขุมกำลังเชิงลึกให้ทีมเช่นกัน เผื่อมีเหตุฉุกเฉินกะทันหันเกิดขึ้นกับทีม

แต่ราล์ฟเองก็ยังใช้งานดอนนี่ ฟานเดอเบค แทบไม่ต่างกับโอเล่เลย นั่นก็คือ ทั้งสองคนนี้แทบจะไม่ให้โอกาสเขาเลย ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหนๆ

ตามข่าวและสถานะในทีม เป็นที่เข้าใจกันทุกฝ่ายว่า ซัมเมอร์นี้ DVB ก็จะพยายามที่จะผลักดันให้ตัวเองได้ย้ายออกจากสโมสรให้ได้ (หากว่าเขาอยู่ที่นี่ต่อไป แล้วสถานะในทีมยังไม่ดีขึ้น)

คำถามคือ มุมมองที่ถูกต้องที่สุดในการหาทางออกเรื่องนี้คืออะไร?

เราจะพูดกันแบบตรงๆด้วยเหตุผลที่เป็นปัจจัยประกอบ โดยที่ไม่มีเรื่อง emotional เข้ามาเกี่ยวข้อง พิจารณาเป็นข้อๆได้ดังนี้ ว่าทำไมดอนนี่ถึงไม่ได้ลงสนาม และเราควรจะแก้ไขเรื่องนี้กันยังไงดีให้วินวินกันทุกฝ่าย

1. "เล่นมิดฟิลด์ตัวกลาง ก็ไม่เข้าแก๊ปบอลรังนิคเท่าแม็คเฟร็ด"

ในภาคการเล่นกลางสนาม หากราล์ฟ รังนิค เน้นหนักเรื่องของการพลังงานในการเล่น ความเร็วในการเข้าเพรสซิ่งคู่แข่ง ความขยัน ดอนนี่ ฟานเดอเบค สู้นักเตะคนอื่นๆในทีมเรา ที่เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางด้วยกันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด

ต้องอธิบายและแยกแยะให้ชัดเจนอีกครั้งว่า เราไม่ได้บอกว่า ดอนนี่ ฟานเดอเบค แย่กว่าเฟร็ด .. แน่นอนว่า ดอนนี่ดีกว่าเฟร็ดชัวร์ๆ ในมิติของการเล่น "มิดฟิลด์กลางสนาม"

เขียนแบบนี้แล้วคนอ่านอาจจะงง

แต่ให้สังเกตดีๆว่า ถ้าวัดกันว่า ใครเล่นมิดฟิลด์ได้ดีกว่ากันกลางสนามในตำแหน่งCM ข้อนี้กล้าตอบแบบไม่กลัวหน้าแหกเลยว่า VDB ดีกว่า Fred แน่นอน ทั้งกายภาพ และ สกิลทักษะการเล่นที่เหนือกว่ามากๆ แถมยังใช้งานได้สารพัดประโยชน์มากกว่า

แต่มันไม่เข้าแก๊ป

แก๊ปที่ว่า คือ ระบบการเล่นของ ราล์ฟ รังนิค ที่ต้องการมิดฟิลด์ที่เคลื่อนที่เยอะๆเป็นหลัก เขาพิจารณาผู้เล่นที่จะนำมาเข้าในระบบ เพื่อเล่นเกมเพรสซิ่ง เล่นเกมที่มีไดนามิคกลางสนามสูงๆที่คัฟเวอร์พื้นที่ได้รวดเร็ว พลังงานไม่มีหมด ขยัน และอึดพอที่จะวิ่งได้ตลอด 90 นาที และเล่นเพรสซิ่งได้ทุกเกม

ถ้าวัดเฉพาะเรื่องของการเคลื่อนที่ เป็นจุดเดียวที่ ฟานเดอเบค ด้อยกว่าเฟร็ดแบบเห็นได้ชัดเช่นกัน และไอ้สิ่งเดียวที่เฟร็ดเหนือกว่าดอนนี่นั่นแหละ ดันเป็นสิ่งที่รังนิคต้องการพอดีซะด้วย

ประเด็นนี้จึงเป็นเหตุผลในกรณีที่ว่า ทำไมเขาถึงไม่สามารถเบียดนักเตะอย่าง แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ลงในแดนกลางได้ เนื่องจากว่าสองคนดังกล่าว เคมีการเล่นมันตรงกันกับ System ของทีมเราในอนาคต ที่รังนิคกำลังจะพัฒนาให้ทีมสามารถเล่นบอล Pressing เต็มรูปแบบให้ได้นั่นเอง

ซึ่งมันไม่แมตช์กับบอลแบบฟานเดอเบค ที่เขาเป็นสายเคลื่อนที่หาตำแหน่ง ต่อบอลช่อง give and go มากกว่า

อยากเห็นดอนนี่ไปอยู่แมนซิตี้เหมือนกันนะ แม้ว่าไปแล้วก็ต้องสำรอง เบียดกุนโดนกัน แบร์นาโด้ไม่ไหว แต่ถ้าถามว่าระบบไหนเหมาะกับเขามากที่สุด ก็คือบอลระบบแบบ "Positional Play" ที่สร้างความเหนือกว่าคู่แข่งตลอดเวลาด้วยการ "เคลื่อนที่" หาตำแหน่งนั่นเอง

ซึ่งรังนิคไม่ใช่บอลสไตล์นั้น แต่เป็นระบบเพรสซิ่งแบบที่เป็นต้นแบบของลิเวอร์พูลของ JK มากกว่า

สนใจไหมเป๊ป แฝดสามน้องหัวทองไปเลย ในสนามจะได้ดูยากๆว่า ใครคือใครวะ เดอบรอยน์-เดอเบค-ซินเชนโก้

ในเรื่องนี้ หลังจากเปรียบเทียบตำแหน่งการเล่นในพื้นที่ CM ไปแล้ว เมื่อดอนนี่เบียดแม็คเฟร็ดไม่ได้ในแดนกลาง หากจะจับเขาไปแย่งตำแหน่งกับตัวโฮลดิ้ง คุมเกม ครองบอล ปั้นเกมจากแนวลึก หรือจะให้เป็นตัว Regista ดอนนี่ก็จะสู้ "กลางต่ำธรรมชาติ" ที่เล่นตำแหน่งนี้อยู่แล้วอย่าง "เนมันย่า มาติช" ไม่ได้อีก

ซึ่งมาติชเป็น DLP ธรรมชาติ แถมยังเล่น Half-Back ได้ด้วยซึ่งก็ถือว่ายังช่วยเคลียร์สกัดลูกโหม่ง และตั๊นคู่แข่งตัวใหญ่ๆในเขตโทษพอได้

ตำแหน่งกลางตัวต่ำของทีม น้องก็ไม่สามารถสู้มาติชได้อีกเช่นกัน ดังนั้นแดนกลาง ฟานเดอเบคจึงเป็นรองทั้งสามตัวที่ว่ามาแบบเน็ตๆเลย

2. เล่นตัวรุก ก็ไม่สามารถเบียดตัวจริงอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ได้ไหว

เมื่อนำฟานเดอเบค มาเปรียบมวยกับแดนบน ซึ่งเป็นพื้นที่ถนัดของเขาในการเล่นตำแหน่ง "มิดฟิลด์ตัวรุก" ที่เป็น Attacking Midfielder (Role ที่เป็นมิดฟิลด์กลางสนามแท้ แต่มีมิติในเกมรุก)

เขาเป็น AM สายพิเศษในการเล่นเป็น Shadow Striker ที่สอดจากแดนกลางเข้าไปในกรอบเขตโทษ แล้วหาตำแหน่งว่างโผล่มายิง หรือเล่นช็อตสำคัญสร้างโอกาสยิงให้เกิดขึ้น

มิติตรงนี้บางอย่างคล้ายๆกับตัว Raumdeuter แบบของมุลเลอร์ (แต่รอมด๊อยฯจะสอดมาจากปีก) ไม่ต้องใช้สกิล หรือทำเกมอะไรเยอะ แต่โผล่มาหาจุดทำประตูได้จากด้านข้าง ซึ่งดอนนี่ก็มักจะเล่นแบบนั้น คือฝากบอลให้เพื่อน แล้วไปหาตำแหน่งที่ดีเพื่อสร้างโอกาสการยิงให้กับทีม

แทบไม่ได้กดท่าไม้ตาย "Ghost" เลย เพราะโอกาสลงสนามแทบจะไม่มี

สไตล์การรับผิดชอบตำแหน่ง AM ของดอนนี่ เมื่อเอาไปเปรียบเทียบเพื่อจะแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้น เขาก็ยังไม่สามารถ "ปั้นเกมรุก" ให้แมนยูไนเต็ดได้ดีเท่ากับตัวหลักอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส อยู่ดี ที่ทำผลงานตรงนี้ได้จะแจ้งมากกว่า

เพราะบรูโน่เป็นแม่ทัพที่จะบัญชาการเกมรุกด้วยตัวเอง เปิดเกม ทำเกม จ่ายบอล และยิงเองได้หมด จากการที่สองเกมล่าสุด บรูโน่คนเดียวมีส่วนกับ 4 ประตูของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดโดยตรง ยังไม่รวมฟอร์การเล่นในสนามที่วิ่งอย่างเต็มที่ ไล่บอลแดนสูงตลอดเวลาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

แน่นอนว่า ทั้งการเปิดเกมรุก ฟานเดอเบคก็สู้บรูโน่ไม่ได้ รวมถึง การ "เข้าแก๊ปกับปรัชญาบอลเพรสซิ่งของรังนิค" ก็สู้บรูโน่ไม่ได้อีก เพราะรายนั้นเขาวิ่งไม่มีหมดอยู่แล้ว

และตอนนี้บรูโน่ก็ไม่ได้เล่นเป็น เพลย์เมคเกอร์เบอร์ 10 แบบยุคโอเล่อีกต่อไป แต่บรูโน่ลงมาเล่นเป็น มิดฟิลด์เบอร์ 8 ในการใช้คู่ "8s" กลางสนาม ในระบบการเล่น "4-3-3" ของทีม

เมื่อเทียบกันกับมิดฟิลด์ตัวรุกโดยตรง ดอนนี่ก็ถูกขวางหน้าอยู่โดย Vice-Captain ที่จริงๆแล้วคือกัปตันแท้ของแมนยูชุดนี้อย่างบรูโน่ แฟร์นันด์สอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถแย่งตำแหน่งพี่หนวดได้เช่นกัน

คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ ถ้าเล่นแบบ "8s" แล้วนั้น ทำไมราล์ฟไม่ส่ง "บรูโน่ — ฟานเดอเบค" เล่นคู่กันไปเลย? แล้วตัวยืนต่ำก็ใช้ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์

มันก็จะเป็น combination ของ McTominay + (Bruno & VDB) ในแดนกลางสามคน

ภาพที่ควรเกิดขึ้นมากที่สุด จากการลงสนามครั้งแรกแล้วยิงได้เลยของดอนนี่ ฟานเดอเบค ในสีเสื้อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ บอกได้เลยว่า ดีแน่นอน และจะดีกว่า แม็ค เฟร็ด บรูโน่ ซะด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า ราล์ฟ รังนิค พิจารณาเป็นพิเศษในเรื่องที่ต้องการให้ทีมมีมิดฟิลด์ผึ้งงาน (Carrilero) ที่เล่น support ให้ทีมได้ด้วยการวิ่งไล่บอลแบบไม่มีหมด บีบพื้นที่คู่แข่งได้เร็วทันทีที่บอลเข้าเท้าตัว receiver ของคู่แข่ง

ซึ่งเฟร็ดทำแบบนั้นได้ดีกว่าดอนนี่ (นึกถึงการใช้กองกลางสายผึ้งงานของลิเวอร์พูลก็ได้ครับ ระบบมันใช้MFหน้าที่เดียวกัน)

นั่นแหละคือเหตุผลที่ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่า เพราะอะไร เฟร็ดถึงได้ขี่ดอนนี่ในแง่นี้

ซึ่งบอกตรงๆว่า ทีมเรามีปัญหามากๆในด้านการคอนโทรลบอล เก็บบอลกันไม่ค่อยอยู่ อย่างที่เราเห็นกันใน "ครึ่งแรก" ของเกมเจอเบรนท์ฟอร์ด ที่ยูไนเต็ดครองบอลเยอะกว่านิดหน่อยก็จริง แต่ปั้นเกมขึ้นไปสร้าง attempts ไม่ได้ เนื่องจากว่าขาดความแน่นอนในการเซ็ตบอล

ซึ่งเฟร็ดคุมบอลได้ไม่นิ่งเลย ในขณะที่ดอนนี่มอบมิตินี้ให้ทีมได้ และเขาจะทำให้ทีมเล่นกันได้เนียนและเป็นทีมเวิร์คกว่าเดิม

แต่ก็นั่นแหละ.. แมนยูไนเต็ดจะต้องจูนทีมไปเรื่อยๆเพื่อที่จะเล่นเพรสซิ่งเต็มตัวในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเล่น "Counter-pressing" ที่จะต้องใช้ "ความเร็วในการวิ่งเข้าเพรสคู่แข่งทันทีหลังจากทีมเราเสียบอล"

ประโยคนี้คือตัวตัดสินเลยว่าใครเข้าแก๊ปกับ Gegenpressing ในอนาคตมากกว่ากัน

นั่นแหละครับคือคำตอบที่ชัดเจนว่า ทำไม ราล์ฟ รังนิค ถึงไม่ส่ง ดอนนี่ ฟานเดอเบค ลงสนามก่อนเฟร็ดในตำแหน่งมิดฟิลด์เบอร์8 นั่นเอง..

3.นักเตะวัยนี้ต้องได้ลงสนามเพื่อพัฒนาการเล่น

ในประเด็นนี้ถือว่าสำคัญมากๆอีกเรื่อง ต่อเนื่องจากประเด็นข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2 เมื่อฟานเดอเบคไม่สามารถเบียดตัวจริงลงสนามได้ เนื่องจากมิติการเล่นไม่เข้ากับระบบรังนิคที่ต้องการพลังงานการเล่นของมิดฟิลด์สูงมากๆ และต้องเล่นเพรสซิ่งได้ แถมสกิลทักษะต่างๆถ้าให้เทียบมิติกันกับตำแหน่งนั้นๆ ดอนนี่ก็ยังเป็นรองมิดฟิลด์เจ้าของตำแหน่งอยู่

เรื่องการจะเบียดลงสนาม คงยากมากจริงๆ แถมยังผนวกด้วยมุมมองของทีมสตาฟฟ์ และ เฮดโค้ช ที่เห็นดอนนี่ ฟานเดอเบค ซ้อมอยู่ในสนามซ้อมอีกว่า ทีมงานพิจารณาเขาว่ายังไง ซ้อมดีพอหรือไม่ หรือยังแสดงความกระตือรือร้นและพลังงานการเล่นได้ไม่มากพอ

เขาจึงไม่ค่อยได้รับโอกาส และต้องอยู่ข้างสนามก่อนเป็นหลัก คิดว่าสิ่งนี้คงจะไม่เปลี่ยนแปลงแน่ๆแล้วเกือบ 100% คงจะหา turn point ยากที่จะให้จู่ๆ รังนิคเลือก VDB ลงสนามก่อนเฟร็ด ในขณะที่ McTominay ยิ่งแล้วใหญ่ ตอนนี้กลายเป็นโคตรแม่ทัพกองพันเหยี่ยวคนใหม่ของทีมไปแล้ว ด้วยฟอร์มการเล่นโคตรเทพที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยเล่นได้แค่ Ball-winning ตัวชนหนักตัดเกม / Box-to-Box มิดฟิลด์บ็อกซ์ทูบ็อกซ์ วิ่งเติมเกมรุก ลงมาเล่นเกมรับ

ขณะนี้ แม็คโทมิเนย์ กำลังกลายร่างเป็น "Mezzala" แบบเต็มตัว ในการเป็นแม่ทัพมิดฟิลด์สายขับเคลื่อนเกมในแดนกลาง ที่กระชากพาบอลขึ้นหน้าไปด้วยตัวเอง ซึ่งแม็คมีทั้งพลังงาน ความเร็ว ความสด แถมร่างกายก็ได้เปรียบเชิงphysicalกับมิดฟิลด์ตัวอื่นๆมาก ถ้าไม่ใหญ่พอๆกับน้องแม็คจริงๆก็เบียดมันลงยาก แข็งโป๊กขนาดนั้น

ดูทรงแล้ว การเล่นใน role นี้น่าจะเหมาะกับน้องแม็คอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อเขากำลังไปได้ดี ตำแหน่งในทีมก็ถูกจองไว้แน่ๆอีกที่หนึ่ง ซึ่งดอนนี่ ฟานเดอเบค ก็ต้องลืมไปได้เลยที่จะแย่งตำแหน่งจากแม็คโทมิเนย์ได้

น่าเสียดาย สิ่งที่เคยคาดหวังไว้ตั้งแต่แรกว่า สองคนนี้จะมาเป็น "คู่หูในแดนกลาง" กันได้อย่างดี ด้วยเคมีที่น่าจะเข้ากัน คนนึงมีพลังในการเล่นเกมรับ อีกคนหนึ่งมีความสามารถในการปั้นเกมรุก น่าจะจับคู่กันได้พอดีเหมือนยุคที่เป็น รอย คีน กับ พอล สโคลส์

คู่หูเฟรย์ซาร์ด ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

แต่สิ่งนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ๆแล้ว เพราะดอนนี่ ฟานเดอเบค ไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป..

ผู้อ่าน อ่านประโยคนี้จบแล้วใจเย็นๆก่อน อย่าเพิ่งด่าคนเขียน คนเขียนไม่ได้ไล่ VDB เหมือนหมูเหมือนหมา สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ ดอนนี่ ฟานเดอเบค ไม่ควรจะอยู่กับแมนยูต่อไป เนื่องจากว่าน้องไม่สามารถแย่งตำแหน่ง และเบียดผู้เล่นหลักลงสนามได้เลยจริงๆ

หลายๆครั้งมีโอกาสที่เขาน่าจะได้ลงสนามบ้าง โดยเฉพาะตอนที่บรูโน่ไม่อยู่ แต่ถึงกระนั้นฟานเดอเบคก็ยังไม่ได้ลงตัวจริงอยู่ดี ซึ่งนั่นน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดแล้วว่า ขนาดเป็นเช่นนั้น ยังไม่ได้ลงตัวจริง เพราะงั้นแล้ว ในมุมมองของทีมโค้ช ดอนนี่ ฟานเดอเบค คงจะต้องนั่งก้นด้านอยู่บนม้านั่งสำรองแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนจบฤดูกาล

และเวลาชีวิตของเขาก็จะสูญเปล่าไปอย่างน่าใจหาย ซึ่งพวกเรารักน้องมันมาก และจะไม่ยอมให้อนาคตนักเตะดีๆคนหนึ่งมาเสียไปเพราะเรื่องแบบนี้

อาจจะดูเป็นการเขียนที่ "ไม่นึกถึงทีม" ไปหน่อยนึง หากจะพูดว่า "อยากให้เขาได้ย้ายออกจากทีม"

เพราะการมีฟานเดอเบคอยู่กับทีม แมนยูได้ประโยชน์แน่นอนในแง่ตัวผู้เล่นสำรองฝีเท้าดีที่รอสแตนด์บายไว้ มันก็จะทำให้เรามีตัวrotationคุณภาพดี และมี Squad Depth ที่แข็งแกร่งมากๆ ซึ่งจุดนี้ดอนนี่รับประกันความเสี่ยงในแดนกลางให้ทีมเราได้เยอะ หากมีนักเตะบาดเจ็บยาวไปในช่วงเวลาที่เหลือ

ช่วงนี้มันแค่ไม่มีตัวเจ็บเท่านั้นเอง ทุกอย่างเลยดูเงียบสงบ

แต่เดี๋ยวอีกสักพัก ถ้าแม็ค หรือ เฟร็ด เจ็บยาวไปสักคนนึง .. คือไม่ต้องยาวมากหรอก แค่สัก "เดือนนึง" ก็พอ แค่นั้นก็ร้องกรี๊ดกันแล้ว บอกเลย

และแฟนผีจะได้เห็นเนมันย่า มาติช ที่วิ่งตามบอลไม่ทัน ตามไดนามิคของพรีเมียร์ลีกไม่ทัน ในยุคที่ทุกทีมแทบจะเล่นแดนกลางหนักกันหมดแล้ว

คิดสภาพเอาว่า ถ้ารอบนี้ แม็คโทมิเนย์เจ็บหนักๆ เหลือแค่เฟร็ด กับ มาติช จะเกิดอะไรขึ้น?

แต่ถึงจะแบบนั้นก็เหอะ เรารู้สึกทนไม่ได้เช่นกันที่ต้องเห็นนักเตะคนนี้มานั่งดอง ไม่มีอนาคตไปวันๆ และไม่ได้ลงสนามจนแฟนผีทุกฝ่ายเห็นใจกันอย่างมาก และเราทุกคนรู้เรื่องนี้ดี

นักฟุตบอลทุกคน สมควรได้รับการให้โอกาสลงสนาม ยิ่งตัวอายุยังน้อย ควรได้รับการพัฒนาฝีเท้าด้วยชั่วโมงบินจริงในสนามให้มากที่สุด ถึงจะพัฒนาฝีเท้าไปได้ไกล

ซึ่งดอนนี่ไม่เคยได้สิ่งนั้นเลย นับตั้งแต่มาอยู่โอลด์แทรฟฟอร์ด

ไม่ว่าจะกับโค้ชคนไหนๆ ทั้ง OGS หรือ RR เองก็ตาม มีช่วงเวลาที่เหมือนฝันเพียงแปปเดียวในระยะที่ "ไมเคิล คาร์ริค" คุมทีมเท่านั้น เหมือนฟานเดอเบคจะได้โอกาสมากเป็นพิเศษ และทำผลงานได้ดีเยี่ยมซะด้วย เหมือนตบหน้าโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังไงยังงั้น

ขอขอบคุณแฟนแมนยูที่เดินทางไปสนามเบรนท์ฟอร์ด และไปให้กำลังใจจนน้องมันรับรู้และสัมผัสได้ด้วย เพราะอย่างน้อยที่สุด นักเตะก็ได้รู้แล้วแน่ๆล่ะ ว่าแฟนผีรักเค้าขนาดไหน ไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะยินดีกับเส้นทางของเขา และดีใจที่เคยได้ใช้เวลาด้วยกันที่นี่ ถึงแม้จะสั้นมากๆ และเป็นความทรงจำที่เป็นช่วงเวลายากลำบากของเขาก็ตาม

เชื่อว่าเรื่องราวความลำบากที่เขาเจอมาอย่างเลวร้ายที่นี่ จะทำให้นักเตะคนนี้แกร่งกว่าเดิมในอนาคตแน่นอน กับการเป็นมืออาชีพขั้นสุดยอดที่ไม่เคยปริปากบ่น ยังคงตั้งใจซ้อมและมีส่วนร่วมกับทีมเหมือนเดิม อย่างที่เราเห็นกันในภาพ

เมื่อถึงวันนั้น วันที่เขาจะไม่ได้อยู่ในภาพนี้ วันที่จะไม่มีนักเตะคนนี้ในสนามซ้อมอีกต่อไป แต่อย่างน้อยเราทั้งสองฝ่าย ทั้งนักเตะและแฟนบอล ได้เคยแสดงความรักให้รับรู้ซึ่งกันและกัน

ก็ถือว่ายังมีเรื่องราวดีๆของความรักที่เกิดขึ้นระหว่างแฟนบอลกับนักเตะ ในสโมสรที่ชื่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเราแห่งนี้

ขนาดย้ายมาเหมือนตกอยู่ในขุมนรก ดอนนี่ ฟานเดอเบคก็ยังเป็นมืออาชีพ และยิ้มออกมาได้ขนาดนี้ หัวใจนายจะขนาดไหน

คำตอบสุดท้ายของบทความนี้ ไม่มีอะไรนอกจากหวังว่า "อยากจะให้เขาได้อยู่ในที่ที่เหมาะสม และมองเห็นคุณค่าที่แท้จริง" ด้วยความอึดอัด และสงสารอย่างถึงที่สุดของแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั่วทั้งโลก

ขอให้มีทีมที่เห็นฝีเท้าที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา และไม่มีโอกาสได้แสดงมันออกมาให้ใครหลายคนได้เห็น

นี่คือเพชรแท้ที่จมอยู่ใต้น้ำมานานสองปี

ถึงเวลาที่จะต้องมีใครสักคนเก็บเพชรเม็ดนี้ไปสร้างมูลค่าต่อ เพื่อให้มันได้เปล่งประกายอย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว

-ศาลาผี-

Reference

https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/man-utd-van-de-beek-22806315

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด