ช่วงเวลาบีบหัวใจ
เกมการแข่งขันนัดที่ 34 ลิเวอร์พูล บุกมาเยือน เซนต์ เจมส์ ปาร์ค สนามเหย้าของเดอะแม็กพายส์ที่กลับมามีเสน่ห์และเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังอีกครั้ง หลังจาก ไมค์ แอชลี่ย์ ขายทีมให้กับกลุ่มทุน PIF การมาถึงของ เอ็ดดี้ ฮาว ช่วยให้ทีมนี้กลับมาเล่นฟุตบอลในแบบที่ควรจะเป็นอีกครั้ง ถึงจะไม่ใช่นวัตกรรมทางลูกหนังแบบ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แต่ความเรียบง่าย เล่นไปตามขุมกำลังที่มี รีดศักยภาพของนักเตะออกมาอย่างเต็มขีด เซตเกมอย่างเป็นระบบ นี่คือสิ่งที่สโมสรแห่งนี้ขาดหายไปนานมาก ๆ ลิเวอร์พูล ยกพลมาเยือนด้วยสถิติสุดหรูก็จริง ผลงาน 14 นัดในลีกปี 2022 ทีมของ คล็อปป์ เก็บชัยชนะไป 13 เสมอแค่นัดเดียวซึ่งก็คือเกมกับ แมนฯ ซิตี้ แต่เมื่อมองลึกไปยังผลงานของเจ้าบ้าน ทีมงานหงส์รู้ดีเลยว่าเกมนี้ไม่ใช่งานง่าย เพราะสาลิกาดงเองก็เพิ่งคว้าชัยในลีกมา 4 นัดติด แถมยังเป็นการชนะแบบคลีนชีตอีก 3 นัดด้วยซ้ำ ตัวเลขตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่า นิวคาสเซิ่ล มีเกมรับที่ไม่หมูเหมือนในครึ่งฤดูกาลแรกแน่นอน ดังนั้นการที่จะหวังให้ ลิเวอร์พูล ยิงยับเพื่อทำลูกได้เสียหนี ซิตี้ นั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนทีมจากกลางสัปดาห์ถึง 5 ตำแหน่ง โดนเลือกส่ง โจ โกเมซ ลงเล่นแบ็คขวา, โจเอล มาติป ลงมาเป็นเซนเตอร์คู่กับ ฟาน ไดค์, ตรงกลางสนามใช้งาน นาบี เกอิต้า และ เจมส์ มิลเนอร์ ส่วนแดนหน้าวันนี้ให้ ดิโอโก้ โชต้า ลงตัวจริง โดยคนที่ได้พักในวันนี้คือบิ๊กเนมอย่าง โม ซาล่าห์, เทรนต์, ติอาโก้, ฟาบินโญ่ และอีกคนคือ โกนาเต้ เกมวันนี้ ลิเวอร์พูล มาเยือนในสไตล์ถนัดของตัวเองคือดันเกมสูง เข้าเพรสตั้งแต่แดนบนและพยายามกดไม่ให้เจ้าบ้านรุกมาถึงแดนหลัง การไม่มีคนคุมเกมอย่าง ติอาโก้ ทำให้จังหวะจะโคนสะดุดไปเล็กน้อยในช่วง 20 นาทีแรก เพราะตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาต้องยอมรับจริง ๆ ว่ากองกลางชาวสเปนรายนี้้เป็นคนคุมจังหวะที่ช่วยให้แดนกลางทำงานได้ราบรื่นมาโดยตลอด ฝั่ง นิวคาสเซิ่ล มีคนที่เด่นมาก ๆ คือ บรูโน่ กิมาไรส์ บทบาทของเขาแทบจะคล้ายกับ ติอาโก้ เลย เพียงแต่เพิ่มเติมเรื่องการทะลุเข้าแดนสามมากกว่า ลีลาการวางบอล แย่งบอล เซนส์การเล่นที่ค่อนข้างออกไปทางคลาสระดับยุโรป ทำให้ผมอดนึกถึง โยอันน์ กาบาย ขึ้นมานิด ๆ เลยสำหรับ บรูโน่ ลิเวอร์พูล มาได้ประตูขึ้นนำและเป็นประตูชัยในนาทีที่ 19 จาก นาบี เกอิต้า ซึ่งนี่เป็นประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีกของดาวเตะชาวกินีคนนี้ไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นการยิงในลีกมากที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับทีมในปี 2018 อีกด้วย ลิเวอร์พูล เฉือนชนะในเกมนี้โดยมีสถิติการบุกมากถึง 24 ครั้ง ตรงกรอบ 10 ไม่ตรงกรอบ 10 และถูกบล็อคแค่ 4 ขณะที่ฝั่ง นิวคาสเซิ่ล ได้ซัดตรงกรอบให้ อลีสซง ได้ออกแรงแค่ 2 ครั้ง ซึ่งทำให้ในตอนนี้พ่อหมีขึ้นนำ เอแดร์สัน ของ ซิตี้ ในเรื่องการเป็นท็อป คลีนชีต ของลีกไปแล้วที่ 20 นัด นอกจากนี้ยังอยู่ในอันดับ 2 ของผู้รักษาประตูที่มีค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์การเซฟอยู่ที่ 76.7% (อันดับหนึ่งคือ ซา ของ วูลฟ์ฯ) รูปเกมโดยรวมแม้จะลุ้นหนักเพราะเฉือนแค่เม็ดเดียว สิ่งที่กลัวคือจังหวะผีจับยัดแบบโป้งเดียว นิวคาสเซิ่ล ตีเสมอได้เลยอะไรทำนองนั้น แต่ท้ายที่สุดเกมรับของหงส์แดงก็ไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น คว้า 3 แต้มสวย ๆ ขึ้นนำฝูงชั่วคราว (ก่อนที่ ซิตี้ จะทวงคืนได้ในช่วงดึก) สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้ชัดมากขึ้นคือระบบการยืนแบบ ไฮไลน์ ดีเฟนส์ ที่เคยถูกวิจารณ์ในช่วงต้นฤดูกาลว่าไม่เวิร์ค เพราะเป็นการเปิดช่องให้คู่แข่งแทงบอลทะลุ เล่นสวนกลับแล้วเสียประตูนั้น นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา หงส์แดงกลับมีสถิติเกมรับแน่นขึ้นผิดหูผิดตา ทั้งที่ยังคงยืนในระบบเดิมที่เคยโดนตั้งคำถาม คีย์หลักผมคงต้องยกนิ้วไปที่ ฟาน ไดค์ เพราะเป็นคนที่กำหนดไลน์การยืน เป็นตัวสั่ง เป็นคนบัญชาการที่เป๊ะ ๆ ในทุกชอต คีย์รองลงมาคือความเข้าใจกันและกันของแนวรับที่เหลือ รวมถึงการทำงานหนักของกองกลางอย่าง ฟาบินโญ่ และคนอื่น ๆ ซึ่งช่วยกันสกรีนบอลตั้งแต่แดนบน จนไม่ค่อยถูกโจมตีมากนัก อย่างในเกมกับ นิวคาสเซิ่ล ผมก็ชอบความขยันของ เจมส์ มิลเนอร์ ที่วิ่งไล่บี้ไล่บดตลอด 78 นาทีที่อยู่ในสนาม มันเป็นอีกหนึ่งแท็กติกที่ คล็อปป์ วางเอาไว้คือใช้แรงงานความขยันเข้าบี้ ก่อนที่ในช่วงท้ายเกมจะปรับเอาตัวปิดเกมอย่าง ติอาโก้ ลงมา มันคือไทม์มิ่งการปิดจ็อบที่สมบูรณ์แบบ และช่วยให้เกิดมิติตรงแดนกลางอย่างเหมาะสมมาก ๆ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้หันมาโฟกัสเกมยุโรปกับ บียาร์เรอัล ต่อ ก่อนที่จะมองไปยังเกมลีกอีก 4 นัด ซึ่งคู่แข่งที่รออยู่ได้แก่ สเปอร์ส (ห), แอสตัน วิลล่า (ย), เซาธ์แฮมป์ตัน (ย) และปิดท้ายฤดูกาลในแอนฟิลด์ด้วยการเจอกับ วูลฟ์ฯ ทุกนัดต่อจากนี้เหมือนนัดชิง แต่เป็นนัดชิงที่ต้องลุ้นถึง 2 สนาม เป็นการลุ้นที่บีบหัวใจของแฟนบอลอยู่ไม่น้อยเลย ในมุมมองของผมนะ ต่อให้สุดท้ายแล้ว ซิตี้ จะไม่ยอมพลาดให้เราเลยสักนัด แต่การเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ ต่อสู้มาจนถึงจุดนี้ได้ มันก็เป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ แล้ว หากเรามองย้อนกลับไปในช่วงที่ตามหลังไกลในหลักสิบคะแนน เจอร์เก้น คล็อปป์ แอนด์โค พาทีมมาได้ขนาดนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจแล้วล่ะครับ ทุกนัดต่อจากนี้ในลีกคือกำไร และเราก็หวังว่าจะได้เฮสุดเสียงที่แอนฟิลด์ เมื่อเกมนัดที่ 38 จบลง แม้จะเป็นความหวังที่ 50-50 ก็ตาม เพราะชีวิตนี้อยู่ได้ด้วยความหวัง จริงมั้ยครับ ^^