แม้เปลี่ยนกุนซือจาก ฮันซี่ ฟลิค ที่โยกไปคุมทีมชาติเยอรมนี มาเป็น ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ แต่ "เสือใต้" ยังคงประกาศศักดาได้เช่นเดิมและเป็นอีกครั้งที่เข้าป้ายคว้าแชมป์ก่อนจบฤดูกาล
ส่วนภาพรวมทั้งหมดตลอดการแข่งขัน 8-9 เดือนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีสรุปเอาไว้ตรงนี้
เสือใต้ผงาดแชมป์ 10 สมัย
หลังทวงแชมป์คืนมาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้สำเร็จในฤดูกาล 2012/13 "เสือใต้" ก็ไม่เคยเสียถาดแชมป์อีกเลยจนถึงทำสถิติคว้าแชมป์ 10 สมัยติดต่อกันได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
นี่คือแชมป์ลีกสูงสุดสมัย 32 ของ บาเยิร์น และหากนับเฉพาะในยุคบุนเดสลีกาก็คือสมัยที่ 31 ทิ้งห่างทีมอื่นออกไปอีกเรื่อยๆ เพราะไม่มีทีมใดได้แชมป์ถึงสิบสมัยเลย
ยูเลี่ยน นาเกลส์มัน กุนซือหนุ่มวัยเพียง 34 ปี พาทีมชนะ 24 นัด เสมอ 5 นัด และแพ้ 5 นัด ยิงได้ 97 ประตู เสีย 37 ประตู เก็บได้ทั้งหมด 77 คะแนน
ถ้าเทียบกับฤดูกาลสุดท้ายของ ฮันซี่ ฟลิค ถือว่าตัวเลขใกล้เคียงกันมากที่ชนะ 24 นัด เสมอ 6 นัด แพ้ 4 นัด ยิงได้ 99 ประตู เสีย 44 ประตู และมี 78 คะแนน
ผู้ตามทำได้เพียงสลับตำแหน่ง
ส่วนรองแชมป์ในปีนี้คือ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ขยับจากอันดับ 3 จากฤดูกาลก่อนขึ้นมา ขณะที่ แอร์เบ ไลป์ซิก หล่นจากรองแชมป์ไปจบเพียงอันดับ 4 ส่วนทีมที่ได้อันดับ 3 คือ เลเวอร์คูเซ่น
ดอร์ทมุนด์ ที่มี 22 ประตูของ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ยิงได้ทั้งหมด 85 ประตู เป็นสถิติใหม่ของสโมสร เช่นเดียวกับ เลเวอร์คูเซ่น ที่ยิงทำสถิติ 78 ประตู ทว่าก็ไม่เพียงพอต่อการโค่นบัลลังก์ของ "เสือใต้"
ไลป์ซิก ทำผลงานได้ดีหลังขึ้นปี 2022 เก็บได้ถึง 36 คะแนน แต่ช่วงครึ่งฤดูกาลแรกหลุดฟอร์มมากไปหน่อยทำให้ได้เพียงลุ้นจบท็อปโฟร์ในนัดปิดฤดูกาล
โควตายุโรปรวม 8 ทีม
บาเยิร์น มิวนิค, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, เลเวอร์คูเซ่น และ แอร์เบ ไลป์ซิก ได้ตั๋วไปลุยศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า
และการคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ของ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ที่ดวลจุดโทษชนะ เรนเจอร์ส ในนัดชิงชนะเลิศ ก็ทำให้ทีมจากเยอรมันได้ไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ ลีก เพิ่มเป็น 5 ทีมในฤดูกาลหน้า
ส่วนโควตา ยูโรปา ลีก ฤดูกาลหน้าตกเป็นของ ยูเนี่ยน เบอร์ลิน และ ไฟร์บวร์ก ขณะที่อันดับ 7 โคโลญจน์ ได้สิทธิ์ไปเล่นยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก
เดิมที โควตา 2 ถ้วยเล็ก ยูโรปา ลีก และ คอนเฟอเรนซ์ ลีก มีถึงอันดับ 5 และ 6 เท่านั้น แต่จากการที่ ไฟร์บวร์ก กับ ไลป์ซิก เข้าชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โพคาล ที่จะหวดกันในวันเสาร์ที่ 22 พ.ค. นี้ โควตา จึงขยับมาถึงอันดับ 7 กลายเป็นส้มหล่นของ "แพะบ้า" ได้หวนคืนเวทียุโรปอีกครั้ง
แฟร้งค์เฟิร์ต ได้ตั๋วชปล. ในฐานะแชมป์ยูโรปา
บีเลเฟลด์ และ เฟือร์ธ กลับไปเริ่มต้นใหม่
สองทีมแรกที่ตกชั้นคือ กรอยเธอร์ เฟือร์ธ และ อาร์เมเนีย บีเลเฟลด์ ขณะที่ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ได้ลุ้นอีกเฮือกในเกมเพลย์ออฟ
กรอยเธอร์ เฟือร์ธ ราศีหม่นหมองมีแววตกชั้นมาหลายเดือนแล้ว และสุดท้ายจบฤดูกาลด้วยการแพ้ไปถึง 22 นัดจาก 34 นัด มีเพียง 18 คะแนน ส่วน บีเลเฟลด์ ได้ลุ้นถึงเดือนสุดท้าย แต่ก็ไม่รอดตกชั้นไปอีกทีม
แฮร์ธ่า เบอร์ลิน มีโอกาสรอดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ดันพลาดช่วยท้ายที่เก็บได้คะแนนเดียวจาก 3 นัด สตุ๊ตการ์ท จึงแซงไปจบอันดับ 15 ของตาราง
ในนัดปิดฤดูกาล สตุ๊ตการ์ท โกงตายยิงประตูชัยในช่วงทดเจ็บเอาชนะ โคโลญจน์ 2-1 ขณะที่ แฮร์ธ่า พ่ายต่อ ดอร์ทมุนด์ ทำให้ทั้งสองทีมมี 33 คะแนนเท่ากัน แต่เป็น "ม้าขาว" อยู่รอดเพราะประตูได้-เสียที่ดีกว่า
แฮร์ธ่า จึงต้องไปเหนื่อยในรอบเพลย์ออฟ และทำท่าว่าจะเหนื่อยกว่าที่คาดเอาไว้ด้วยเพราะนัดแรกในบ้านดันพลาดท่าแพ้ต่อ ฮัมบูร์ก 0-1 นัดสองต้องเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้จริงๆ เท่านั้นจึงจะได้โลดแล่นในบุนเดสลีกาต่อไปในฤดูกาลหน้า
เลวานดอฟสกี้ คว้าดาวซัลโวสมัยที่ 7
ตำแหน่งดาวซัลโวตกเป็นของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ อีกครั้งด้วยผลงาน 35 ประตู
หัวหอกตัวเก่งจากค่าย บาเยิร์น มิวนิค ซิวรองเท้าทองคำเป็นสมัยที่ 7 ต่อจากปี 2014, 2016, 2018, 2019, 2020 และ 2021 เป็นสถิติเทียบเท่า แกร์ด มุลเลอร์
ส่วนอันดับ 2 เป็น พาทริค ชิค จาก เลเวอร์คูเซ่น ที่ 24 ประตู ขณะที่ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ที่เพิ่งอำลา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำได้ 22 ประตู
คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ซิวแข้งยอดเยี่ยม
วัดกันที่ผลงานส่วนตัวล้วนๆ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู คู่แข่งอย่างยิ่งกับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกาฤดูกาลล่าสุด
เอ็นคุนคู พัฒนาตัวเองขึ้นอย่างมากใน 1-2 ปีหลัง และทำผลงานฤดูกาลล่าสุดได้ยอดเยี่ยมไป 20 ประตูกับอีก 13 แอสซิสต์ ซึ่ง 33 ประตูที่มีส่วนร่วมนี้ก็เป็นรอง เลวานดอฟสกี้ เพียงคนเดียว (38 ประตู)
แข้งเนื้อหอมจาก ไลป์ซิก กลายเป็นนักเตะฝรั่งเศสคนที่สองในประวัติศาสตร์ต่อจาก ฟร้องค์ ริเบรี่ ที่เคยได้รางวัลแข้งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล โดย ริเบรี่ ได้ในปี 2008
กุนซือยอดเยี่ยม : ชเตฟเฟ่น เบาม์การ์ท
จากทีมที่หนีตายได้หวุดหวิดผ่านการเพลย์ออฟในฤดูกาลที่แล้ว กลายเป็นทีมที่คว้าตั๋วไปเล่นในถ้วยยุโรปได้อีกครั้ง
ความดีความงามของ โคโลญจน์ ในฤดูกาลล่าสุดต้องยกให้กุนซือ ชเตฟเฟ่น เบาม์การ์ท อย่างแท้จริง
เบาม์การ์ท ยกระดับการเล่นของ "แพะบ้า" ขึ้นมาได้อย่างมาก พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกได้สนุก เอนเตอร์เทนแฟนบอล และได้ผลการแข่งขันที่ต้องการอีกด้วย
เกมรุกที่เคยยิงได้เพียง 34 ประตู เพิ่มเป็น 52 ประตู ส่วนเกมรับก็ดีขึ้นจากเสีย 60 ประตู มาเหลือที่ 49 ประตู และแน่นอนว่าคะแนนที่ทำได้มากกว่าถึง 19 คะแนน
กุนซือมาดเท่ที่มาพร้อมการสวมหมวกอันเป็นเอกลักษณ์จึงคว้ารางวัลกุนซือยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลไปครอง
ฤดูกาลหน้าจะเป็นอย่างไร
"เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ยังคงเป็นเต็งแชมป์เหมือนเช่นทุกฤดูกาลที่ผ่านมาต่อให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม
อย่างไรก็ตาม คำถามที่น่าสนใจคือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ยิง 238 ประตูจาก 253 นัดในบุนเดสลีกา จะค้าแข้งกับทีมต่อไปหรือไม่หลังแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนต้องการย้ายทีม ขณะที่สัญญาปัจจุบันเหลือเพียงปีเดียว
แต่ที่เสียดาวยิงตัวเก่งไปแล้วแน่นอนคือ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ปล่อย เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ไปให้ แมนฯ ซิตี้ ก่อนดึง 3 ผู้เล่นทีมชาติเยอรมนีมาแทนที่คือ คาริม อเดเยมี่, นิโก้ ชล็อตเทอร์เบ็ค และ นิคลาส ซือเล่
เลเวอร์คูเซ่น และ แอร์เบ ไลป์ซิก จะรักษาพื้นที่ท็อปโฟร์ของตัวเองเอาไว้ได้ หรือดีพอท้าทายแชมป์ การเปลี่ยนแปลงทีมในช่วงซัมเมอร์น่าจะให้คำตอบได้บ้างโดยเฉพาะ ไลป์ซิก ที่จะรั้งตัว เอ็นคุนคู เอาไว้หรือไม่เนื่องจากหลายทีมยักษ์ใหญ่กำลังจ้องตาเป็นมัน
ส่วนน้องใหม่ (หน้าเก่า) ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาแล้ว 2 ทีมคือ ชาลเก้ กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ที่ตกชั้นไปฤดูกาลเดียวก็ปีนกลับมาได้
เอ็นคุนคู จะอยู่ ไลป์ซิก ต่อหรือไม่
