:::     :::

หงส์แดง vs ราชัน...ล้างแค้น หรือ ย้ำแค้น

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เกมที่แฟนบอลทั่วโลกรอคอยกับนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เรอัล มาดริด จะมาถึงกันแล้วในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคมนี้

นี่คือสองทีมที่ทำผลงานได้สุดยอดในฤดูกาลนี้โดยเฉพาะในเวทียุโรปที่มาเจอกันนัดสุดท้ายซึ่งมีตำแหน่งแชมป์เป็นเดิมพัน

เรอัล มาดริด เพิ่งคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปน ในฤดูกาลล่าสุด เป็นการคว้าแชมป์ได้ก่อนจนฤดูกาลหลังยึดอันดับหนึ่งมานานหลายเดือน

ขณะที่ ลิเวอร์พูล แม้จะไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ก็ขับเคี่ยวไล่กดดัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนวินาทีสุดท้าย เป็นรองแชมป์ที่แม้แต่ทีมแชมป์ยังต้องยกย่อง 

พรีเมียร์ลีก เป็นเพียงรายการเดียวที่ ลิเวอร์พูล พลาดแชมป์หวุดหวิดเพราะอีกสองรายการในประเทศ พลพรรค "หงส์แดง" สามารถกวาดแชมป์มาครองได้ทั้งลีก คัพ และ เอฟเอ คัพ 

การเจอกันระหว่าง เรอัล มาดริด กับ ลิเวอร์พูล จึงเป็นบอลถูกคู่อย่างแท้จริง และมีเรื่องราวมากมายให้ต้องพูดถึง

ทั้งสองทีมเจอกันในนัดชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปเป็นครั้งที่สาม ซึ่งครั้งล่าสุดคือในเมื่อปี 2018 หรือเพิ่งผ่านมาเพียง 4 ปีเท่านั้น โดยเป็นทัพ "ราชันชุดขาว" เอาชนะไปได้ 3-1 คว้าแชมป์สมัย 13 ไปครอง รักษาสถิติมากสุดตลอดกาลต่อไป 

ความปราชัยในครั้งนั้นสร้างความคาใจให้กับแฟนบอลหงส์แดงหลายคนที่มองว่าหาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่โดน เซร์คิโอ รามอส เหนี่ยวแขนจนล้มและบาดเจ็บตั้งแต่ครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ก็มีโอกาสคว้าแชมป์ได้เช่นกัน 

หลังพลาดแชมป์ในปี 2018 เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมแก้ตัวได้ทันทีด้วยการเป็นแชมป์ในปีถัดมาที่เอาชนะ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 2-0 กลายเป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของสโมสร


เหตุการ์ที่หงส์แดงยังคงคาใจ

ผ่านมา 4 ปี เรอัล มาดริด กับ ลิเวอร์พูล มาเจอกันอีกครั้งในนัดชิงดำโดยมีหลายสิ่งหลายเปลี่ยนไป ขณะเดียวกันก็มีอีกไม่น้อยที่ไม่ได้ต่างจากเดิม  

เรอัล มาดริด เปลี่ยนกุนซือจาก ซีเนดีน ซีดาน มาเป็น คาร์โล อันเชล็อตติ ที่เรื่องประสบการณ์ไม่ต้องพูดถึงเพราะผ่านงานลีกใหญ่ยุโรปมาครบห้าลีก และได้แชมป์ลีกทั้งหมด รวมไปถึงเพดานบินสูงลิบในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 

อันเชล็อตติ มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์เป็นคนแรกที่คว้าแชมป์ยุโรปใบใหญ่ได้ 4 สมัย หลังเคยได้มาแล้ว 3 ครั้งกับ เอซี มิลาน ในปี 2003 และ 2007 รวมไปถึง เรอัล มาดริด ในปี 2014 

  กุนซือจอมเก๋าชาวอิตาเลียนพาทีมเข้าชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้มากกว่าทุกคนในประวัติศาสตร์รายการนี้ที่จำนวน 5 ครั้ง นั่นหมายความว่าเขาพลาดแชมป์ไปเพียงแค่ครั้งเดียวคือปี 2005 ที่ผู้ชนะไม่ใช่ใครอื่นหากแต่เป็น ลิเวอร์พูล นั่นเอง 

เชื่อว่าหลายคนคงไม่ลืมนัดชิงชนะเลิศที่อิสตันบูลเมื่อ 17 ปีก่อนซึ่ง ลิเวอร์พูล โกงความตายไล่ตีเสมอ 3-3 ทั้งที่โดน มิลาน นำห่าง 3-0 ก่อนเป็นฝ่ายชนะจุดโทษคว้าแชมป์ไปครองอย่างสุดเหลือเชื่อ 

ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็มีประสบการณ์ในรายการนี้ไม่น้อยเช่นกัน โดยคุมทีมเข้าชิงชนะเลิศ 4 ครั้งซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเก้าปีหลังสุดเริ่มจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปี 2013 ต่อด้วย ลิเวอร์พูล ในปี 2018, 2019 และล่าสุดในปีนี้ 

  ในส่วนขุมกำลังเมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว เรอัล มาดริด ไม่มีซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่หลังจากได้แชมป์เมื่อปี 2018 ก็ย้ายไปร่วมทีม ยูเวนตุส รวมถึงแนวรับอย่าง เซร์คิโอ รามอส และ ราฟาแอล วาราน 

แต่สามสุดยอดแดนกลางทั้ง ลูก้า โมดริช, โทนี่ โครส และ กาเซมีโร่ ยังอยู่กันครบ รวมถึงหน้าเป้า คาริม เบนเซม่า ที่มีฤดูกาลอันสุดยอดยิงไปถึง 44 ประตูจากทุกรายการ และเป็น 15 ประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก นำเป็นดาวซัลโวในเวลานี้ 

และที่กาชื่อทิ้งไม่ได้เลยคือ แกเร็ธ เบล สตาร์ทีมชาติเวลส์ที่แม้บทบาทกับทีมแทบไม่มีในช่วงหลัง แต่ผลงานในอดีตที่เคยยิง ลิเวอร์พูล 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศ 4 ปีก่อน และแรงกระตุ้นในการลงสนามนัดสุดท้ายให้ทัพราชัน ก็อาจเป็น "ไพ่เด็ด" ที่ อันเชล็อตติ พร้อมหยิบออกมาใช้งานได้เช่นกัน 


เบนเซม่า ตัวอันตรายที่ ลิเวอร์พูล ต้องระวังให้ดี

ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล มีขุมกำลังที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ลอริส คาริอุส ที่เคยพลาดเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เปลี่ยนเป็น อาลีสซง เบ็คเกอร์ ที่เหนียวหนึบกว่าหลายเท่า 

ส่วนแดนกลางมี ฟาบินโญ่ เข้ามาเสริมหลังได้แชมป์เมื่อปี 2019 รวมถึง ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่ทำให้การออกบอลหลากหลายมากขึ้น ขณะที่แนวรุกยังสามารถรั้งตัวหลักเอาไว้ได้ไม่ว่าจะเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แถมเพิ่มความสมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย ดิโอโก้ โชต้า และ หลุยส์ ดิอาซ 

ในเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ เรอัล มาดริด ปราบทีมแกร่ง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่มีสตาร์ดัง เมสซี่, เนย์มาร์ และ เอ็มบั๊ปเป้ มาได้ รวมถึงคู่ชิงชนะเลิศในปีที่แล้วทั้ง เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ 

ลิเวอร์พูล อาจไม่หนักเท่า เรอัล มาดริด เพราะได้เจอ เบนฟิก้า และ บียาร์เรอัล ในสองรอบที่ผ่านมา แต่การที่คู่แข่งเข้าถึงรอบดังกล่าวได้ก็แสดงว่าไม่ธรรมดาและ "หงส์แดง" ควรได้รับเครดิตเช่นกัน 

จุดแข็งของทั้งสองทีมคือเรื่องประสบการณ์โดยเฉพาะ เรอัล มาดริด ที่แกนหลักหลายคนผ่านเกมใหญ่มาโชกโชน บางคนได้แชมป์รายการนี้ถึง 4 สมัย 

ทัพราชันชุดขาว มีจิตวิญญาณนักสู้เต็มเปี่ยมและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเขาพลิกสถานการณ์ในช่วงท้ายเกมได้หลายต่อหลายนัดโดยเฉพาะในรอบน็อกเอาต์ที่ทำให้ เปแอสเช, เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ ฝันร้ายมาแล้ว 

ส่วน ลิเวอร์พูล ชุดนี้ก็อยู่ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาหลายปี ผ่านการฟูมฟักและยกระดับความแข็งแกร่งมาต่อเนื่อง นักเตะส่วนใหญ่ที่ดึงมาร่วมทีมล้วนตอบโจทย์และปรับตัวเข้ากับระบบของ คล็อปป์ ได้อย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ "หงส์แดง" ยังคงบินสูงและได้ลุ้นแชมป์ยุโรปอีกครั้ง 

เรียกได้ว่าการเจอกันระหว่าง เรอัล มาดริด กับ ลิเวอร์พูล จะเป็นเกมที่แฟนบอลห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง และทุกคนจะได้คำตอบพร้อมกันในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคมนี้่

ลิเวอร์พูล "ล้างแค้น" ได้หรือสำเร็จ หรือ เรอัล มาดริด "ย้ำแค้น" ได้อีกครั้ง


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด