:::     :::

1 ปีจากนี้ "มาโน" จะปรุงแต่ง "ช้างศึก" อย่างไร

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2565 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
650
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ผลการแพ้ อุซเบกิสถาน 0-2 ในเกมสุดท้ายของ ทีมชาติไทย ในเอเชียน คัพ 2023 รอบคัดเลือก แม้ว่าไม่มีผลอะไรแล้ว เนื่องจากทัพ "ช้างศึก" ผ่านเข้ารอบสุดท้ายก่อนแข่งขันไปก่อนหน้านั้นเรียบร้อยแล้ว

และเมื่อจบเกมการปราชัยหนนี้ ทีมชาติไทย ต้องไปรอลุ้นผลการจับฉลากแบ่งสายรอบสุดท้ายที่มี 24 ทีม ที่จะแบ่งการแข่งขันเป็น 6 กลุ่ม ๆละ 4 ทีม ซึ่งตามกฏที่มีการวางเอาไว้ ก็คือ ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกโซนเอเชียรอบ 12 ทีมจะถูกจัดเป็นทีมวาง  

ขณะที่ทีมจากรอบคัดเลือก เอเซียน คัพ 2023 รอบสาม จะถูกจัดวางตามอันดับแรงกิ้งฟีฟ่า และทีมชาติไทยต้องตกไปอยู่ในโถที่4 แน่นอนว่าเรามีโอกาสที่จะเจอกับยอดทีมของทวีป และเวลาที่เหลือถือเป็นบทพิสูจน์ของ มาโน โพลกิ้ง ว่า จะสามารถปรับปรุงทีมให้กลมกล่อมขึ้นมาได้อย่างไร 


 เพราะจากผลงานในเกมที่แพ้ อุซเบกิสถาน 0-2 เห็นชัดว่าการเล่นของ “ช้างศึก” ยังห่างกับทีมท็อป 90 ของโลกอย่างแท้จริง ทั้งการต่อบอลที่ขาดๆ เกินๆ หรือการโดนเพรสซิ่งเร็วแล้วเสียบอลอย่างง่ายดาย ยังไม่รวมการเข้าทำที่แทบจะนับครั้งได้ด้วยซ้ำ 

เหนือสิ่งใดหลายคนก็ยังไม่เข้าใจว่า การปรับทัพของกุนซือชาวเยอรมันเชื้อสายบราซิล นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ เพราะในเกมสุดท้ายเลือกส่ง ชญาวัต ศรีนาวงษ์ กัปตันทีมสมุทรปราการซิตี้ ลงตัวจริงครั้งแรกให้กับชุดใหญ่ แทนที่จะเป็น ธีรศิลป์ แดงดา หัวหอกตัวหลัก 

จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ การเสีย 2 ประตู ที่รวดเร็วในครึ่งแรก อาจจะมองได้ชัดเจนมากๆว่า “ช้างศึก”ไม่สามารถขึ้นเกมรุก หรือแก้เพรสซิ่งเร็วได้เลย มิหนำซ้ำยังโดนเทคนิคแพรวพราวของผู้เล่น อุซเบกิสถาน หลอกล่อซะจนหัวหมุนอยู่หลายครั้ง


ไหนจะครึ่งหลังมราแก้เกมด้วยการถอด ธีราทร บุญมาทัน ออกไป ทั้งๆที่เล่นเด่นสุดๆ ใน 45 นาทีแรก ทำให้การจ่ายบอลแบบทะลุทะลวงลดน้อยลงไป ยังดีที่ พรรษา เหมวิบูลย์ ช่วยเกมรับไว้ได้ในหลายๆ จังหวะ

แนวรับจาก “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ดวลกับ กับ เอลดอร์  โชมูโรดอฟ หัวหอกจาก โรม่า ได้ดี สามารถเข้าสกัดบอลจากเท้า และบล็อกลูกยิงด้วยเตะชุดแชมป์ยูฟ่า ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก เอาไว้ในจังหวะที่เกือบจะได้ล่อเป้า


เกมจบลงท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากแฟนบอล ซึ่งต้องยอมรับว่านี่คือเกมที่เราสู้ทีมระดับเอเชียไม่ได้เลยจริงๆ ซึ่ง มาโน โพลกิ้ง กุนซือใหญ่ของทีม พูดเอาไว้ในการให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า "เป้าหมายที่ชัดเจนของเราคือการเข้ารอบสุดท้าย ซึ่งเราทำสำเร็จไปแล้วก่อนถึงเกมนี้ ซึ่งเราจะนำข้อผิดพลาดไปพัฒนาต่อไป โดยในปีหน้าเราจะได้ผู้เล่นหลักๆ 12 คน กลับมาที่จะช่วยให้แข็งแกร่งกว่าเดิม" 

"เราไม่อยากนำเรื่องเวลาการเตรียมทีมที่น้อยมาเป็นข้อแก้ตัว แต่จากนี้เราต้องนั่งคุยกันทุกฝ่ายเพื่อหาทางให้มีเวลาเตรียมทีมที่ดี แก้ไข และวางแผนที่ดีเพื่ออนาคตของทีมชาติไทย ซึ่งเรายังมีเวลา หวังว่า ปีหน้าเราจะแก้ไขให้ดีกว่าเดิมที่จะเจอทีมที่แข็งแกร่งกว่าเราในเอเชียน คัพ ปีหน้า" 


แม้ ทีมชาติไทย จะสามารถผ่านเข้ารอบสุดท้าย เอเชียน คัพ เป็นครั้งที่ 8 ในประวัติศาสตร์ ต่อจาก ปี 1972, 1992, 1996, 2000, 2004, 2007 และ 2019 แต่จากการได้เห็นเกมกับ อุซเบกิสถาน ซึ่งไม่ใช่ทีมที่ผ่านเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียด้วยซ้ำ เรายังมีหลายจุดที่ต้องปรับปรุงให้วุ่นเหมือนกัน 

ต้องมาดูกันว่า 1 ปีนับจากนี้ไป ทัพ “ช้างศึก” จะสามารถต่อกรกับทีมระดับเอเชียได้ดีกว่านี้ หรือจะต้องกลับมาวนเวียนกับวลีปลอบใจด้วยคำว่าเป้าหมายของเราคือการ "ก้าวข้ามอาเซียน” ครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนเดิมอีกหรือไม่


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด