5 ประเด็นเด็ดเกมหงส์เจ๊าฟูแล่ม
1) ไลน์อัพเดิม เพิ่มเติมคือพ่อหมีคัมแบ็ค
ลิเวอร์พูล ใช้ 11 ตัวจริงชุดเดียวกับเกมที่ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ในเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ สัปดาห์ก่อน โดยที่เปลี่ยนแปลงแค่ตำแหน่งผู้รักษาประตู ซึ่ง อลีสซง เบคเกอร์ กลับมายืนตัวจริงแทน อาเดรียน ในเกมนี้ แบ็คโฟร์ใช้ชุดเดิมนั่นก็คือ เทรนต์, มาติป, ฟาน ไดค์ และ ร็อบโบ้ ส่วนแดนกลาง 3 คนเป็น ติอาโก้, ฟาบินโญ่ และ เฮนโด้ ตัวรุก 3 คนเลือกใช้ หลุยส์ ดิอาซ, โม ซาล่าห์ และ ฟีร์มิโน่ โดยที่ ดาร์วิน นูนเญซ ยังคงเริ่มต้นจากการเป็นสำรองเหมือนเคย ลิเวอร์พูล ยังคงใช้ระบบ 4-3-3 ตามถนัด ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็น 4-2-3-1 อย่างที่สื่อต่าง ๆ คาดการณ์กันตอนปิดฤดูกาลแต่อย่างใด ในเกมนี้ต้องบอกว่าทีมเล่นได้ผิดฟอร์มไปเยอะ การเพรสซิ่งไม่ได้ดุดันมากเท่าที่ควร ส่วนทางด้าน ฟูแล่ม วางเกมแพลนมาได้ดีและเป๊ะทุกจุด อีกทั้งยิ่งพอได้ประตูนำเร็ว ยิ่งทำให้เกมแพลนของพวกเขาออกมาสมบูรณ์แบบมากขึ้น จนหงส์แดงหาช่องเข้าทำยากมาก ๆ 2) แดนกลางกับปัญหาอาการบาดเจ็บที่น่ากังวล เกมนี้ ติอาโก้ อัลคันทาร่า ได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง ส่งผลให้ในเวลานี้ ลิเวอร์พูล มีนักเตะกองกลางที่เข้าโรงหมอไปแล้วถึง 4 คนด้วยกัน ไล่ตั้งแต่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เคอร์ติส โจนส์, นาบี เกอิต้า และ ติอาโก้ เป็นรายล่าสุด ซึ่งยังคงต้องรอเช็คอาการว่าจะกลับมาลงสนามได้อีกทีตอนไหน มิดฟิลด์ที่เหลือในมือตอนนี้คือ เฮนโด้, ฟาบินโญ่ เป็นตัวยืน นอกจากนี้มี ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ กับ เจมส์ มิลเนอร์ คอยสอดแทรกลงสนาม ส่วนในรายของ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ นั้น ต้องรอดูกันว่า คล็อปป์ มองเอาไว้ว่าควรเล่นในบทบาทใดของทีม ซึ่งจากอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นของกองกลางหงส์แดงเวลานี้ ทำให้แฟน ๆ บางส่วนเริ่มเรียกร้องให้เสริมทัพเพิ่มกันบ้างแล้ว แต่ดูเหมือนว่า คล็อปป์ เองจะไม่เห็นด้วย และไม่ยอมเร่งซื้อเพิ่มแน่นอน แต่อาจจะใช้งานนักเตะเท่าที่มีอยู่ รวมถึงอย่าลืมว่าสามารถขยับ เทรนต์ มาเล่นตรงกลางได้ด้วยเช่นเดียวกัน 3) อิมแพคต์ของ นูนเญซ ดาร์วิน นูนเญซ ใช้เวลาในสีเสื้อของ ลิเวอร์พูล บนเกมอย่างเป็นทางการเพียงแค่ 71 นาทีเท่านั่นนะครับ สำหรับการทำ 2 ประตูจาก 2 นัดติดต่อกัน แถมยังมีส่วนร่วมต่อการได้ประตูอีกถึง 2 ลูกอีกด้วย ในเกมกับ ซิตี้ ทาง นูนเญซ เรียกจุดโทษให้ทีมพร้อมกับโหม่งประตูฝัง 3-1 ขณะที่ในเกมกับ ฟูแล่ม เขาลงมายิงตีเสมอด้วยลูกไขว้แบบสุดสวย อีกทั้งยังแอสซิสต์ให้ ซาล่าห์ ทำประตูตีเสมอได้อีกต่างหาก ต้องยอมรับเลยว่าการมีเขาอยู่ในสนามนั้น ช่วยสร้างมิติใหม่ ๆ ในเกมรุกให้กับหงส์แดงมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกโด่ง การพักบอล การดึงตัวประกบรวมถึงยังเต็มไปด้วยสัญชาตญาณของนักล่าประตูที่เก่งกาจมาก ๆ เชื่อว่าในเกมต่อไป คล็อปป์ คงจะส่ง นูนเญซ เป็นตัวจริงได้แล้ว หลังจากพิสูจน์คุณภาพของตัวเองให้เห็นถึง 2 นัดติด ๆ กันเลย 4) ซาล่าห์ สร้้างสถิติต่อเนื่อง โม ซาล่าห์ ทำสถิติใหม่ ๆ อีกครั้งด้วยการเป็นนักเตะของ ลิเวอร์พูล ที่ยิงในเกมนัดแรกของพรีเมียร์ลีกได้ถึง 6 ฤดูกาลติดต่อกัน โดยนับตั้งแต่ย้ายจาก โรม่า มาอยู่กับทีม เขาทำประตูในนัดแรกของลีกได้ทุกปี 2017 ⚽ v วัดฟอร์ด 2018 ⚽ v เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2019 ⚽ v นอริช ซิตี้ 2020 ⚽⚽⚽ v ลีดส์ ยูไนเต็ด 2021 ⚽ v นอริช ซิตี้ 2022 ⚽ v ฟูแล่ม ซึ่งสถิติดังกล่าว นอหจากจะเป็นสถิติที่ยิงได้ยาวนานที่สุด 6 ฤดูกาลติดต่อกันสำหรับ ลิเวอร์พูล แล้ว ยังเป็นสถิติสูงที่สุดของพรีเมียร์ลีกอีกด้วย 5) เกมรับอาจต้องเร่งแก้ไข ปีนี้ ลิเวอร์พูล เสริมทัพเข้าตามาก ๆ ในเกมรุก แต่เรื่องเกมรับเองยังคงเป็นปัญหาที่ต้องตามมาแก้ไขในฤดูกาลนี้ หลังจากเสียไปแล้ว 3 ประตูจาก 2 นัดในเกมอย่างเป็นทางการ ซึ่งรายละเอียดในเกมเราจะเห็นได้ชัดเลยว่ากำแพงสีแดงเริ่มมีปัญหาบ้างเล็กน้อย ฟาน ไดค์ ยังคงเล่นได้ดีเหมือนทุกปีก็จริง แต่ในเกมกับ ฟูแล่ม ก็เสียท่าให้กับ มิโตรวิช ไปไม่น้อย แถมยังดูเหมือนว่ารูโหว่จากการเติมเกมขึ้นสูงของแบ็คทั้งสองข้าง ยังคงเป็นปัญหาที่ทีมต้องเร่งแก้ไขเช่นกัน ข้อดีจากเกมกับ ฟูแล่ม คือ ลิเวอร์พูล สามารถเก็บแต้มได้ และเป็นแต้มที่ 115 หากนับเฉพาะเกมที่เสียประตูก่อนในพรีเมียร์ลีกยุคของ คล็อปป์ ถือว่าเป็นทีมที่แพ้ยากมากทีมนึง อีกทั้งการเสียจุดโทษในเกมกับ ฟูแล่ม ยังเป็นการเสียจุดโทษในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 51 นัด ซึ่งในปีนี้ต้องบอกเลยว่าหากไม่เร่งแก้ไขปัญหาในเกมรับ บางทีอาจเหนื่อยหนักมาก ๆ สำหรับการลุ้นแชมป์ในบั้นปลายเลยก็เป็นได้