โดยดาวเตะวัย 24 ปี ถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรองนาทีที่ 68 และใช้เวลาอยู่ในสนาม 4 นาที ก่อนจะหลุดกับดับล้ำหน้า ไปจ่ายบอลถวายพานให้ “เรียวตะ อาโอกิ” วิ่งเข้ามาตะบันด้วยขวา ส่งบอลพุ่งเสียบเสาไกลอย่างงดงาม เป็นประตูให้ทีมออกนำ 5-0 

นอกจากนี้ผลงานในสนาม 22 นาทีของ “สุภโชค” ล้วนสร้างประโยชน์กับทีมไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความแม่นยำในการผ่านบอล 9 ครั้ง สำเร็จถึง 8 นับเป็น 89% เลยทีเดียว

รวมไปถึงการสัมผัสบอล 15 ครั้ง เลี้ยงบอล 3 ครั้ง ผ่านคู่แข่ง 3 ครั้ง คิดเป็น 100% ชนะการดวลบนพื้น 4 ครั้ง ชนะ 4 ครั้ง คิดเป็น 100% 

ซึ่งหลังเกม “เช็ก” เผยว่าการฝึกซ้อมอย่างหนักของตัวเอง ทำให้เขาสร้างผลงานได้โดดเด่นแบบนี้

หากปรับจูนให้เข้ากับระบบที่ “โค้ชมิช่า” มิไฮโล เปโตรวิช” ต้องการ โอกาสลงสนามคงมีเพิ่มมากขึ้นแน่ๆ 

เพราะเขามีฝีเท้าที่ดี มีความเร็ว ความคล่อง และจบสกอร์ได้ดีอยู่แล้ว แบบนี้เรียกว่าอนาคตสดใสรออยู่

ส่วนน้องชายอย่าง “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา เองก็ถูกพูดถึงเยอะเหมือนกัน 

จากฟอร์มสุดสะเด่าในเกม “ไดกิ้น ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์คัพ” ที่ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” โดน “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” เผาเครื่องไป 2-3 

เกมดังกล่าว “ศุภณัฏฐ์” ได้รับความไว้ใจจาก “มาซาทาดิ อิชิอิ” กุนซือให้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงในตำแหน่งปีกซ้ายในระบบ 4-4-2

หลังจากไปอัพเลเวลที่บนแผ่นดินผู้ดีกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เพียง 1 เดือน หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนละคน 

หัวหอกความหวังใหม่ของทีมชาติไทย มีจังหวะออกตัวดีขึ้น กล้าเล่นมากขึ้น ร่างกายดูหนาขึ้นเหมือนนักเตะยุโรป 

สามารถเผาเครื่องแบ็คขวาอย่าง “เจสซี่ เคอร์เรน” หรือคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ “กัสซิโอ ไชด์” กับ “อิรฟาน ฟานดี้” หลายจังหวะ 

แม้ไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่บอกเลยว่าเขาฉายแววความเก่งกาจ และสัญชาตญาณยอดดาวยิงออกมาให้เห็นแล้ว  

หากไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวน โอกาสที่จะยึดตัวจริงทั้งตำแหน่งปีกหรือกองหน้า มีมากกว่าเดิมแน่นอน 

อยู่ที่ตัวเขาแล้วว่าจะคว้าโอกาสมาได้มากแค่ไหน ถ้าระเบิดฟอร์มเทพออกมาได้รับรองว่า “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” จะมีเกมรุกที่น่าสะพรึงกว่าเดิม

ที่สำคัญยังเป็นการเสริมกระดูกให้เจ้าตัวพร้อมออกไปหาความท้าทายในต่างแดนในอนาคตด้วย 

เรียกว่านี่เป็นเวลาพิสูจน์ฝีเท้าของ “ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา” อย่างแท้จริง