สำหรับ ซน ฮึง มิน ดาวเตะสเปอร์ส ล่าสุด เขาจัดการกระหน่ำแฮตทริก พาต้นสังกัดเปิดบ้านเอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 6-2 ทั้งที่ถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรอง ในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย ถือเป็นการคลายความกดดัน จากการที่ไม่สามารถผลิตสกอร์ได้ ตั้งแต่เปิดฤดูกาลเป็นต้นมา
ช่วงนี้ เราลองไปย้อนความทรงจำ เกี่ยวกับเส้นทางลูกหนังของเขากันหน่อย โดยลองดูกันว่า การเป็นนักฟุตบอลสายเลือดเอเชีย ที่รวบรวมความกล้า และความอดทน ในการย้ายมาเล่นลีกยุโรป ตั้งแต่อายุยังน้อย ต้องฝ่าฟันอุปสรรคอะไรมาบ้าง ?
“ผมจะเลือกเล่นในศึกเคลีก ก็ได้ ..... แต่ยุโรปคือความฝัน”
ซน ฮึง มิน ออกมาย้อนความทรงจำ สมัยออกมาผจญภัยบนแผ่นดินยุโรป ตั้งแต่อายุยังน้อย สวนทางกับความคิดของเด็กรุ่นเดียวกัน ที่มักคิดว่าการเริ่มต้นในลีกบ้านเกิดที่ประเทศเกาหลีใต้ คือสิ่งที่ควรจะเป็น ก่อนกรุยทางสู่ลีกที่ใหญ่กว่า
“ย้อนกลับไปวัยเด็ก คุณพ่อเป็นคนฝึกสอนการเล่นฟุตบอลให้ผม” เขาเริ่มเล่า “เราฝึกซ้อมกันทุกวัน เฉลี่ยแล้ววันละ 2 ครั้ง โดยปกติแล้ว ท่านจะสอนเรื่องการใช้เทคนิคต่างๆ รวมถึงการเล่นฟุตบอลด้วยเท้าทั้ง 2 ข้าง”
“สำหรับผมแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยล่ะ คุณพ่อไม่เคยปล่อยให้ผมพลาดการฝึกซ้อมเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ท่านเป็นคนรู้เรื่องฟุตบอลเยอะมาก การฝึกจึงเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม คุณไม่สามารถเป็นผู้เล่นที่ดีได้เลย หากไม่ผ่านการฝึกในเรื่องเล็กๆน้อยๆ รวมถึงการฝึกพื้นฐานที่จำเป็น แบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ในวัยเพียง 16 ปี ซน ฮึง มิน พกพาสิ่งที่คุณพ่อสั่งสอน พร้อมกับเดิมพันกับโชคชะตา ออกมาเล่นฟุตบอลอีกซีกโลกเป็นครั้งแรก ด้วยการเป็นเด็กเยาวชนของฮัมบูร์ก สภาพแวดล้อม และวัฒนธรรมแบบใหม่ ทำให้เขาต้องรีบปรับตัว และเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็วยิ่งขึ้น
เรื่องราวที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนคือ ฮัมบูร์ก เคยไม่ยื่นสัญญาฉบับใหม่ ทำให้เขาต้องดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อรักษาความฝันตัวเอง ในการเล่นฟุตบอลยุโรปต่อไป แม้ว่าการกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ลีกบ้านเกิด จะเป็นทางออกที่ดี ทำให้ค้นพบกับโซนปลอดภัยของชีวิตก็ตาม
ซน ฮึง มิน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ตอนนั้น สัญญาของผมกับทีมเยาวชนฮัมบูร์ก รุ่นยู-17 เหลือเพียงปีเดียว ช่วงท้ายฤดูกาล ผมยังไม่ได้รับการต่อสัญญาฉบับใหม่ อย่างไรก็ตาม ผมอยากเล่นในยุโรปมาก ผมคิดว่า หากตัดสินใจกลับบ้านเกิด ผมจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว”
“ดังนั้น ผมจึงตระเวนออกไปทดสอบฝีเท้าอีก 2-3 แห่ง เริ่มจากการไปทดลองกับโบคุ่ม สโมสรที่โลดแล่นอยู่ในบุนเดสลีกา ในเวลานั้น นอกจากนี้ ผมยังออกเดินทางไปประเทศอังกฤษ เพื่อขอทดสอบฝีเท้ากับทีมอย่างพอร์ทสมัธ และแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส”
แน่นอนว่า สโมสรที่เขาไล่เรียงมาทั้งหมด ไม่มีทีมไหนเลยที่ตอบรับให้ร่วมทีม ส่วนหนึ่งมองว่า ฝีเท้าของเขายังคงดีไม่เพียงพอ และไม่น่าเอาตัวรอดกับทีมได้ แต่ผลสุดท้าย ความไม่ยอมแพ้เริ่มผลิดอกออกผล นำมาซึ่งจุดเปลี่ยนที่พลิกชีวิตคนหนึ่งคนไปตลอดกาล
“เหตุการณ์หลังจากนั้น ผมเดินทางไปเล่นศึกฟุตบอลโลก รุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี พร้อมกับทำผลงานได้ค่อนข้างดี ” เขาเล่าจุดเปลี่ยนสำคัญ จากการพาทีมชาติเกาหลีใต้ ทะลุเข้าไปเล่นถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว และผลงานส่วนตัวที่ยิง 3 ประตู
“ทันใดนั้น ฮัมบูร์ก ทำการยื่นสัญญาฉบับใหม่มาให้ผม ตอนนั้น ผมมีโอกาสไปลองเล่นที่อังกฤษ อีกครั้ง แต่ด้วยความที่ผมยังพูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้เลย รวมถึงความยากในการเริ่มต้นใหม่ ทำให้ผมตัดสินใจกลับมาเล่นที่ฮัมบูร์ก”
ผลสุดท้าย ซน ฮึง มิน สามารถก้าวมาเล่นทีมชุดใหญ่ของ “สิงห์เหนือ” ก่อนจะทุบสถิตินักเตะค่าตัวแพงสุดของไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ตามด้วยนักเตะเอเชียที่ค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์ เมื่อย้ายมาร่วมทีมสเปอร์ส ..... ทั้งหมด เกิดจากความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในครั้งนั้น
“อย่างที่ผมบอกไป ผมเลือกเล่นในบ้านเกิดก็ได้ เพราะศึกเคลีก ถือเป็นลีกที่ดี” เขากล่าวต่อ “ความจริงแล้ว ตอนนั้นผมยังเด็กมาก แต่ผมอยากทำความฝันให้กลายมาเป็นความจริง”
“สำหรับนักฟุตบอลแล้ว ยุโรปคือสถานที่ที่คุณต้องการจะไป เพื่อลงแข่งขันกับบรรดาผู้เล่น และสโมสรที่ดีที่สุดในโลก ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนเลย ที่ผมสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินใจของตัวเอง”
เขากล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีเพื่อนนอกวงการฟุตบอล หากผมตัดสินใจเล่นในลีกบ้านเกิด ที่เกาหลีใต้, ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะกับคนนอกวงการลูกหนังเลย นั่นเพราะผมฝึกซ้อมตลอดเวลา เมื่อผมย้ายมาเล่นที่เยอรมัน มันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป”
“ตอนที่ผมอยู่อะคาเดมี่ของฮัมบูร์ก ผมมักออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนร่วมทีม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็เหมือนเดิมมาตลอด คุณสามารถพูดได้เลยว่า ผู้คนที่ผมรู้จัก คือนักเตะ หรือกลุ่มคนที่ทำงานในแวดวงฟุตบอล แต่ผมไม่สนใจเรื่องนี้มากเท่าไหร่ มีคนที่น่าสนใจมากมายที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล”
ซน ฮึง มิน กล่าวทิ้งท้าย
