:::     :::

"กูไม่ใช่เด็กอีกแล้วโว้ย!"

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ชัยชนะล่าสุดเหนือ ลิเวอร์พูล ไม่ใช่เพียงส่งให้ อาร์เซน่อล กลับไปรั้งจ่าฝูงอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นชัยชนะให้เห็นว่าปืนใหญ่เติบโตขึ้นมาก ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว

ก่อนถึงนัดล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อาร์เซน่อล มีสภาพไม่ต่างจากเด็กน้อยเมื่อต้องเจอกับ ลิเวอร์พูล เป็นบอลคนละเกรดสู้กันไม่ได้ต่อให้มีความพยายามแค่ไหนก็ตาม 

การเจอกัน 13 นัดหลังสุดในลีก หงส์แดงเก็บชัยชนะได้สบาย 8 นัด ปล่อยให้ปืนใหญ่ได้เฮเพียงครั้งเดียว 

ใน 13 นัดที่ว่านี้ ทีมดังจากแอนฟิลด์เจาะตาข่ายได้รวม 39 ประตู เฉลี่ย 3 ประตูต่อนัด และไม่เคยมีนัดไหนที่ยิงไม่ได้เลย 

ไล่เรียงลงไปในรายบุคคล แนวรุกลิเวอร์พูลล้วนมีสถิติดีงามในการเจออาร์เซน่อล ไล่ตั้งแต่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ยิงได้ 9 ประตู ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ดิโอโก้ โชต้า (รวมสมัยเล่นให้ วูล์ฟส์ ด้วย) ก็ทำไปคนละ 8 ประตู 

เรียกได้ว่า ลิเวอร์พูล ในยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ คือ "ฝันร้าย" สำหรับ อาร์เซน่อล อย่างแท้จริง 

แต่ในการเจอกันครั้งล่าสุด อาร์เซน่อล ไม่ปล่อยโอกาสทองหลุดมือกับสถานการณ์หลายอย่างที่ต่างไปจากเดิม

ผลงานฤดูกาลนี้ดีกว่าชัดเจน มิเกล อาร์เตต้า พาทีมชนะได้ 9 จาก 10 นัดหลังสุดในทุกรายการ ความพร้อมก่อนเกม และความมั่นใจมาเต็ม บวกกับความได้เปรียบจากการเล่นในบ้าน และตัวหลักหลายคนได้พักในเกมยุโรป  

ปัจจัยแทบทุกอย่างยกเว้นสถิติการเจอกันที่ผ่านมาล้วนอยู่ฝั่ง อาร์เซน่อล  


ประตูแรกมาเร็วตั้งแต่ 58 วินาทีแรก

อาร์เตต้า มีเซอร์ไพรส์ไม่ต่างจาก คล็อปป์ ในการจัด 11 ตัวจริงเพราะเลือกให้ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ โยกไปเล่นแบ็กซ้าย ขณะที่ คีแรน เทียร์นีย์ ที่ก่อนเกมถูกคาดหมายว่าจะได้เล่นแทนตัวเจ็บอย่าง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ เป็นเพียงสำรอง

ส่วน คล็อปป์ ยึดแนวรุก 4 คนลงพร้อมกันหลังทดลองใช้ได้ผลในเกมยุโรปที่ชนะ เรนเจอร์ส 2-0 เราจึงได้เห็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก้ โชต้า, ดาร์วิน นูนเญซ และ หลุยส์ ดิอาซ ออกสตาร์ทร่วมกันตั้งแต่นาทีแรก ส่วน ฟีร์มีโน่ รอโอกาสข้างสนาม

สิ่งที่โค้ชทุกคนบนโลกต้องการโดยเฉพาะเกมใหญ่แบบนี้คือการเริ่มต้นให้ดี และเป็น อาร์เซน่อล ที่ทำได้และทำได้ดีมากกับการขึ้นนำเร็วตั้งแต่เข็มนาฬิกายังเดินไปไม่ครบหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ

จังหวะบุกครั้งทำได้เฉียบคมสุดๆ บูคาโย่ ซาก้า ขึ้นบอลฝั่งขวาก่อนจ่ายเข้ากลางให้ มาร์ติน โอเดการ์ด ไหลเข้าช่องระหว่างเซนเตอร์กับแบ็กขวาให้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ วิ่งสอดเข้าไปซัดผ่าน อาลีสซง เบ็คเกอร์ ตุงตาข่าย

นี่คือครั้งแรกในรอบมากกว่าสองปีที่ อาร์เซน่อล ยิง ลิเวอร์พูล ในลีกได้ มันเกิดขึ้นเร็วมากตั้งแต่ 58 วินาทีของเกม

แต่หลังจากได้ประตูออกนำ อาร์เซน่อล ยังไม่สามารถคอนโทรลเกมได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ลิเวอร์พูล พยายามตอบโต้ในทุกจังหวะ โม ซาลาห์ ไหลให้ นูนเญซ ส่องเต็มข้อติดเซฟ อารอน แรมส์เดล ที่อีกจังหวะได้ออกแรงลูกสกัดเข้ากรอบประตูตัวเองของ วิลเลี่ยม ซาลีบา  

หงส์แดงต่อบอลบนพื้นสลับกับหยอดโด่งเพื่อข้ามแนวรับ ทำให้แดนกลางปืนใหญ่ที่มี โธมัส ปาร์เตย์ กับ กรานิต ชาก้า เป็นหัวใจสำคัญไม่ได้เล่นในเกมของตัวเองอย่างต่อเนื่อง


มาร์ติเนลลี่ เจาะฝั่งขวาหงส์แดงก่อนนำไปสู่ประตู 2-1

ลิเวอร์พูล ตามตีเสมอจนได้จากจังหวะที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ตักโด่งไปหน้าเขตโทษ กาเบรียล มากัลเญซ สกัดไม่ดี หลุยส์ ดิอาซ ฉีกตามไปเล่นฝั่งขวาก่อนเปิดเข้ากลางที่ นูนเญซ วิ่งสลับเข้าข้างในพอดีจึงได้ชาร์จจ่อๆ ตุงตาข่าย

ในฤดูกาลที่ผลงานโดยรวมน่าผิดหวัง เกมรุกของหงส์แดงยังคงมีพิษสงและอันตรายเสมอ การเข้าทำไม่ได้ซับซ้อนอะไรแต่ทำประตูได้ 

หงส์แดงเหมือนได้ใจ เปิดเกมรุกมากขึ้นหวังยิงแซงประตูนำให้ได้ซึ่งทำให้แนวรับลอยสูงในช่วงทดเจ็บก่อนโดน อาร์เซน่อล โต้กลับจนเสียประตู 

กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ แผลงฤทธิ์อีกแล้ว เขาโจมตีพื้นที่เดิมทางฝั่งขวา ลิเวอร์พูล ที่เป็นจุดอ่อนอย่างมากในฤดูกาลนี้ 

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน วิ่งลงทันไปช่วย เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แต่ มาร์ติเนลลี่ ล็อกจังหวะเดียวเจอพื้นที่โล่งก่อนเปิดไปหน้าประตู กาเบรียล มากัลเญส ข้ามหลอกปล่อยบอลเลยไปถึง ซาก้า ล้มตัวจิ้มง่ายๆ เข้าไป 

ลิเวอร์พูล ครองมากมากกว่าที่ 62 เปอร์เซ็นต์ แต่ อาร์เซน่อล เฉียบคมกว่าและได้ประตูในช่วงเวลาสุดสำคัญในนาทีแรกและทดเจ็บ 

ช่วงพักครึ่ง ลิเวอร์พูล ถอด เทรนท์ ที่เจ็บด้วย ผลงานไม่ดีด้วยออกไปแล้วส่ง โจ โกเมซ มาเล่นแบ็กขวาแทน โดยที่ท้ายครึ่งแรก หลุยส์ ดิอาซ ก็เป็นอีกคนที่เจ็บและมี ฟีร์มีโน่ รับช่วงต่อ 

หงส์แดง สกอร์ตามหลังและจำเป็นต้องเปลี่ยนตัว 2 คน ทว่ารีสตาร์ทเกมได้ 8 นาทีกลับตามตีเสมอได้ในจังหวะเข้าทำง่ายๆ โชต้า แทงบอลเข้าเขตโทษให้ ฟีร์มีโน่ ตามไปตวัดยิงด้วยซ้ายส่งบอลเข้าเสาไกลสุดแม่นยำ

แต่ อาร์เซน่อล ไม่เสียสมาธิ พวกเขาค่อยๆ คอนโทรลเกมอย่างใจเย็น โธมัส ปาร์เตย์ เริ่มคุมเกมได้มากขึ้น สามารถปล่อยบอลสั้นยาวให้ทีมได้ แดนกลางเริ่มตกเป็นของ อาร์เซน่อล 


"โทมิ" โยกไปเล่นแบ็กซ้ายก่อนจัดการ ซาลาห์ อยู่หมัด

แนวรุกหงส์แดงทำอะไรไม่ได้ถนัดนัก โม ซาลาห์ แทบไม่ผ่าน โทมิยาสึ ขณะที่อีกฝั่ง ซาลีบา ก็คอยตามซ้อน เบน ไวท์ ได้ดีขึ้นในการรับมือ โชต้า 

คล็อปป์ จึงต้องแก้เกมส่ง ฟาบินโญ่ ลงมาช่วยแดนกลาง และถอด ซาลาห์ ออกไปพักพร้อมกลับไปใช้ระบบเดิม 4-3-3 อีกคนที่เปลี่ยนเป็นตามตำแหน่ง อิบราฮิม่า โกนาเต้ ลงแทน โฌแอล มาติป ที่หมดพลังงานไปไม่น้อยในการวิ่งไล่ตามแนวรุกอาร์เซน่อล 

ลิเวอร์พูล ไม่ได้โอกาสลุ้นยิงอีกเลยหลังทำประตูตีเสมอ 2-2 จนกระทั่งมาโดนจุดโทษก่อนเข้าสู่ 15 นาทีสุดท้าย ติอาโก้ อัลกันตาร่า เตะกว่า กาเบรียล เชซุส ไปนิดเดียวจึงกลายเป็นเตะหัวหอกบราซิเลียนในเขตโทษ บูคาโย่ ซาก้า รับหน้าที่สังหารไม่พลาดซัดผ่านมือ อาลีสซง อีกครั้ง 

ประตูนี้ทำให้สถานการณ์ตกเป็นของ อาร์เซน่อล มากยิ่งขึ้น มิเกล อาร์เตต้า เปลี่ยนตัวคนแรกคือการเปลี่ยนเพื่อปิดเกมที่ส่ง เทียร์นีย์ ลงมาช่วยเกมรับและถอด โอเดการ์ด ออกไป 

แนวรุกหงส์เหลือน้อยคนตั้งแต่ ซาลาห์ ถูกถอดออกไป ส่วนคนที่พลังล้นเหลือ มีลูกฮึดช่วยทีมตลอดอย่าง ดิอาซ ก็ออกจากสนามตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก ที่เหลือจึงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับแนวรับปืนใหญ่ที่ปรับเป็นหลังห้าในช่วงสิบนาทีสุดท้าย

สถิติครึ่งหลังต่างจากครึ่งแรกชัดเจน อาร์เซน่อล ได้ยิงเพิ่มจาก 3 เป็น 8 ครั้ง ส่วน ลิเวอร์พูล เหลือเพียง 3 ครั้ง (ครึ่งแรก 5 ) และเข้ากรอบครั้งเดียวซึ่งก็คือประตูของ ฟีร์มีโน่ 

อาร์เซน่อล ปลดล็อกเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ เป็นชัยชนะที่มีสำคัญมากต่อ มิเกล อาร์เตต้า เพราะได้ผ่านอีกบททดสอบของฤดูกาลนี้ 

สัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่เอาชนะ สเปอร์ส ในนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ สำคัญเช่นกัน แต่ช่วงหลังที่เจอกันก็บ้านใครบ้านมัน แพ้ชนะกันได้เสมอ 


ชัยชนะสุดสำคัญที่ทำให้กลับไปรั้งฝูงสำเร็จ

แต่การเจอ ลิเวอร์พูล คือเกมที่ชี้วัดพัฒนาการของ อาร์เซน่อล ได้ดีมาก มันไม่ใช่แค่เรื่องของผลการแข่งขัน แต่รวมถึงสภาพจิตใจด้วย หลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้มัก "ถอดใจเร็ว" เจอยิง 2-3 ลูกตั้งแต่ครึ่งแรกก็ไปแล้ว แทบจะโยนผ้าขาวทันที 

ครั้งนี้เจอไล่ตามตีเสมอสองครั้ง แต่ทรงบอลไม่เสีย ยิ่งครึ่งหลังยิ่งทำได้ดีขึ้น สามารถเล่นงานเกมรับลิเวอร์พูลจนต้องสาดทิ้งมั่วซั่ว และได้ชัยชนะที่คู่ควรแม้ในหลายจังหวะจะมีชอตกังขาอยู่เพียบทั้งบอลโดนมือ มากัลเญส หรือจุดโทษที่ได้

แต่ท้ายที่สุด อาร์เซน่อล ก็ทำได้ พวกเขาเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในวันที่ควรต้องชนะ ไม่ใช่โดนรังแกครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนเดิม พวกเขาเติบโตขึ้นกว่าเดิมมาก

เป็นชัยชนะที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า "กูไม่ใช่เด็กอีกแล้วโว้ยยยย!!!"


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด