ด้วยวัยเพียง 21 ปี สำหรับ โรดริโก้ พร้อมกับเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จมาครอบครอง ปัจจุบัน เขาผ่านการคว้าแชมป์รายการสำคัญกับทีม ไม่ว่าจะเป็นลาลีกา,ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ แน่นอนว่า ด้วยวัยที่น้อยขนาดนี้ ยังเหลือเวลาในเส้นทางลูกหนังอีกเยอะเลย
ช่วงนี้ เราลองไปทำความรู้จักกับเขากันหน่อยว่า กว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ เขาต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง ?
“ผมไม่อยากถูกเปรียบเทียบว่า ผมจะเป็นเนย์มาร์ คนต่อไป”
โรดริโก้ คือเด็กจากรัฐเซา เปาโล, ประเทศบราซิล เกิดในครอบครัวนักกีฬา พ่อของเขาเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพ ที่ลงเล่นกับหลายทีมในลีกรองของประเทศ และต้องตระเวนไปแข่งขันตามพื้นที่ต่างๆ โดยความห่างไกล ทำให้เขารู้สึกเสียใจทุกครั้งที่ต้องห่างกับพ่อ
“พ่อของผมเคยเป็นนักฟุตบอล เขาต้องอยู่กับสโมสรบ่อยๆ และต้องออกเดินทางหลายครั้ง” โรดริโก้ เล่าต่อ “นั่นเป็นเรื่องปกติของนักเตะ กระนั้น มันคือปัญหาใหญ่ของผม ผมร้องไห้เพราะเรื่องนั้นเสมอ เพราะบางครั้ง ผมกับพ่อต้องอยู่ห่างกันคนละเมือง แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน มันก็ช่วยให้ผมกลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”
“ส่วนคุณแม่ อาจจะไม่ได้ถูกพูดถึงบ่อยนัก แต่ท่านมีความสำคัญ ซึ่งอาจมากกว่าพ่อด้วยซ้ำ ครอบครัวมีความหมายต่อผมมาก นี่คือพื้นฐานของผม ครอบครัวคือคนที่คอยสนับสนุน และพร้อมไปกับผมในทุกที่ .... ขณะที่ช่วงเวลาวัยเด็ก ผมมักใช้เวลาทั้งวัน เพื่อไปโรงเรียน และเล่นฟุตบอลที่นั่น ผมเล่นฟุตบอลเสมอ รวมถึงพวกซ่อนแอบ และกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ”
กระทั่งอายุ 10 ขวบ โรดริโก้ ตบเท้าเข้าสู่อะคาเดมี่ของซานโต๊ส ช่วงเริ่มแรก เขาเพาะบ่มฝีเท้า ด้วยการเล่นฟุตซอล จนพรสวรรค์ค่อยๆแง้มออกมา เพียงไม่นาน เขาเริ่มถูกขนานนามว่า “นิว เนย์มาร์” รุ่นพี่ที่แจ้งเกิดกับสโมสรแห่งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันตามมาด้วยความกดดันอย่างมหาศาลเช่นกัน
“เรากำลังพูดถึงเนย์มาร์ กันอยู่นะ !!” โรดริโก้ กล่าวต่อ “ทุกอย่างที่เนย์มาร์ ลงมือทำ ถือเป็นบุคคลต้นแบบเลย ส่วนตัวผมอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ดังนั้น การถูกนำไปเปรียบเทียบกับเขา จึงเป็นเรื่องยาก ในแง่มุมหนึ่ง มันอาจเป็นเรื่องดี เพราะหมายความว่า ผมกำลังทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยม และแสดงให้เห็นถึงบางอย่างในสนามแข่งขัน แต่อีกแง่มุม มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร ในการถูกนำไปเปรียบเทียบกับนักเตะขวัญใจคนนี้”
“ผมพูดเสมอว่า ผมอยากหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบนี้ มันถือเป็นความกดดันที่ไม่จำเป็นเลย ผมไม่ต้องการถูกเปรียบเทียบ ไม่ว่ากับใครก็ตาม อย่างไรก็ตาม การพูดถึงกันภายนอกสนาม ไม่ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นในสนามของผม”
ในวัย 16 ปี 300 วัน โรดริโก้ ประเดิมการลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของซานโต๊ส เป็นครั้งแรก ก่อนจะก้าวมาเป็นนักเตะตัวหลักได้อย่างน่าชื่นชม จนฝีเท้าของเขา เข้าไปกระตุกความสนใจของบรรดาสโมสรดังทั่วทวีปยุโรป
ช่วงปี 2018 เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ในวงการลูกหนัง กลายเป็นทีมที่ทุ่มเงินกว่า 45 ล้านยูโร คว้าตัวโรดริโก้ มาร่วมทีม โดยเขาเดินทางมาถึงที่เมืองหลวงของสเปน ในฤดูกาล 2019-20 พร้อมกับถูกคาดหมายว่า จะก้าวมาเป็นกำลังหลักของ “เรอัล มาดริด กาสติญ่า” ทีมสำรองที่โลดแล่นในระดับดิวิชั่น 3 ของลีกแดนกระทิงดุ
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้น เมื่อสองดาวเตะในแนวรุกอย่างเอเด็น อาซาร์ กับลูก้า โยวิช มีปัญหาเรื่องของสภาพร่างกาย และฟอร์มการเล่นตามลำดับ ทำให้กุนซือในเวลานั้นอย่างซีเนอดีน ซีดาน ผลักดันเขาขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ของ “ราชันชุดขาว” ก่อนใช้เวลา 93 วินาที ประเดิมประตู ในเกมแรกกับเรอัล มาดริด ที่เจอกับโอซาซูน่า
“เปเล่, เนย์มาร์ และโรบินโญ่ มีความหมายต่อตัวผม” เขาเอ่ยถึง 3 ตำนาน ที่เติบโตมากับสโมสรซานโต๊ส “สำหรับเนย์มาร์ นี่คือคนที่ผมติดตามผลงานมากที่สุด กระนั้น ผมก็มีโอกาสได้พบหน้าทั้ง 3 คนที่ว่ามา”
“ก่อนย้ายมาเรอัล มาดริด ผมไปบ้านของเปเล่ และได้รับพรมา เขาบอกกับผมว่า -จงอย่าหวาดกลัวอะไร- ผมนำคำพูดนี้ติดตัวไปเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ทั้งการเล่นกับเรอัล มาดริด รวมถึงทีมชาติบราซิล เปเล่ บอกผมว่าอย่าเป็นกังวล เล่นฟุตบอลตามแบบฉบับของตัวเอง นั่นเป็นสิ่งสำคัญต่อผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่ผมเริ่มต้นกับเรอัล มาดริด”
อาจกล่าวได้ว่า โรดริโก้ คือหนึ่งในดาวรุ่งอายุน้อย ที่ถูกซื้อมาเล่นในถิ่นซานติอาโก้ เบอนาเบว เพื่อช่วยให้ซีดาน สร้างขุนพล “กาลาคติกอส” รุ่นใหม่ขึ้นมา ช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เขาก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิล ชุดใหญ่ ทำให้เขาเติบใหญ่ขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
“นั่นคือความฝันที่ยิ่งใหญ่ของเด็กบราซิเลี่ยน ทุกคน ในการสวมเครื่องแบบทีมชาติบราซิล มันเหมือนความฝันที่กลายมาเป็นความจริง ผมหวังว่าจะติดทีมชาติบ่อยขึ้น ผมจะทำงานหนักกับเรอัล มาดริด เพื่อก้าวไปติดทีมชาติให้มากที่สุด”
“การติดทีมชาติ คือความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฐานะนักเตะคนหนึ่ง และเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะผมกลายเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่น บางครั้ง พวกเขาอยากเลียนแบบในสิ่งที่ผมทำ”
นี่คือแนวความคิดของดาวเตะวัยเพียง 21 ปี ที่ตระหนักดีถึงแรงกระเพื่อมที่นักเตะคนหนึ่งสามารถมีต่อนักฟุตบอลอายุน้อย คำพูดเหล่านี้กำลังบอกอะไรเราบางอย่าง นั่นคือเขาพร้อมออกจากร่มเงาของไอดอล เพื่อมาสร้างรอยเท้าเป็นของตัวเอง
ไม่ต้องเป็นเปเล่, ไม่ต้องเป็นโรบินโญ่ และไม่ต้องเป็นเนย์มาร์ ... เป็นแค่ตัวของตัวเองที่ชื่อว่า “โรดริโก้”
