:::     :::

ความทรงจำสีแดงกับ "ไมเคิ่ล คาร์ริค"

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2565 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
3,230
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ถือเป็นกองกลางประเภทปิดทองหลังพระ

สำหรับไมเคิ่ล คาร์ริค  อดีตดาวเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เล่นกับทัพปีศาจแดงระหว่างปี 2006-2018 พร้อมกับเก็บเกี่ยวความสำเร็จอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรป้า ลีก และสโมสรโลก อีกอย่างละ 1 สมัย  


แน่นอนว่า การย้ายจากสเปอร์ส มาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยต้องอาศัยการปรับตัวพอสมควร โดยเฉพาะของแนวทางการเล่น ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ท่ามกลางเพื่อนร่วมทีมระดับซูเปอร์สตาร์ เขามีวิธีการปรับตัวอย่างไร เราลองไปย้อนความทรงจำกัน 

ย้อนเวลากลับไปปี 2006 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจดึงตัวคาร์ริค มาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมกับมอบเสื้อหมายเลข 16 เป็นการสานต่อจากอดีตกัปตันฮาร์ดแมนอย่างรอย คีน ท่ามกลางบุคลิกภาพที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว หากว่าคีโน่ เปรียบเหมือนภูเขาไฟที่สุดร้อนแรง คาร์ริค ก็เปรียบเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่แสนเยือกเย็น


แม้ว่าสไตล์การเล่นจะแตกต่างจากเจ้าของเบอร์เสื้อคนเก่า คาร์ริค ตั้งหน้าตั้งตา และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน โดยช่วยให้แดนกลางของพลพรรค "ปีศาจแดง" เกิดความสมดุล ด้วยการกำหนดจังหวะเกมของเขา ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขากลายเป็นฟันเฟืองตัวเล็ก ที่สามารถขยับทีมให้เดินไปข้างหน้าได้ แม้ว่าหลายคนจะมอบคำนิยามให้เขาว่า "ผึ้งงาน" ก็ตามที


แม้ว่าคาร์ริค จะดูเหมือนกองกลางที่รักษาฟอร์มการเล่นเอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ และดูเหมือนไม่มีอะไรมากดดันเขาได้ ทว่าหนึ่งสิ่งที่เขาต้องพยายามผลักดันตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มอบแรงกระตุ้นให้เขาอยู่ตลอด นั่นคือสิ่งที่เขาไม่มีวันลืม 

คาร์ริค ออกมาย้อนความทรงจำ สมัยสวมเครื่องแบบของปีศาจแดง ว่าผมต้องขอบคุณพระเจ้าเบย ผมไม่ค่อยโดนป๋าด่าเท่าไหร่ เพราะมันเป็นอะไรที่หนักหน่วงมาก" เขาเล่าถึงไดร์เป่าผมอันลือลั่นของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


"อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งที่ผมโดนด่าอย่างหนักเหมือนกัน" เขากล่าวต่อ "มันเกิดขึ้นในการแข่งขันที่โยโกฮาม่า เกมนั้น เราต้องเจอกับ แอลดียู กีโต้ สโมสรจากประเทศเอกวาดอร์ ในศึกชิงแชมป์สโมสรโลก รอบชิงชนะเลิศ เมื่อเรากลับเข้าห้องแต่งตัวในช่วงพักครึ่ง ป๋าใส่หนักต่อหน้าผมเลย เกี่ยวกับเรื่องการผ่านบอลของผม ป๋าตะโกนใส่ผมว่า -ส่งบอลขึ้นหน้า ส่งบอลไปข้างหน้าซิโว้ย !!-"


"ย้อนกลับไปในครึ่งแรก ผมผ่านบอลขึ้นหน้าเสมอ เว้นเพียงครั้งเดียวที่ผมส่งคืนหลังให้กับริโอ เฟอร์ดินานด์ เพราะผมมองว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งความตั้งใจของผมคือ ส่งคืนหลังไปให้กับริโอ เพื่อตั้งเกมบุกขึ้นมาใหม่เท่านั้นเอง"


"เมื่อป๋าเห็นจังหวะนั้น ป๋าเลยโมโห และบอกว่า -ฉันบอกให้นายส่งบอลไปข้างหน้าไง !!- ป๋าโกรธมากเลยล่ะ คุณทำได้เพียงให้ป๋าได้ระบาย และปลดปล่อยบางอย่างออกมา"


"ผมทำได้เพียงแค่พยักหน้าตอบรับ พร้อมกับแอบซ่อนความโกรธของตัวเองเอาไว้ ผมพูดกับตัวเองในใจว่า -ผมส่งบอลขึ้นหน้าไปประมาณ 40 ครั้งได้แล้วมั้ง แต่ป๋ากลับมามองแค่จังหวะที่ผมส่งกลับหลังเพียงแค่ครั้งเดียวเนี่ยนะ !?- ผมยอมรับว่า ผมไม่กล้าปกป้องตัวเองกับป๋าด้วยซ้ำไป"

คาร์ริค กล่าวต่อว่า ”-นรกแตก มันรุนแรงเกินไปมั้ย ?- เสียงใครสักคนพูดขึ้นมา ระหว่างที่เราจะกลับไปลงสนามอีกครั้ง แม้โดนด่าอย่างหนัก แต่ป๋าก็ไม่เปลี่ยนตัวผมออกจากสนาม ป๋าไม่ชอบทำแบบนั้นเท่าไหร่หรอก เพราะป๋าชอบให้โอกาสผู้เล่นได้แสดงออกถึงการตอบสนอง ผมจึงคิดว่าผมต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง"


"กระทั่งช่วงต้นครึ่งหลัง เนมานย่า วิดิช โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม !! (นาที 49) แต่เราก็ทำสำเร็จ และสามารถเอาชนะแอลดียู กีโต้ 1-0 จากประตูของเวย์น รูนี่ย์"


"ซึ่งจุดเริ่มต้นของประตูชัย มันก็มาจากการที่ผมผ่านบอลขึ้นหน้าไปให้กับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก่อนจ่ายต่อให้กับรูนี่ย์ ซัดเข้าไป" คาร์ริค ทิ้งท้าย 


จากจังหวะนั้น ทำให้เขานึกถึงคำสอนของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พร้อมกับเข้าใจแล้วว่า การผ่านบอลเพียงจังหวะเดียว สามารถตัดสินเกมได้เลย

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด