:::     :::

"ระเบิดไฮโดรเจนของ CR7" และการยกเลิกสัญญาที่ไม่ง่าย

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
3,011
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระเบิดของโรนัลโด้มีพลังงานมหาศาลและสั่นสะเทือนหน้าข่าวของวงการฟุตบอลอย่างมาก แม้เราจะปฏิเสธยังไงแต่มันก็หนีไม่พ้นอยู่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ส่วนหนึ่ง แต่ปัญหาคือ "ทางออก" ของเรื่องนี้มันจบลงได้ง่ายๆแค่การยกเลิกสัญญากันแล้วจบได้ง่ายเลยหรือไม่ บทความนี้มีมุมมองจากฝ่ายกฎหมายการกีฬาของต่างประเทศมาอธิบายให้ฟังว่า กระบวนการ และสิ่งที่ต้องคิด มีอะไรบ้าง และสโมสรกับโด้ ใครจะชนะ.. หรือแพ้กันทั้งคู่?

หลังจากที่ได้มีบทสัมภาษณ์แบบเต็มออกมาครบทั้งสองพาร์ทของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่พูดคุยกับ เพียร์ซ มอร์แกน ออกมาครบถ้วนกระบวนความเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเช้าวันนี้ ล่าสุดทางสโมสร Manchester United ได้ออกแถลงการณ์ต่อเรื่องราวนี้ว่า

"เช้านี้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้มีการเริ่มต้นดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเหมาะสมต่อการให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับสื่อของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ สโมสรจะยังไม่แสดงความคิดเห็นใดเพิ่มเติมจนกว่าการดำเนินการนี้จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน"

ซึ่งก็มีรายงานข่าวตามมาทันทีจากสื่อหลักๆอีกสองแห่ง ตามรายละเอียดที่เพิ่มเติมขึ้นมาซึ่งต้องรอความชัดเจนกันต่อไป จากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือต่างสำนักกัน เริ่มตั้งแต่รายงานจาก Chris Wheeler [Daily Mail : Tier 3] กล่าวว่า

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะพ้นสภาพนักเตะทันทีเนื่องจากละเมิดข้อสัญญากับทางแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยจะสูญเงินค่าเหนื่อยราว 16 ล้านปอนด์ หลังจากทที่สโมสรตัดสินใจว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์กลับมาลงเล่นที่นี่อีกแล้ว ขณะที่เพื่อนร่วมทีมต่างก็รู้สึกสับสนต่อตัวเขา

โดยทางยูไนเต็ดไม่ต้องการจะจ่ายค่าชดใช้ได้ๆทั้งสิ้นให้กับโรนัลโด้หลังจากฉีกสัญญาฉบับนี้ เนื่องจากสิ่งที่ทำมันคือการไม่เคารพต่อสโมสรแห่งนี้ (เนื้อข่าวใช้คำว่า disloyalty อาจจะแปลได้ว่า เขาไม่ซื่อสัตย์ ไม่จงรักภักดีแล้ว ก็ได้)

โดยบอร์ดบริหารตระกูลเกลเซอร์, ริชาร์ด อาร์โนลด์, จอห์น เมอร์โทต์ และก็ เอริค เทน ฮาก มองว่าคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่มีทางใดที่จะกลับมาลงเล่นที่นี่อีกต่อไปแล้ว

[@ChrisWheelerDM]


ภาพรวมจากข่าวของนักข่าวระดับเทียร์3 ก็ฟังหูไว้หูก่อน แต่ก็มีมูลอยู่บ้าง ซึ่งก็คงจะไม่พ้นไปจากนี้คือ จะเป็นการ Terminate a contract เลยทันที แมนยูจะไม่จ่ายค่าจ้างส่วนที่เหลืออีกครึ่งปีข้างหน้าแน่นอน และจะไม่จ่ายค่าชดเชยด้วยเพราะถือว่าเป็นการกระทำที่แสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์กับสโมสรนายจ้าง

คราวนี้มาดูรายงานจากระดับ "Tier 1" กันบ้าง เริ่มตั้งแต่ James Ducker ของ The Telegraph รายงานว่า ยูไนเต็ดนั้นไม่ต้องการให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กลับมาที่นี่อีกแล้วหลังฟุตบอลโลก และเขาทำให้ตัวเองกลายเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาของที่สโมสรและที่แคริงตัน

รายงานจากบทความฉบับยาวของวงในสายแมนยูอย่าง Laurie Whitwell จาก The Telegraph [tier 1] และบทความจาก The Athletic (ไปอ่านต้นทางภาษาอังกฤษกันได้ในref.ด้านล่างสุดนะครับ)

มีบทวิเคราะห์ในเชิงกฎหมายกีฬา และ Process ของการดำเนินการ ได้กล่าวถึงประเด็นนี้เช่นกันว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้นกำลังดูความเป็นไปได้ที่จะยกเลิกสัญญาของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ หลังจากบทสัมภาษณ์ของเขากับเพียร์ซ มอร์แกน โดยจะต้องมีการพูดคุยกับ "ทนายความ" เกี่ยวกับการดำเนินการทางกฎหมาย

สโมสรจะดำเนินการพิจารณาทางกฎหมายกับโรนัลโด้ในเรื่องที่เขาได้ทำกระทำการ "ละเมิดข้อสัญญา" ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ดีลข้อผูกมัดในสัญญาปัจจุบันของดาวเตะฝอยทองรายนี้ ถูกยกเลิกและมีผลทันที

โดย คริสเตียโน่ หรือ นาย"โด้ มาเดร่า" โรนัลโด้ ในวัย 37 ปีได้ทำการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในบทสัมภาษณ์ของเขาที่กล่าวว่านายจ้างทรยศต่อเขา กล่าวหาเฮดโค้ชอย่างเอริค เทน ฮาก รวมถึงผู้บริหารเบื้องบนของสโมสร

และยูไนเต็ดออกแถลงการณ์เบื้องต้นไปแล้วอย่างที่ทราบกัน

นักฟุตบอลทุกๆคนนั้นปกติแล้วสัญญากับสโมสรก็จะผูกมัดกันกับทางพรีเมียร์ลีกด้วย ซึ่งในข้อตกลงนั้นพวกเขามีข้อบังคับว่าจะต้อง "ปฏิบัติตัวและดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับทางกฎหมายทุกประการกับต้นสังกัด" และไม่ได้รับอนุญาตที่จะ "เขียน หรือ พูดสิ่งใดๆก็ตามที่จะนำพาไปสู่การทำให้สโมสรเสียชื่อเสียง หรือสร้างความเสียหายใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น"

ในการนี้ ทางยูไนเต็ดจะต้องระบุให้ได้ว่าโรนัลโด้นั้นละเมิดข้อใดในสัญญา เพื่อนำมาพิจารณาว่าผลลัพธ์การดำเนินการข้อใดที่สามารถบังคับใช้ได้ (จากการออกมาพูดแสดงความเห็นดังกล่าวที่เราได้เห็นกัน)

โดยนับตั้งแต่การกลับมาที่นี่อีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว กับสัญญาสองปีที่มีออฟชั่นขยายเพิ่มไปอีกหนึ่งปีเต็ม ขณะนี้ตัวสัญญาเขาจะหมดในเดือนสิงหาคมปี 2023 ซึ่งก็ตีไปได้เลยว่าออฟชั่นขยายสัญญาคงจะไม่เกิดขึ้นแล้ว

หากว่าโรนัลโด้ได้รับการพิจารณาว่ามีการกระทำที่ละเมิดข้อสัญญาจริงๆ สโมสรสามารถจัดการฉีกข้อตกลงกับเขาได้เลย (Contract Termination) ซึ่งโด้นั้นได้พูดว่าเขานั้น "รู้สึกถูกหักหลัง" (felt betrayed) โดยสโมสร ในสัมภาษณ์กับมอร์แกน และถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์หัวเดอะซัน

นอกจากนี้เขายังเพิ่มเติมอีกว่า เขานั้นรู้สึกว่าถูกบีบให้ออกจากยูไนเต็ดด้วยประโยคที่ว่า "ไม่ใช่เพียงแค่โค้ช(เอริค เทน ฮาก) ยังมีคนอื่นอีกสองสามคนอีกด้วยที่บีบให้เขาออก" และเขาก็พูดว่า "ผมรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง"

"ผมรู้สึกนะว่า บางคนไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่ และไม่ได้เพิ่งจะมีปีนี้ด้วย ตั้งแต่ปีก่อนแล้ว"

โรนัลโด้ก็พูดถึงประเด็นความสัมพันธ์กันเทน ฮาก ด้วยข้อความว่า "ผมไม่เคารพเขานะ เพราะเขาก็ไม่ได้แสดงความเคารพต่อผมเช่นกัน เพราะถ้าคุณไม่เคารพผม ผมก็จะไม่มีทางเคารพคุณแน่นอน"

โรนัลโด้ยังพูดถึงอดีตผู้จัดการทีมชั่วคราวอย่าง ราล์ฟ รังนิค ตอนที่รับงานอยู่กับสโมสรหลังจากที่โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ถูกปลดออกจากทีมเมื่อฤดูกาลก่อน ซึ่งเทรนเนอร์ชาวเยอรมันประสบความสำเร็จในการเป็นผู้อำนวยการฟุตบอล แต่ว่าเขาไม่ได้คุมทีมมาเป็นเวลากว่าสองปีแล้วก่อนที่จะตกลงมารับงานที่ยูไนเต็ดเมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว และโดนโรนัลโด้คอมเม้นในสัมภาษณ์นี้ว่า

"ถ้าคุณไม่ได้แม้แต่กระทั่งเป็นโค้ชมา แล้วคุณจะมาเป็นหัวหน้าที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ยังไง ผมไม่ได้ยินเรื่องของเขาเลย"

โรนัลโด้บอกยูไนเต็ดว่าเขาต้องการย้ายออกจากทีมในซัมเมอร์นี้ที่ผ่านมาหากสโมสรได้รับข้อเสนอที่เหมาะสม แต่ก็ไม่มีการยื่นข้อเสนอใดๆที่น่าพอใจเข้ามาเกี่ยวกับกองหน้ารายนี้

ยังมีกรณีที่เขาถูกวิจารณ์จากผู้จัดการทีม ในกรณีที่ย้อนไปช่วงสิงหาคมในแมตช์ปรีซีซั่นที่เขาได้กลับไปก่อนเกมกระชับมิตรกับราโย่บาเญกาโน่จะแข่งจบ ซึ่งเจ้าตัวถูกเปลี่ยนออกช่วงครึ่งหลังของโปรแกรมอุ่นเครื่องนี้ และถูกจับภาพได้ว่าออกไปนอกสนามก่อนเกมจะจบจริงๆ

จนเคสเมื่อเดือนที่แล้ว เจ้าตัวก็ปฏิเสธการลงสนามมาเป็นตัวสำรองในช่วงท้ายเกมที่ทีมเอาชนะท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ จากนั้นเขาก็ถูกตัดชื่อออกจากทีมทันทีในแมตช์ต่อมาที่เจอกับเชลซีช่วงสุดสัปดาห์ และต้องไปซ้อมเดี่ยวอยู่หนึ่งวีคก่อนที่จะกลับมาเป็นไลน์อัพของทีมอีกครั้งในเกมเอาชนะเชริฟ 3-0 บนถ้วยยูโรปาลีก

และแน่นอนว่า เกมสุดท้ายก่อนพักฟุตบอลโลก เขาก็ไม่อยู่กับทีมที่แมนยูไนเต็ดบุกไปชนะฟูแล่มมา 1-2 จากประตูชัยท้ายเกมของการ์นาโช่ ด้วยเหตุผลที่รู้กันบนหน้าฟีดข่าวว่าเจ้าตัวมีอาการป่วยเลยไม่มีชื่ออยู่ในทีม

ฤดูกาลนี้โรนัลโด้ประสบปัญหาในการทำประตูอย่างมาก ยิงได้เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้นจากการลงสนามพรีเมียร์ลีก 10 นัดในฤดูกาลนี้ แต่ในฟุตบอลยุโรป เขาคือตัวแปรสำคัญที่ได้ลงตัวจริงทุกนัดในถ้วยยูโรปาลีก ทั้งหกเกมโด้เป็น Starting XI หมด และทำประตูไปทั้งสิ้น 2 ลูก กับอีก 2 แอสซิสต์

พรีเมียร์ลีก เขาได้ลงตัวจริงไปแค่ 4 เกมเท่านั้น และแมนยูไนเต็ดจบภารกิจฟุตบอลลีกเอาไว้ด้วยการรักษาอันดับ 5 ในตาราง

ต้องบอกว่าสัมภาษณ์ครั้งนี้ของโรนัลโด้ มันเหมืิอนการปล่อยระเบิดที่เป็น "Hydrogen bomb interview" ลูกระเบิดชนิดอันเบิ้มๆเหมือนโดนคิรอฟถล่ม เป็นระเบิดที่สร้างอานุภาพจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่ทำให้นิวเคลียสของไฮโดรเจน หลอมรวมเป็นนิวเคลียสฮีเลียมซึ่งเป็นธาตุหนักกว่า

ไฮโดรเจนบอมป์อำนาจทำลายล้างมากกว่าระเบิดปรมาณู(นิวเคลียร์ : Atomic Bomb)ซะอีก เนื่องจากระเบิดนิวเคลียร์ มาจากปฏิกิริยาการแตกตัว (Nuclear Fission) จาก 1อะตอม (ยูเรเนียม / พลูโตเนียม) แยกเป็น 2อะตอมย่อย

แต่ระเบิดไฮโดรเจน มันมาจากเมื่อนิวเคลียร์ระเบิดแล้วรังสีจะเปลี่ยนลิเธียมที่เคลือบอยู่ให้กลายเป็นไฮโดรเจน แล้วรวมตัวกันด้วยปฏิกิริยา "ฟิวชั่น" : Nuclear Fuson (ตัวอย่างง่ายๆก็ฟิวชั่นแบบดราก้อนบอลนั่นแหละ-*-) อะตอมไอโซโทปของไฮโดรเจน 2 อะตอม รวมตัวกันเป็น "ฮีเลียม 1 อะตอม" และปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา

แรงระเบิดด้วยปฏิกิริยาฟิวชั่นมันมากกว่าระเบิดปรมาณูเป็นร้อยเท่า ซึ่ง "ฟิวชั่น" คือปฏิกิริยาที่เกิดบนดวงอาทิตย์นั่นเอง พลังงานมันจึงได้สูงขนาดนั้น

ไอเดียตรงนี้อาจารย์โทริยาม่าก็เอาไปเป็นไอเดียที่นักสู้สองคนมารวมร่างด้วยการฟิวชั่นกัน พลังที่ออกมามันจึงไม่เป็น 1+1=2

1+1 ของฟิวชั่นจึง > 100 นั่นเอง

เช่นเดียวกับที่ โกคู ฟิวชั่น เบจิต้า = โกจิต้า, หรือ โกเท็น+ทรังค์ส = โกเท็นคูส หรือ  นั่นเอง พลังของร่างฟิวชั่นจึงทะลุขีดจำกัดร่างต้นเดิมไปมาก เพราะปฏิกิริยาฟิวชั่น มันให้พลังงานมหาศาลออกมานั่นเอง

อธิบายแบบนี้จะได้หายปวดหัวกับบทความกันได้หน่อยนึงนะครับ ^^''

คั่นห้องเรียนเคมีอาจารย์อุ๊ ด้วยNostalgiaดราก้อนบอลภาคบู!

การสัมภาษณ์ครั้งนี้ของโรนัลโด้ มันคือปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น ที่รวมนิวเคลียสของทั้งเรื่องบอร์ด ทั้งเรื่องบอส และทั้งเรื่องเหตุการณ์ต่างๆที่เขาคิดว่าเขาถูกทรยศ รวมถึงการโจมตีว่าร้ายจากทุกฝ่ายที่ "ตัวเขาคิดว่า" จ้องจะทำร้ายเขาด้วย ทั้งจากอดีตเพื่อนร่วมทีม(ที่ก็โดนด้วย ทั้งเฮียเนฟ และ รูน) รวมถึงคำเท็จบนหน้าหนังสือพิมพ์เกือบร้อยทั้งร้อยที่มีแต่ข่าวไม่จริงของเขา

โอย.. มันเกินไฮโดรเจน 2 อะตอมไปเยอะ ไม่แปลกว่าทำไมมันถึงได้รุนแรงและแย่งพื้นที่ข่าวไปได้มากมายขนาดนี้ จากบทสัมภาษณ์ของนักเตะที่เป็น GOAT ซึ่งยิ่งกว่าและดูเหมือนว่าจะโตกว่าสโมสรไปแล้ว

แต่สำหรับสโมสร ไม่มีนักเตะคนไหนใหญ่กว่าแน่นอน หากว่าเราเป็นแฟนฟุตบอลของสโมสรแห่งนั้นๆ

ผมเชื่อว่าผู้อ่านที่เป็นแฟนผีจะต้องรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด

ใช่.. แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

และต้องแยกแยะด้วยว่า สโมสรก็คือสโมสร และการกระทำจาก "เจ้าของสโมสร"(บอร์ด) นั่นไม่ได้หมายถึง "ทุกอย่าง" ของสโมสรแต่อย่างใด

อย่าให้ตระกูลเกลเซอร์ มาเคลมความเป็น "สโมสร" ของเรา เข้าไปกับแอ็คชั่นการดำเนินงานของมัน

และต่อให้ระเบิดนิวเคลียร์ปฏิกิริยาฟิวชั่นนั้นจะรุนแรงดุเดือดด้วยพลังที่เค้ามหาศาลกว่าเราแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่ระเบิดนั้นจะไม่สามารถทำอะไรสโมสรได้ เนื่องจากว่าเขาใหญ่เกินกว่า "แหล่งบรรจุ" ตัวเขาเอง ซึ่งก็คือโอลดแทรฟฟอร์ด แคริงตัน และสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปแล้ว

ระเบิดนี้มันอาจจะสร้างความสั่นคลอนได้ แต่ "ไม่มีทางทำลาย" โครงสร้างอันเป็นจิตวิญญาณของประวัติศาสตร์และแฟนบอลของที่นี่ได้แน่นอน นี่คือสิ่งที่อยู่ยงคงกระพันยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ฟิวชั่นใดๆจะมาทำลายล้างได้เหมือนกัน

พันธะมันแน่นกว่า แน่นมาเป็นร้อยๆปี แน่นมาตั้งแต่ "รุ่นพ่อ" เราแล้ว

ย้อนกลับมาที่การกระทำและเรื่องที่จะฟ้องร้องเป็นคดีความเพื่อยกเลิกสัญญา จากกรณีที่โรนัลโด้ทำดังกล่าว ทั้งกล่าวหานายจ้างว่าทรยศและไม่เคารพ โจมตีเทน ฮาก เบื้องบน และเจ้าของสโมสร

"กระบวนการ" ดังกล่าวนี้ จะทำยังไงบ้าง

แรกสุดก็คือแน่นอนว่าต้องมีการหารือร่วมกันระหว่าง ตระกูลเกลเซอร์, CEO อย่างริชาร์ด อาร์โนลด์, ผู้อำนวยการฟุตบอลอย่าง จอห์น เมอร์โทต์, ผู้จัดการทีม เอริค เทน ฮาก และ ฝ่ายกฎหมายของสโมสรว่าพวกเขามีทางเลือกใดบ้างที่จะฉีกสัญญาของโรนัลโด้ และ "ดำเนินการทางกฎหมาย" กับเขา

สิ่งที่สำคัญคือการ "พิสูจน์" ว่าโรนัลโด้ละเมิดข้อใดในสัญญาของเขาบ้าง ผ่านคอมเม้นที่เขาพูดมาในรายการของเพียร์ซ และจากนั้นจึงจะดูว่า พวกเขาจะทำอะไรกับเรื่องดังกล่าวได้

ซึ่งอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า นักเตะที่ลงเล่นในลีกสูงสุดทุกคนจะเซ็นสัญญาผูกพันกับทางพรีเมียร์ลีกผ่านแต่ละสโมสรต้นสังกัด ซึ่งภายใต้ข้อตกลงนั้นพวกเขามีข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติและดำเนินการตามคำแนะนำที่ถูกต้องจากเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการของสโมสร และไม่อนุญาตให้ "เขียนหรือพูดสิ่งใดที่ทำให้ต้นสังกัดเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือสร้างความเสียหายเกิดขึ้น"


เจมี่ ซิงเกอร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางของฝ่ายกฎหมายการกีฬาของทาง Onside Law องค์กรที่ปรึกษาด้านกีฬา มองว่าโรนัลโด้อาจจะได้ทำการละเมิดข้อสัญญาเบื้องต้นแล้วเรียบร้อย

ซิงเกอร์กล่าวดังนี้

"ภายใต้สัญญา มันจะมีข้อกำหนดเฉพาะที่ว่าด้วยเรื่องการที่ห้ามพูดสิ่งใดๆที่จะทำให้ต้นสังกัดเสียชื่อ หรือกระทบกระเทือนชื่อเสียงของสโมสร ซึ่งคอนเทนต์ที่เขาให้สัมภาษณ์ในเรื่องดังกล่าวมันทำให้เขาเข้าสู่เงื่อนไขการละเมิดข้อตกลงนี้ทันที"

"ทั้งนี้ในข้อกำหนดมาตรฐานยังระบุว่าต้องแจ้งสโมสรให้ทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ที่คุณได้ไปดำเนินการ เขาควรจะต้องแจ้งสโมสรก่อน เพราะฉะนั้นผมคิดว่านี่ก็เป็นอีกกระทงที่น่าจะละเมิดอีกเช่นกัน"


เป็นที่เข้าใจกันว่ายูไนเต็ดนั้นรับรู้การให้สัมภาษณ์จากทางด้านโรนัลโด้ตั้งแต่วันอาทิตย์ภายในเวลาไม่นานหลังจากที่เพียร์ซ มอร์แกน เริ่มทวิตเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ออกมาเรียกกระแสให้คอนเทนต์นี้ เพราะฉะนั้นแล้วมันอาจจะเปิดกว้างสำหรับการตีความว่าสิ่งนี้มีคุณสมบัติเข้าข่ายในเรื่องที่แจ้งล่วงหน้าอย่างสมเหตุสมผลหรือเปล่า

"เท่าที่ผมเข้าใจ สัญญามาตรฐานไม่ได้ห้ามนักเตะให้สัมภาษณ์นะครับ แต่มันกำหนดให้พวกเขาต้องให้ความร่วมมือกับสโมสรด้วยการแจ้งก่อนล่วงหน้า และเมคชัวร์ให้แน่ใจว่าพวกเขามีส่วนได้รู้เห็นด้วย"


ในเคสนี้ โรนัลโด้ก็ต้องปฏิบัติตามนักเตะเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ รวมถึงนักเตะใดๆก็ตามที่สังกัดสโมสรในพรีเมียร์ลีกอีก19ทีม ไม่มีข้อยกเว้น

"ข้อกำหนดเบื้องต้นของสัญญากับทางพรีเมียร์ลีกนั้น นักเตะแมนยูไนเต็ดทุกคนจะต้องลงนามเซ็นชื่อเอาไว้ และทุกๆสโมสรก็จำเป็นต้องทำแบบนี้ ตัวเขา(โรนัลโด้)ก็เซ็นยินยอมข้อกำหนดเหล่านั้นแล้วเช่นกัน รวมถึงเงื่อนไขโดยนัยที่เกี่ยวกับเรื่องการมอบความไว้วางใจ ความจงรักภักดี และการเชื่อฟังคำแนะนำอย่างสมเหตุสมผล"

"แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาละเมิดข้อกำหนดเบื้องต้นในสัญญาแล้วแน่นอน เท่าที่เห็นคำพูดที่กล่าวว่า สโมสรทรยศเขา ไม่รักษาคำมั่นสัญญา คำพูดเหล่านี้สามารถที่จะตีความได้ง่ายๆเลยว่ามันเข้าข่ายการทำให้สโมสรเสียชื่อเสียง และทำให้สโมสรเสียผลประโยชน์"

และถ้าเช่นนั้น อะไรจะเกิดขึ้นหากว่ายูไนเต็ดตัดสินว่าโรนัลโด้ละเมิดข้อกำหนดในสัญญา?

ในขั้นสูงสุดก็คือ สโมสรสามารถที่จะยกเลิกสัญญาของดาวเตะโปรตุกีสรายนี้ได้เลยทันที

เมนเดส หนึ่งในตัวการสำคัญของเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม หากเบื้องบนของสโมสรรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้แล้วที่นักเตะคนนี้จะอยู่ที่นี่ต่อไป และพยายามที่จะกำจัดเขาออก แม้ว่าเจอการยื่นอุทธรณ์ หรือการประชาสัมพันธ์ออกสื่อที่สร้างความเสียหายเพิ่มเติม ก็จะมีกระบวนการที่สโมสรสามารถดำเนินการต่อได้อีกเช่นกัน

โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดของทางฝั่งยูไนเต็ดก็คือ ออกมาระบุให้ชัดเจนว่า โด้ผิดสัญญาข้อไหนบ้างใน contract ของเขาผ่านคอมเม้นต่างๆที่นักเตะพูดออกมา ฝ่ายกฎหมายการกีฬาอย่าง เจมี่ ซิงเกอร์ ให้คำแนะนำต่ออีกว่า..

"ถ้าเขากระทำการละเมิดข้อสัญญา มันคือเรื่องนึง แต่ถ้ามันละเมิดข้อตกลงชั้นมูลฐานบางอย่างที่สามารถทำให้ฉีกสัญญาได้เลยนั้น มันคือการพิจารณาอีกขั้น อีกระดับหนึ่งแล้ว"

"คุณไม่อาจจะตัดสินไปก่อนล่วงหน้าจากแค่คลิปบางคลิป หรือ จากตัวอย่างบางส่วนได้ เพราะงั้นมันเข้าใจได้สำหรับยูไนเต็ด และทีมกฎหมายของพวกเขาที่จะรู้ให้แน่ชัดว่า มีสิ่งใดที่ถูกพูดออกมาบ้าง จากนั้นก็จะทำการตัดสิน"

นี่จึงเป็นสาเหตุที่แมนยูไนเต็ดจะต้องรอ "ตัวเต็ม" ของเพียร์ซ ออกมาเมื่อเช้ามืดวันนี้นั่นเอง

คำแนะนำที่ดีที่สุดของทางฝั่งยูไนเต็ดที่จะเทคแอ็คชั่นก็คือการดำเนินการไปตาม process ที่กำหนดไว้ และพิจารณาตัวเลือกต่างๆที่สโมสรมีอยู่ว่าจะเลือกทำอย่างไรได้บ้าง

"มีกระบวนการเชิงวินัยอยู่ และถ้ามีใครละเมิดข้อสัญญาโดยกระทำบางอย่างที่พวกเขาไม่ควรกระทำ สโมสรก็มีขอบเขตที่จะสามารถทำการปรับหรือลงโทษลูกจ้างรายนั้นๆได้"

ตัวอย่างระดับโพรไฟล์สูงๆก่อนหน้านี้ที่โดน ก็คือกองหน้าตัวเก่าอย่าง โรเมลู ลูกากูนั่นเอง โดย "พี่ตู้" ได้ให้สัมภาษณ์ตูมใหญ่กับทางสกายของอิตาลีเมื่อซีซั่นที่แล้ว โดยตำหนิทางต้นสังกัดอย่างเชลซีในเรื่องที่เขาไม่ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้เป็นตัวจริงในยุคของโธมัส ทูเคิล เพราะงั้นเฮดโค้ชอย่างน้าทูจึงบอกมาว่า ลูกากูจะต้องเจอการลงโทษทางวินัยจากการให้สัมภาษณ์ในครั้งนั้น

แต่กรณีนี้จะแตกต่างจากโรนัลโด้ตรงที่ นักเตะคนดังกล่าว(ลูกากู) เพิ่งจะถูกซื้อเข้ามาในราคา 90ล้านปอนด์ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเท่านั้นเอง!

ลูกากูได้ทำการขอโทษการให้สัมภาษณ์ในครั้งนั้นของเขา และย้ายยืมตัวยาวกลับไปอยู่กับทางอินเตอร์มิลาน สโมสรที่เขาก็เพิ่งจะย้ายหนีกลับมาอยู่เชลซีนั่นเอง

"ถ้ามันเป็นเคสรุนแรง หรือผู้เล่นนั้นไม่เห็นด้วย ก็จะเข้าสู่กระบวนการด้านวินัยที่ให้โอกาสนักเตะได้มีสิทธิที่จะปกป้องตัวเองได้ โดยที่สโมสรจะระบุว่าเขาทำอะไรผิดมาบ้าง นักเตะสามารถที่จะโต้แย้งได้ว่าเขาไม่ได้ทำผิด จากนั้นก็จึงขึ้นไปสู่ทางบอร์ดบริหารของสโมสรที่จะตัดสินว่าผิดในกรณีไหน และผิดจริงหรือไม่"

"ในสถานการณ์แบบนี้มันอาจจะเป็นการพิจารณากันภายใน ซึ่งความเป็นไปได้นี้อาจจะขึ้นไปถึงการเป็นสถานการณ์ที่เขาประพฤติตัวไม่เหมาะสมในระดับที่สามารถยกเลิกสัญญาได้เลย"

"หรือ ถ้าพวกเขาเชื่อว่ามันมีเรื่องเกิดขึ้นหลายอย่างมาก พวกเขาอาจจะกระชับขั้นตอน และไม่ต้องใช้กระบวนการวินัยมาตัดสิน สามารถที่จะกล่าวได้เลยว่ามันชัดเจนแจ่มแจ้งว่ามันเป็นความประพฤติมิชอบแบบร้ายแรง พวกเขาอาจจะเข้าสู่กระบวนการยกเลิกสัญญาโดยตรงได้เลยทันที ด้วยการแจ้งโนติซล่วงหน้า 14 วัน"

มีตัวอย่างอื่นอีกหรือเปล่าที่นักเตะถูกยกเลิกสัญญา? : มีครับ มีเยอะด้วย'

1. กรณีแรก เคสของฮัลล์ซิตี้ ในเดือนสิงหาคมปี 2011 พวกเขายกเลิกสัญญาในการเซ็น จิมมี่ บุลลาร์ด เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปรีซีซั่น กับทริปไปสโลวีเนียของทีม

บุลลาร์ดมีข้อตกลงแบบเต็มๆอยู่จนถึงจบฤดูกาล 2012/13 และมันนำพาไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างตัวเขากับสโมสร (บุลลาร์ด vs ฮัลล์) สุดท้ายแล้วมิดฟิลด์รายนี้ก็มีรายงานว่าได้ยอมรับข้อตกลง และทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในการเจรจาข้อตกลงกันแบบลับๆเป็นการภายใน

2. กรณีใหญ่ปี 2014 "นิโกล่าส์ อเนลก้า" โดนไล่ออกจากสโมสรเวสต์บรอมวิช เนื่องจากประพฤติผิดขั้นร้ายแรง โดยอเนลก้าโดนแบนไป 5 เกม ถูกปรับอีกแปดหมื่นปอนด์โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ เนื่องจากไปทำท่า "La Quenelle" หรือท่านาซีกลับด้าน (ไม่เอานาซี) ของชาวฝรั่งเศสตามดาราตลกดิวดอนน์

meaning ของท่านาซีมันคือประมาณว่ากำจัดยิว แต่ดาราตลกคนคิดท่าอย่างดิวดอนน์ คิดว่านี่คือท่าไม่เอานาซี สุดท้ายอเนลก้าไปเลียนแบบมาเล่นในแนวมุกโจ๊ก จนทำให้โดนไล่ออกจากทีมมวยโลก จากการทำนี้ในเกมเจอเวสต์แฮม

WBA แถลงผ่านทวิตเตอร์เลยว่าอเนลก้าถูกยกเลิกสัญญาผู้เล่นแล้วเรียบร้อยซึ่งยังเหลือระยะเวลาอีกสามเดือนครึ่ง


เพราะฉะนั้น Anelka เองก็โดนไล่ออกด้วยข้อหา "ประพฤติผิดอย่างร้ายแรง" นั่นเอง ทางสโมสรก็จัดการแบนกองหน้าทีมน้ำหอมรายนี้ โดยไม่จ่ายค่าจ้างตามคำตัดสินของ FA และแพลนที่จะสอบสวนเองให้เรียบร้อย เวสต์บรอมได้กล่าวเป็นครั้งแรกบนแถลงการณ์ในทวิตเตอร์ว่า นี่คือ "การกระทำที่ไร้ความเป็นมืออาชีพอย่างรุนแรง" (highly unprofessional)

สามชั่วโมงต่อมาจากทวิตนั้น สโมสรก็ปล่อยจดหมายเปิดผนึกถึงอเนลก้าเป็นการโนติซ 14 วันสำหรับเขาในการยกเลิกสัญญาที่มีอยู่ของเขา สโมสรกล่าวว่าอเนลก้านั้นไม่สามารถกล่าวคำขอโทษใดๆทั้งสิ้นต่อความรุนแรงและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมาจากการทำท่าเคอเนลล์ของเขา" แม้กระทั่งการเสียค่าปรับก็ไม่เพียงพอก็ตาม ส่งผลให้เขาโดนสมาคมแบนนั่นเอง

เจมี่ ซิงเกอร์เชื่อว่ายูไนเต็ดจะได้รับคำแนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างเป็นระบบแม้ว่าพวกเขาอาจจะหงุดหงิดหรือโมโหกับการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ของโรนัลโด้

"หนทางที่ปลอดภัยและดีที่สุดก็คือ นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโทษทางวินัย เราจะดำเนินการ และคุณ(โรนัลโด้) สามารถที่จะ defend ปกป้องตัวเองได้เช่นกัน แล้วจากนั้นจึงเป็นการตัดสินใจเรื่องของการลงโทษ"

"ถ้าสโมสรสามารถระบุความผิดที่เป็นการประพฤติผิดอย่างร้ายแรงได้ ซึ่งหาได้ยากมากๆ นักเตะสามารถที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อทางพรีเมียร์ลีกได้  เพราะโดยทั่วๆไปแล้ว "มูลค่าของการลงทะเบียนนักเตะ" นั้นสำคัญมากๆ มันไม่ใช่ประเด็นธรรมดาๆที่สโมสรจะยุติสัญญาของนักเตะที่ลงทะเบียนกับพรีเมียร์ลีกไว้ เพราะมันมีมูลค่าของการลงทะเบียนนั้นอยู่"

พูดง่ายๆว่าเพราะมันผูกกับพรีเมียร์ลีกอยู่ แล้วมันมีมูลค่าของมันนั่นเอง


"แต่ตรงนี้คือ พวกเขา(สโมสร)จ่ายเงินค่าจ้างมหาศาลหลายร้อยหลายพันต่อสัปดาห์ และไม่สามารถขายเขาออกไปในราคาสูงๆได้ มันก็อาจจะเปลี่ยนทิศทางของกระบวนการนี้อย่างมาก"

"เพื่อที่จะเซฟเงินถึงสี่แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ บางทีอาจจะคุ้มค่าก็ได้ที่เลือกหนทางเช่นนี้ เพราะมีสิ่งที่เกิดขึ้นเยอะและหลายอย่างมากๆที่มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการประพฤติผิดขั้นร้ายแรงเกิดขึ้น พวกเขาอาจจะอยากเข้าสู่กระบวนการทางวินัยก็ได้เพื่อป้องกันการถูกเคลมว่ามันไม่ใช่กระบวนการที่ดำเนินไปอย่างยุติธรรม"

เมื่อเราทราบข้อมูลว่าเป็นดังนี้แล้ว แปลว่า "บางที" โด้ก็อาจจะยื่นอุทธรณ์สู้ก็ได้ พวกเขาก็อาจจะได้รับการปกป้องเพิ่มอีกชั้นหนึ่งแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นสุดท้ายแล้วผลจะเกิดอะไรขึ้น?

การฉีกสัญญาของโด้ค่อนข้างที่จะมีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่ทางเลือกอื่นอาจจะเป็นการที่ยูไนเต็ดทำสิ่งต่างๆเป็นการภายในอย่างเงียบๆ

พฤติกรรมที่เกิดขึ้นมานั้น รวมถึงการวิพากษ์ตำหนิถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆของสนามซ้อมแมนยูไนเต็ด และข้อสังเกตอื่นๆที่ทำร้ายวัฒนธรรมของสโมสร โรนัลโด้ยังกล่าวอ้างถึงคำที่่ว่าสโมสรนั้นขาดความเอาใจใส่ต่อตัวเขาในกรณีที่ลูกสาวต้องเข้าโรงพยาบาลในช่วงเดือนกรกฎาคม

Simon Leaf หัวหน้าฝ่ายกฎหมายทางกีฬาของสำนักงานกฎหมาย Mishcon de Reya เชื่อว่าการจัดการเรื่องนี้ภายในอย่างเป็นการส่วนตัวน่าจะช่วยยุติเรื่องอื้อฉาวนี้ได้

"สโมสรตกอยู่ในที่นั่งลำบาก จะเลือกทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น (A) สิทธิ์ในการยกเลิกสัญญาก็ต้องขึ้นอยู่กับสิทธิ์ของฝั่งโรนัลโด้ในการอุทธรณ์เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดูเหมือนว่าเขาจะได้รับคำแนะนำมาเช่นกันว่า ทางยูไนเต็ดเองก็เป็นฝ่ายละเมิดเขาเช่นกันที่ไม่รับผิดชอบทั้งเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ซึ่งก็อาจจะขยายลามต่อไปถึงเรื่องที่ควรต้องอนุญาตให้โรนัลโด้ได้ขยายเวลาหยุดเพิ่มในสถานการณ์ที่ยากลำบากของเขาเองด้วยซ้ำ"

"ดูแล้วมันไม่มีคำตอบที่จะจบได้ง่ายๆเลยถ้าจะนำมาโต้แย้งกันเชิงกฎหมาย และจากประสบการณ์แล้ว ยังมีประเด็นค้างคาเรื่องที่เกี่ยวข้องกรณีค่าเหนื่อยมหาศาลและเงินค่าตัวย้ายทีมที่อาจเป็นไปได้อีก ซึ่งประเด็นนี้อาจถูกลืมไปอีก เพราะงั้นทั้งโรนัลโด้ และตัวสโมสร จะต้องพยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งอาจถูกละเลยไปได้ ทั้งโรนัลโด้ ทั้งสโมสร ตอนนี้ต้องช่วยกันหาทางลงอย่างสันติทั้งคู่เป็นการภายในเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องเจ็บหนักกันทั้งคู่"

และทั้งหมดนี้คือความเห็นจากสองผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายการกีฬา ที่ให้ทรรศนะเอาไว้ชัดเจนว่า มันอาจจะมีการฟ้องร้องที่เข้าข่ายการประพฤติผิดวินัยร้ายแรงได้ จากผู้เชี่ยวชาญคนแรก (เจมี่ ซิงเกอร์) ซึ่งก็แนะนำเอาไว้ว่าให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน นำเข้าสู่ Process การพิจารณา ซึ่งก็อาจจะมีการยื่นอุทธรณ์สู้จากทางฝั่งโรนัลโด้ก็ได้ ในกรณีที่โด้เองก็สามารถที่จะนำข้อที่สโมสรเองก็ละเมิดเขาก่อนเช่นกันจากกรณีที่ไม่ดูแลและปกป้องสิทธิและชีวิตของลูกจ้างให้ยุติธรรมที่สุด

(ในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเบี้ยวปรีซีซั่น และแจ้งสโมสรไปก็ไม่รับฟังว่าลูกสาวเขาป่วยเข้าโรงพยาบาล ในมุมมองนี้หลายคนอาจจะคิดว่า ทำไมโด้ไม่ออกมาเคลียร์ให้เรียบร้อยตั้งแต่ตอนนั้น เราจะให้ความเป็นธรรมกับฝั่งผู้ถูกกล่าวหาได้ว่า มันมีหลายเหตุผลที่มนุษย์เราเลือกหรือไม่เลือกที่จะออกมาบอกแก่สาธารณะให้รู้ก็ได้ว่าทางบ้านเรามีปัญหาอะไร แต่มีการแจ้งเป็นการภายในกับสโมสรแล้ว ซึ่งโด้ยืนยันตรงนี้ชัดเจน แปลว่ามีการแจ้งจริง และสโมสรก็คงจะประพฤติกับเขาไม่ดีจริงๆ)

ทุกอย่างค่อยๆสะสมมาเรื่อยๆ รวมถึงเรื่องที่ตัวเองก็ฟอร์มตก และถูกดรอป ถูกลงโทษ (ซึ่งเจ้าตัวแม้จะขอโทษกับเพื่อนร่วมทีมแล้วกรณีที่กลับก่อน แต่ความผิดของโด้ก็เกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งเขาก็ไม่ควรทำกับทีมอย่างมาก) มันสะสมประดังกันเข้ามาจากจุดเริ่มต้นของแรงกดดันที่ CR7 โดนมาตั้งแต่ปีก่อน จนกระทั่งปีนี้ปัญหาหนักขึ้น มาผนวกกับที่ตัวเองฟอร์มตกเหมือนมีอะไรว้าวุ่นในใจสักอย่าง (เห็นชัดมากๆตอนเขาลงสนาม แววตามันฟ้อง)

สุดท้ายก็จึงเกิดเป็นระเบิดไฮโดรเจนแห่งความอัดอั้นในครั้งนี้

คำแนะนำของไซม่อน ลีฟ น่าสนใจ และมีเหตุผลมากในฐานะผู้มีประสบการณ์ต่อเรื่องพวกนี้ และจากที่ผู้เขียนประสบมา การไกล่เกลี่ยกัน คือทางออกที่เจ็บน้อยที่สุด เสียเวลาน้อยที่สุดในทุกๆฝ่ายจริงๆ เพื่อให้เรื่องมันง่ายขึ้น

ติดตามกันต่อไป หวังว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะหาทางออกกันได้ทั้งคู่จริงๆ ในฐานะแฟนบอลที่รักสโมสร ยืนอยู่เคียงข้างเทน ฮาก เราก็ไม่อยากให้สโมสรต้องลำบากอะไรจากเรื่องนี้ให้ยืดเยื้อ

ขณะที่ฝั่งโรนัลโด้ มีสิ่งที่เขาทำเพื่อชีวิตตัวเอง เพื่อครอบครัวได้ดีแล้ว หลายๆอย่างเป็นการดีซะด้วยที่โด้พูดออกมา แต่หลายอย่างเขาก็ไม่ควรทำ โดยเฉพาะเรื่องที่มุมมองต่างๆจะต้องออกมาจาก ตัวตนของเขาเองก่อนเป็นหลักเสมอ ซึ่งตรงนี้แฟนบอลที่อ่านก็น่าจะรู้สึกคล้ายๆกัน มีทั้งเรื่องดี และเรื่องไม่ดีอยู่ในนั้น

อะไรที่เป็นความเน่าเฟะภายในที่โด้พูด แน่นอนว่ามันคือการคายปัญหาออกมาในที่แจ้ง บางครั้งไม่ควรพูดก็จริง บางครั้ง attitude ของโด้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเท่าไหร่เป็นเพราะอัตตาในตัวที่สูงลิบลิ่ว ซึ่งก็อ้างไม่ได้ว่า เพราะอีโก้แบบนี้เขาถึงประสบความสำเร็จ

มันก็ใช่ แต่เอาอีโก้ตรงนี้มาเป็นข้ออ้างแถเพื่อให้ตัวเองถูกไม่ได้เด็ดขาด เหตุผลก็คือเหตุผล และบางเรื่องในนั้น โด้ก็ไม่สมควรจะพูดออกมาจริงๆ ถึงแม้ว่าอ่านตัวเต็มแล้วเราจะเข้าใจนะ แต่หลายเรื่องก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าพูดทำไม

ในความเฮงกะบ๊วยของเหตุการณ์นี้ที่ "จังหวะโคตรนรก" หลายๆครั้งแฟนผีมีความสุขอยู่กับชัยชนะ แต่ก็ถูกอิหยังวะจากแอ็คชั่นของโด้ที่ก่อปัญหาขึ้นมาจริงๆ เช่นเรื่องปฏิเสธลงสนาม(เป็นนักเตะ เค้าให้ลงนาทีไหน มือโปรก็ต้องทำเว้ย) และไอ้ที่เดินทางกลับก่อน ทั้งๆที่เทน ฮาก ก็แจกแจงระเบียบของทีมสปิริตไว้ชัดเจนแล้วว่าต้องปฏิบัติยังไง

คนที่ปกป้องโด้แบบไม่ลืมหูลืมตา สมควรจะฟังเหตุผล และเลิกมองเขาเป็นเทวดาได้แล้ว เขาก็คือคนๆหนึ่งที่มีรักโลภโกรธหลง

การยอมรับว่าโด้ผิด ไม่ทำให้ใครตายหรอก นี่คือเรื่องจริง

แต่ในความย่ำแย่ของระเบิดลูกใหญ่ครั้งนี้ ไม่ได้มีแต่สิ่งที่ไม่ดี เพราะหลายๆประเด็น มันเป็นสิ่งที่ควรจะพูดอย่างยิ่ง จากมุมมองของคนที่มี "โทรโข่งดังที่สุด" มีน้ำหนักของ "เสียง" ดังที่สุดบนโลกนี้ จากผู้ติดตามที่เขามีมากกว่าสโมสรอันดับหนึ่งอย่างเราซะด้วยซ้ำ

เสียงของโด้สำคัญมาก และการ take action ในครั้งนี้มันน่าจะ "ปลุก" อะไรบางอย่างของแฟนบอลให้รู้ชัดกว่าเดิมว่า "ศัตรูที่แท้จริงคือใครกันแน่"

ตัวโรนัลโด้เหรอ?  ในฐานะนักเตะที่สร้างปัญหา

ส่วนหนึ่ง ใช่ เพื่อ Squad Harmony และการทำทีมของเอริค นักเตะที่ทำตัวใหญ่กว่าทีมจะต้องระเห็จไปเท่านั้น เรื่องนี้เซอร์อเล็กซ์ก็ทำให้แฟนบอลรุ่นเก่าๆได้เห็นบ่อยๆ

แต่เรื่องโด้เป็นแค่พาร์ทเดียวเท่านั้นที่เราต้องจัดการเรื่องผู้เล่นที่อีโก้สูงกว่าทีมที่กำลังสร้าง และไม่สามารถนั่งสำรองได้ เขาก็แค่แยกทางไปหาทีมที่ลงล็อคกับสิ่งที่เขาต้องการ ก็แค่นั้นเอง เป็นเรื่องโคตรธรรมดาที่โด้อยากจะย้าย ตามวิถีของฟุตบอล

แต่มันยังมี "เรื่องอื่น" ที่สำคัญกว่าเรื่องที่โด้ออกมาระเบิดลงจนราบเป็นหน้ากลองในครั้งนี้

ความสูญเสีย ความพังและแตกสลาย ก็สร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมาเช่นกัน การระเบิดลงของโด้ มันอาจจะทำลายศรัทธา ทำลายความรู้สึกของหลายคน ในขณะที่หลายคนก็แค่เซ็งและเศร้าที่อยากให้ฮีโร่จากไปดีๆ

แต่ไม่ต้องห่วง ปัญหานี้ของโด้ไม่สูญเปล่าไปเฉยๆแค่การแยกทางหรือโด้เสียชื่อเสียงเท่านั้น

“Every act of creation is first an act of destruction.”

การจะสร้างสรรค์อะไรให้เกิดใหม่ขึ้นมา ก่อนหน้านั้นมันก็ต้องทำลายอะไรบางอย่างลงไปก่อน

แรงกระเพื่อมครั้งนี้ของโด้มันมีอะไรมากกว่าแค่การที่โด้ออกมาด่ากราดคนอื่นในเวลาไม่เหมาะสม ในสิ่งที่ไม่เหมาะสม บนหลายๆอย่างที่ไม่ค่อยดีแน่นอน

มันมีมากกว่านั้นเยอะ

"ติ่งโรนัลโด้" คือศัตรูที่แท้จริงที่แฟนผีจะต้องตามด่าทุกคนเลยหรือไม่ ที่ออกความเห็นในเชิงเหตุผลซึ่งอาจจะไม่ได้ตำหนิโด้ หรือเข้าใจการกระทำที่เป็นต้นสายปลายเหตุเขา

ทุกวันนี้คอมเม้นในเน็ตเจอแต่การด่าการแซะติ่งโด้ แซะคนรักโด้ ทั้งๆที่ควรเอาเวลาไปหาคำตอบมากกว่าว่าควรจะด่าที่จุดไหนกันแน่ หรืออย่างน้อยเก็บพลังไว้ไฝว้กับแฟนทีมอื่นที่มันชอบเหยียบย่ำสโมสรเราซะยังจะดีกว่า

สรุป โด้ ติ่งโด้ เป็นปัญหา?

ไม่ใช่คำตอบที่ถูกซะทั้งหมด

ที่แน่ๆรูนกับเฮียเนฟไม่ได้คิดร้ายกับมึงแน่ๆโด้เอ๊ย..

แน่นอนว่า ตัวโด้เป็นคนเลือกให้สัมภาษณ์เองด้วยซ้ำแบบไม่แคร์อะไรแล้ว และข่าวของโด้หลายๆครั้งก็กลบความดีใจของแฟนบอลซะหมดที่ทีมเพิ่งจะชนะมา

ตัวเขาทำตัวเองได้รับฟีดแบ็คแย่กลับไปนั่นก็คือเรื่องผลจากการกระทำของเขาเองด้วย

แต่ปัญหาแท้จริงจากเรื่องนี้ ชัดเจนมากๆว่ามันคือ "เหลือบไร" ที่กัดกินสโมสรอยู่จนมันเป็นต้นเหตุและผลกระทบสู่ระเบิดลูกใหญ่ในครั้งนี้ที่ทำลายลูกยิงสุดสะใจของอเลฮันโดร การ์นาโช่ซะย่อยยับ

เหลือบ ปลิง ที่ชื่อว่าตระกูลเกลเซอร์ และการบริหารงานของมัน

ปัญหายังคงอยู่ที่นั่น เหมือนอย่างที่น้ามูเคยให้สัมภาษณ์กับทางเลอกิ๊ป สื่อฝรั่งเศสเอาไว้ดังนี้ว่า

"The problems are still there, you can imagine that it is the players, the organisation, the ambition."

"ปัญหายังอยู่ที่นั่น คุณคงจะเห็นได้ ทั้งนักเตะ ทั้งองค์กร ความมุ่งมั่นทะเยอทะยาน"

หลายอย่างยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงตอนนี้อย่างที่น้ามูบอก กลายเป็นเกมระดับ Nightmare Mode ที่เอริค เทน ฮาก ต้องรับหน้าที่ดูแลทีมและสร้างสิ่งแวดล้อมทางฟุตบอลดีๆขึ้นมาใหม่ในตอนนี้

ยิ่งเขียนยิ่งเจ็บปวดจริงๆ เมื่อไหร่เราจะเคลียร์ปัญหาพวกนี้หมดสักที ปัญหานักเตะคนเก่าออกไป ก็ยังมีปัญหาของนักเตะเรื่องใหม่ๆมา เพราะฉะนั้นคนที่เราต้องเอาใจช่วยที่สุด คือผู้ทำหน้าที่พยุงสโมสรเราในตอนนี้อย่าง เอริค เทน ฮาก นั่นเอง

ยืนหยัดข้างเขาไว้เยอะๆจะดีที่สุด ไม่ว่าเอริคจะมีผิดพลาดหรืออะไรก็ตาม แต่จงเชื่อในวิสัยทัศน์และกระบวนการของเขา (Trust in vision & process)

ส่วนตัวผู้เขียน (ศาลาผี) เชื่อว่า ทั้งสองฝ่ายคงไม่อยากจะให้เรื่องราวมันบานปลายทั้งคู่ เพราะเป้าหมายของแต่ละฝ่ายชัดเจนอยู่แล้ว นั่นก็คือการแยกทางกัน สโมสรจะฟ้องโด้ โด้ก็มีข้อที่สามารถสู้กลับได้เช่นกันแบบเต็มๆ มันไม่จบง่ายๆแน่

สิ่งที่ดีที่สุดและน่าจะเป็นไปได้ ก็คือการ "ไกล่เกลี่ยตกลงกันได้เป็นการภายใน" ด้วยความต้องการที่ตรงกันทั้งสองฝ่าย คงจะดีที่สุดครับ ก็น่าจะเป็นการยกเลิกสัญญาแบบ mutual agreement ในการ terminate contract ของโรนัลโด้จากสัมภาษณ์บางคำบางเรื่องที่มันเข้าเกณฑ์ครับ

โด้เองก็คงยอมรับอยู่แล้วที่จะย้าย ถ้ามีการยกเลิกสัญญา ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และโด้เป็นอิสระ คิดว่าแค่นั้น CR7 ก็น่าจะพอใจ และคงไม่ได้มาฟ้องกลับหรือยื่นอุทธรณ์เช่นกัน

และสุดท้าย จากเหตุการณ์ครั้งนี้ มันทำให้ได้รู้ว่าแฟนบอลอย่างผู้เขียน อย่างเราๆท่านๆ ต้องใช้วิจารณญาณกันเยอะๆ อ่านและตีความสิ่งที่เกิดขึ้น และอย่ากระดิกมือกระดิกเท้าวิจารณ์ข่าวกันมันส์ปากด้วยอารมณ์กันอย่างเดียว

จง "คิด" และ "วิเคราะห์" เพื่อ "แยกแยะ" ออกมาให้ได้ว่า

ศัตรูที่แท้จริงของเราคือใครกันแน่?

นั่นแหละ จะช่วยสโมสรที่เรารักได้จริงๆ เรื่องโรนัลโด้มันเป็นแค่ระเบิดไฮโดรเจนลูกสุดท้ายที่เขาจะทิ้งไว้ และมันพลาดไปโดนคนเยอะมากเกินไป โดนตัวเขาเองด้วยก็เท่านั้น แต่ข้อดีของการที่ Ronaldo Bomb มันกระจายหนักเป็นวงกว้างแบบนี้..

ที่แน่ๆ "ศัตรู" ตัวจริงโดนระเบิดดอกนี้ของโด้ไปเต็มตีนเตี่ยแล้วเหมือนกัน

#BELIEVE

-ศาลาผี-

References

https://theathletic.com/3910162/2022/11/18/manchester-united-exploring-cancelling-cristiano-ronaldos-contract/

https://theathletic.com/3900206/2022/11/18/ronaldo-manchester-united-contract-legal/

https://www.thoughtco.com/hydrogen-bomb-vs-atomic-bomb-4126580

https://www.sanook.com/sport/72437/

https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/man-utd-news-mourinho-rangnick-22690384


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด