"พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี" เติมเต็ม "ช้างศึก" ล่าแชมป์ AFF สมัยที่ 7
โดยเฉพาะเกมนัดที่ 2 ที่เล่นกันที่สนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของ “ช้างศึก” ในทัวร์นาเมนต์นี้เลยก็ว่าได้
ด้วยสถานการณ์ตกเป็นรอง สกอร์ที่ตามหลัง 1 ประตู จากเกมยกแรก ประกอบกับมีแฟนบอลเข้ามาให้กำลังใจในสนามกว่า 2 หมื่นคน ทำให้นักเตะทุกคนมีความกระหาย วิ่งสู้ฟัด ไล่บดขยี้จน “มาเลเซีย” เล่นเกมของตัวเองไม่ได้
นั่นทำให้ ไทย พับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียว ก่อนจะเช็คบิลยิง 3 ประตู จาก ธีรศิลป์ แดงดา ที่เบ็ดเสร็จยิงในทัวร์นาเมนต์นี้ไปแล้ว 6 ประตู แซงหน้า เหงียน เทียน ลินห์ ดาวยิง เวียดนาม ขึ้นไปรั้งดาวซัลโวเดี่ยวๆ พร้อมขยับสถิติยิงสูงสุดตลอดกาลเป็น 25 ประตู
นี่เป็นการตกตอกหน้าแฟนบอลที่วิจารณ์เขาว่า “หมดน้ำยา” แล้วอย่างเจ็บแสบ โดยไม่ต้องเสียน้ำลาย
ขณะที่ปีก 2 ข้าง อย่าง “บดินทร์ ผาลา” และ “เอกนิษฐ์ ปัญญา” ที่โดนวิจารณ์ฟอร์มการเล่นตั้งแต่นัดแรก สามารถยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ แถมยิงประตูและสร้างแอสซิสต์ได้สำเร็จ
เรียกว่าทำอะไรก็ดีไปหมด ส่วน อดิศักดิ์ ไกรษร ที่ลงมาเป็นซูเปอร์ซับ ก็ยิงประตู ช่วยลบฝันร้ายจากปี 2018 ที่เขาพลาดจุดโทษ จนทำให้ทีมตกรอบรองชนะเลิศ ได้เสียที
ที่ต้องให้เครดิตก็คือ “มาโน่ โพลกิ้ง” เฮดโค้ชที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน และพาทีมเดินทางไปถึงรอบชิงชนะเลิศ เหลืออีก 2 ด่านพลพรรค “ช้างศึก” ก็จะป้องกันแชมป์และเพิ่มสถิติคว้าแชมป์สมัยที่ 7 ได้สำเร็จ
ยังมีนักเตะอีกหนึ่งคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ “นิว” พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี กองกลางจอมเทคนิคจากสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงในรอบรองชนะเลิศทั้ง 2 เกม
โดย “มาโน่” ทราบดีว่าการเล่นกับ “มาเลเซีย” ทีมจำเป็นต้องครองพื้นที่ในสนามให้ได้มากที่สุด และไม่โอกาสให้ห้องเครื่องของ “เสือเหลือง” สร้างสรรค์โอกาสได้ง่ายๆ ทำให้เขาเลือก “พีรดนย์” ลงสนาม พร้อมปรับระบบการเล่นมาเป็น 4-2-3-1 และสามารถปรับเป็น 4-3-3 ได้ด้วย
ซึ่ง “พีรดนย์” เองทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมีวินัย รับผิดชอบพื้นที่ของตัวเอง จังหวะจ่ายบอลของเขาดีอยู่แล้ว สามารถสร้างความได้เปรียบจากจังหวะเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ทรงประสิทธิภาพ
ที่สำคัญเขายังเล่นเขาข้ากับ “ธีราทร บุญมาทัน” รุ่นพี่จากสโมสรเดียวกัน และ “สารัช อยู่เย็น” ได้อย่างเนียบกริบ
นั่นทำให้สถิติครองบอลของ ไทย ทั้ง 2 นัด สูงถึง 72.3 เปอร์เซ็นต์ในเกมเลกแรก และ 62.9 ในนัดที่ 2
ส่วนสถิติส่วนตัวของ “พีรดนย์” ในทัวร์นาเมนต์นี้ ถือว่ายอดเยี่ยมไม่น้อย เมื่อเทียบกับเวลาลงสนาม 247 นาที หลังทำไป 2 ประตู 1 แอสซิสต์ ความแม่นยำในการยิง 33.3 เปอร์เซ็นต์ จ่ายบอลสำเร็จ 166 ครั้ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงถึง 93.3 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนนี้สถิติเกมรับก็ทำได้ไม่เลว แท็คเกิลชนะ 2 ครั้ง บล็อกและเคลียร์บอลได้อย่างละ 1 ครั้ง เรียกว่าจะเล่นรับก็ได้จะเน้นรุกก็ดี
ซึ่งถือเป็นบทพิสูจน์แล้วว่า “พีรดนย์” คุณภาพการเล่นไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย และเขารอเพียงโอกาสพิสูจน์ตัวเองในทีมชาติไทยเท่านั้น
เมื่อมีโอกาสเขาก็ทำทุกคนเห็นแล้วว่ามีดีแค่ไหน เรียกว่าเล่นเงียบๆ แต่ฝีเท้าแจ่มเหลือเกิน
นี่คือจิ๊กซอร์สำคัญให้ “มาโน่” สามารถเลือกปรับแท็คติคให้มีความยืดหยุ่นและหลากหลายมากยิ่งขึ้นในการรับมือกับ “เวียดนาม” ในรอบชิงดำทั้ง 2 นัด เพื่อล่าแชมป์อาเซียนสมัยที่ 7 แม้จะเป็นงานที่ยาก แต่มองมุมกลับถือว่าเป็นเรื่องท้าทายของ “ช้างศึก” ชุดนี้เหมือนกัน
เพราะด้วยนักเตะที่ไม่เต็มสูบ หากความแชมป์ได้ คงเป็นปิดปาก “เวียดนาม” ที่เป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนได้สงบเสียที