สำหรับ “มิเกล อัลมิรอน” โดยเจ้าตัวยิงในพรีเมียร์ลีก รวมแล้ว 9 ประตู พร้อมกับพาพลพรรค “สาลิกาดง” ก้าวมายึดตำแหน่งหัวตารางได้อย่างน่าชื่นชม โดยถือเป็นอีกหนึ่งคนที่โชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยม จนได้รับคำชมมากมาย
ช่วงนี้ เราลองย้อนกลับไปดูเส้นทางลูกหนังของเขากันหน่อยว่า ต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง โดยเฉพาะการเล่นฟุตบอลที่แถบอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีการแข่งขันด้านฟุตบอลที่สูงมาก จนก้าวมาเล่นกับทีมดัง และลีกระดับโลกเหมือนทุกวันนี้
อัลมิรอน ลืมตาดูโลก และเติบโตที่กรุงอซุนซิออน เมืองหลวงของประเทศอุรุกวัย เขาเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก แต่ความฝันของเขาเด่นชัด โดยเฉพาะเรื่องของฟุตบอล เขาต้องตื่นนอนตี 5 ของทุกวัน พร้อมกับเดินทางไปกลับ 3 ชั่วโมง เพื่อฝึกวิชาลูกหนัง และศึกษาเล่าเรียน
เส้นทางลูกหนังของเขาไม่เคยเป็นเรื่องง่าบ เขาถูกปฏิเสธโดยสโมสร คลับ นาซิอองนาล ที่มองว่าร่างกายไม่แข็งแกร่งพอที่จะเล่นฟุตบอลอาชีพ กระทั่งอายุ 17 ปี เขาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง จนก้าวมาเล่นทีมชุดใหญ่ของเซอร์โร่ ปอร์เตโน่ อีกหนึ่งสโมสรที่เก่าแก่ในบ้านเกิด
“ย้อนไปตอนที่ผมอายุ 7 ขวบ พ่อพาผมไปโรงเรียนสอนฟุตบอล นั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง” อัลมิรอน ย้อนความทรงจำ “ผมได้ฝึกทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอลในสนามที่เต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง ซึ่งผมคิดว่า ผมสามารถเอาดีทางลูกหนังได้”
“ย้อนกลับไปวัยเด็ก ลูกฟุตบอลอยู่ที่เท้าของผมเสมอ ผมไม่ได้มีความหลงใหลอย่างอื่น ชีวิตของผมมีแต่ฟุตบอลเท่านั้น แน่นอนว่า การเสียสละเหล่านั้น ทำให้ผมมีทุกวันนี้ ครอบครัว และเพื่อนคอยสนับสนุนผมมาตลอด นี่คือแรงกระตุ้นของผม”
อัลมิรอน ย้ำเตือนว่า การที่เขาก้าวมาสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ ไม่เพียงความอุตสาหะของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ยังแลกมาด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลเชี่ยวของคนในครอบครัว
“ความจริงแล้ว พ่อของผมเคยทำงานวันละ 18 ชั่วโมง ท่านทำอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ท่านช่วยสนับสนุนความฝัน ในการอยากเป็นนักฟุตบอลของผม พ่อและแม่ทำงานหนักมาก ดังนั้น ผมจึงไม่ขาดเรียนเลย ผมขอบคุณพระเจ้า ที่ช่วยให้ผมบรรลุเป้าหมายได้”
กระทั่งปี 2015 เขาย้ายไปร่วมทีมลานุส สโมสรในลีกอาร์เจนติน่า ต่อด้วยแอตแลนต้า ยูไนเต็ด ทีมในศึกเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา โดยสร้างผลงานอันยอดเยี่ยม จนก้าวมาติดทีมยอดเยี่ยมของลีก
นั่นคือเหตุผล ทำให้นิวคาสเซิ่ล คว้าตัวอัลมิรอน มาร่วมทีม ในตลาดหน้าหนาวปี 2019 ถือเป็นการค้าแข้งบนแผ่นดินยุโรปครั้งแรกในชีวิต ก่อนค่อยๆปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษ จนกลายมาเป็นส่วนสำคัญในแนวรุก และสร้างสรรค์โอกาสในการยิงประตู
“โฮเซ่ หลุยส์ ชิลาเวิร์ต ถือเป็นไอดอลของผม” เขากล่าวต่อถึงตำนานผู้รักษาประตูของทีมชาติปารากวัย “ผมยังชอบลิโอเนล เมสซี่ และอังเคล ดิ มาเรีย ด้วยเช่นกัน พวกเขาล้วนเป็นแรงบันดาลใจของผม ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการเล่นฟุตบอล รวมถึงความแข็งแกร่งด้านจิตใจ ผมลงสนามด้วยความตั้งใจ โดยมีความฝันเสมอมาว่า อยากไปเล่นในยุโรปสักวันหนึ่ง”
สถานการณ์ล่าสุด เขายิงรวม 9 ประตูให้กับนิวคาสเซิ่ล ในลีกสูงสุด พร้อมกับพาทีมทะยานมายึดอันดับ 4 ของตารางคะแนน นอกจากนี้ เขาสามาาถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก ประจำเดือนตุลาคม จนหลายคนนึกถึงคำพูดของแจ็ค กรีลิช ดาวเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยพาดพิงเรื่องฝีเท้าของเขา
“ผมพยายามทำหน้าที่ของตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุดของผมคือการพัฒนาตัวเอง คุณสามารถไขว่คว้าหลายอย่างในชีวิตได้ จากการทำงานหนัก และความเสียสละ ไม่ใช่แลกมาด้วยคำพูด หากผมเจอแจ็ค กรีลิช ผมจะจับมือกับเขาอย่างแน่นอน ผมไม่ลังเลที่จะทำแบบนั้นเลย กรีลิช คือนักเตะที่ยอดเยี่ยม ผมขออวยพรให้เขาเจอแต่สิ่งดีๆ”
“ตลอดเส้นทางลูกหนังของผม ผมไม่เคยสนใจเรื่องนอกสนามกับสิ่งที่คนอื่นพูด คุณแค่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง มันมีแค่นั้นจริงๆ” มิเกล อัลมิรอน กล่าวทิ้งท้าย
